ตอนที่ 101 ขอแนะนำพ่อของฉันหน่อย

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินฮั่นชิวตกใจกับคำว่า ‘พ่อ’ ที่เป็นธรรมชาติมากของฉินหร่าน

 

 

หลังของเขาแข็งทื่อขึ้นมาทันที

 

 

ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่กล้าเหลียวมอง เหงื่อไหลลงจากหน้าผาก ซ้ำยังเปื้อนฝุ่นผงละเอียดนิดหน่อย “หรานหร่าน ลูกรีบไปเถอะ ดึกๆ พ่อค่อยมาหาลูก”

 

 

ฉินหร่านเดินหน้าสองก้าว พอเห็นท่าทางของฉินฮั่วชิว เธอก็หรี่ตาน้อยๆ หลุดยิ้มออกมา “เมื่อกี้พ่อเจอฉินอวี่แล้วเหรอ”

 

 

ฉินฮั่นชิวไม่ตอบ แค่มองฉินหร่าน ทั้งลนลานและทำอะไรไม่ถูก

 

 

ไม่ต้องให้เขาตอบ ฉินหร่านก็รู้แล้ว

 

 

เธอยัดมือถือใส่กระเป๋า เอียงหัวแล้วยิ้ม “เธอเหมือนหนิงฉิง ร้ายกาจจริงๆ”

 

 

“หรานหร่าน…” ฉินฮั่นชิวมองฝุ่นตามตัวของตัวเองแล้วเม้มปาก

 

 

เมืองอวิ๋นเฉิงไม่เหมือนหมู่บ้านหนิงไห่ ฉินฮั่นชิวเจอคนรวยในเมืองอวิ๋นเฉิงมามาก อีจงส่วนใหญ่ก็เป็นคนท้องถิ่น ฐานะไม่ย่ำแย่

 

 

เจอความสัมพันธ์มาอย่างโชกโชน ฉินฮั่วชิวก็รู้ดีว่าการปรากฏตัวของตัวเองจะนำอะไรมาให้ลูกสาว

 

 

จึงคิดอยากจะหนีโดยไม่รู้ตัว

 

 

ฉินหร่านกลับไม่สนใจเขา แค่เชิดหน้าขึ้นนิดหน่อย พูดกับพวกเฉียวเซิงว่า “พ่อฉันเอง”

 

 

เธอหันข้างให้ฉินฮั่นชิว บนหัวสวมหมวกเบสบอล เพราะย้อนแสง ฉินฮั่นชิวเลยเห็นสีหน้าของเธอไม่ชัด ได้ยินแค่เสียงที่แฝงความเย็นชาของเธอ

 

 

ฉินฮั่นชิวยืนนิ่งอยู่กับที่

 

 

เหงื่อไหลลงจากใบหน้าหนึ่งหยด เขาลืมไปหมดเลยว่าควรจะตอบโต้อย่างไร

 

 

ทุกอย่างตรงหน้าเขาช้าลง แค่ชั่วพริบตาในหูก็เหลือแค่ประโยคที่เรียบเฉยแต่กลับชัดเจนของหญิงสาว… ‘พ่อฉันเอง’

 

 

เสียงจ้อกแจ้กจอแจของรั้วโรงเรียนในตอนแรก เงียบลงในเวลานี้

 

 

ดูเหมือนพวกเฉียวเซิงกับหลินซือหรานจะคิดไม่ถึงเหมือนกัน

 

 

เพียงแค่เพ่งมองฉินฮั่นชิว แม้จะคล้ำไปหน่อย แต่ดวงตาคู่นั้นเหมือนฉินหร่านมาก

 

 

“ที่แท้ก็คุณลุงนี่เอง” เฉียวเซิงรีบยืนตรง ทักทายฉินฮั่นชิวอย่างสุภาพเรียบร้อย เขาจับชายเสื้อของตัวเองไว้ ท่าทางดูทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน “ผมเฉียวเซิงเป็นเพื่อนของฉินหร่านครับ”

 

 

หลินซือหรานก็หน้าแดง “คุณลุง หนูเป็นเพื่อนของหรานหร่าน เรียกหนูว่าซือหรานก็พอค่ะ”

 

 

“คุณลุง หนูชื่อเซี่ยเฟย…”

 

 

“คุณลุง…”

 

 

เสียงเรียกคุณลุงดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ฉินฮั่นชิวมึนงงนิดหน่อย

 

 

เขาตอบเสียงเบาหวิวครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

“คุณลุง มาครั้งแรกสินะ พวกเราจะพาคุณลุงไปชมรอบๆ โรงเรียนเอง จริงสิ กินข้าวหรือยังคะ” หลินซือหรานเป็นมิตรอย่างมาก

 

 

ฉินฮั่นชิวพยักหน้าทื่อๆ

 

 

“วันนี้เป็นวันครบรอบโรงเรียน มีการแสดงด้วย” หลินซือหรานหยุดคิด จากนั้นก็หันไปถามเฉียวเซิง “เฉียวเซิง ฉันไม่ใช่องค์การนักเรียน ไม่มีบัตร นายยังมีบัตรเหลือไหม”

 

 

เฉียวเซิงโบกมือ “คุณลุงมาได้เลย ผมต้องหาบัตรให้คุณลุงได้แน่นอน พี่หร่าน เธอคิดว่าไง”

 

 

ฉินหร่านกดหมวกลง สีหน้าสบายๆ ไม่สนใจอะไร “นายถามเขาสิ”

 

 

สายตาของเฉียวเซิงมองฉินฮั่นชิวด้วยความกระตือรือร้นอีกครั้ง

 

 

เฉียวเซิงแต่งตัวดูดี แถมคนอื่นยังเรียกเขาว่าคุณชายเฉียว พอถูกเขาถาม ฉินฮั่นชิวก็ทำอะไรไม่ถูกเลยจริงๆ “เอ่อ ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอก ลุงแค่มาเยี่ยมหรานหร่านแล้วก็กลับ ยังมีธุระต่อ ออกมานานมากไม่ได้”

 

 

“ไม่เดินชมโรงเรียนเหรอ” มือของฉินหร่านล้วงกระเป๋า เลิกคิ้วมองเขาแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “ก็ได้ หนูจะเดินไปส่งพ่อเอง”

 

 

ตอนที่ฉินฮั่วชิวถูกฉินหร่านกับเพื่อนร่วมห้องกลุ่มใหญ่ของเธอมาส่ง ตัวเขาลอยอยู่ตลอดเวลา

 

 

เฉียวเซิงยังน่ารักมากเป็นพิเศษ ให้คนไปซื้อน้ำเย็นสองขวดจากร้านชำให้ฉินฮั่วชิวเอาติดตัวไปด้วย

 

 

ฉินฮั่นชิวถือน้ำสองขวดขึ้นรถประจำทาง

 

 

มือถือในกระเป๋าดังขึ้น

 

 

เป็นสายจากฉินอวี่ คงจะถามเขาว่าขึ้นรถหรือยัง

 

 

ฉินฮั่นชิวไม่ได้ดู เพียงแค่มองภาพข้างหลังของฉินหร่านที่เดินไปกับคนกลุ่มหนึ่ง กระบอกตาร้อนผ่าว

 

 

 

 

วันครบรอบวันสถาปนาโรงเรียนคนเยอะ

 

 

ฉินหร่านกับพวกเฉียวเซิงรูดบัตรเข้าไป ตอนแรกยังดูได้ พอตอนหลัง คนที่คุยกันก็เยอะขึ้น ราวกับมีนกหมื่นตัวส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู

 

 

อากาศทั้งร้อนทั้งอบอ้าว

 

 

เพลงประสานเสียงของห้องเก้าอยู่ในลำดับรองสุดท้าย หลินซือหรานไปเตรียมตัวหลังเวทีแล้ว ฉินหร่านเลยตามไปหายใจสักหน่อย

 

 

“อวี่เอ่อร์ เดี๋ยวแสดงอย่าตื่นเต้นนะ แม่จะคอยดูอยู่ตรงที่นั่งผู้ชม” เสียงอ่อนโยนของหนิงฉิงแว่วมาจากกระจกฝั่งตรงข้าม “เดี๋ยวแม่จะอัดวิดีโอให้ ถึงตอนนั้นให้พ่อกับพี่ชายและอาเล็กของแกดู”

 

 

ฉินอวี่ตอบรับด้วยเสียงที่นุ่มนวล

 

 

แควก

 

 

เสียงบาดหูมากดังขึ้น

 

 

ฉินอวี่กับหนิงฉิงต่างก็สังเกตเห็นแล้ว

 

 

“ที่นี่เป็นหลังเวที คนที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้ามาตามใจชอบ” เด็กข้างฉินอวี่มองฉินหร่านแวบหนึ่ง “เธอเข้ามาได้ยังไง”

 

 

หนิงฉิงก็มองฉินหร่าน เม้มปาก อยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เก็บงำไว้

 

 

ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

 

 

ฉินอวี่สาละวนอยู่กับไวโอลินของตัวเอง แค่เหลือบมองฉินหร่านนิดหน่อย จากนั้นก็ละสายตาทันที ราวกับไม่พอใจมาก ไม่ค่อยสนใจฉินหร่านเท่าไหร่นัก

 

 

ฉินหร่านยัดหูฟังใส่หูตัวเองช้าๆ เมินทุกคนที่อยู่หลังเวทีแล้วจากไป

 

 

เฉียวเซิงรอเธออยู่ข้างนอก

 

 

การแสดงนี้เป็นการร้องเพลงประสานเสียงของพวกหลินซือหราน

 

 

เพลงที่ร้องประสานเก่ามาก ฉินหร่านฟังจบก็ตั้งใจจะออกไป

 

 

คนส่วนใหญ่ในห้องประชุมใหญ่ต่างก็รอการแสดงปิดท้ายของฉินอวี่ ไม่ไปไหน ไปตอนนี้ได้พอดี

 

 

“เดี๋ยวพวกเราจะมีงานเลี้ยงฉลองด้วย ไม่ไปเหรอ” เฉียวเซิงสังเกตท่าทีของฉินหร่านอยู่ตลอด เห็นเธอจะไป ก็อดพูดเสียงดังขึ้นไม่ได้

 

 

ฉินหร่านแคะหู หางตาเหลือบไปหางฉินอวี่ถือไวโอลินขึ้นเวทีแล้ว

 

 

เสียงกรี๊ดกับเสียงปรบมือดังระงม

 

 

ฉินหร่านเลิกคิ้ว มือขวาของเธอกำจี้ต้นไม้บนคอที่หลินซือหรานให้เธอไว้ ไม่พูดอะไร หันหลังให้เฉียวเซิง โบกมือให้เขาแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ มุดออกไปท่ามกลางผู้คน

 

 

ห้าโมงโดยประมาณอย่างที่เธอคำนวณไว้พอดี

 

 

มือซ้ายหยิบมือถือออกมา กดเบอร์โทรอย่างคล่องแคล่ว โทรหาเฉิงเจวี้ยน

 

 

 

 

หนิงฉิงออกมาจากหลังเวที กลับไปนั่งประจำที่ของตัวเอง

 

 

เธอมีบัตรเชิญพิเศษ นั่งอยู่แถวที่สอง ตำแหน่งดีมาก ย่อมอัดวิดีโอได้ชัดแจ๋ว

 

 

ฉินอวี่แสดงปิดท้าย โรงเรียนย่อมจัดแถวพิเศษให้เธอ แสงไฟทั้งหมดในห้องประชุมใหญ่ดับลง มีแค่สปอตไลต์สาดลงบนตัวเธอเท่านั้น

 

 

ชุดราตรีที่เธอสวมก็ไม่ใช่ทางโรงเรียนจัดให้ แต่เป็นชุดที่หนิงฉิงสั่งตัดให้เธอโดยเฉพาะ

 

 

ฉินอวี่โค้งคำนับ จากนั้นก็นั่งลงแล้วเริ่มสีไวโอลิน

 

 

ในห้องประชุมแทบจะไม่มีเสียงอะไรเลย กล้องวิดีโอของนักข่าวของหนังสือพิมพ์โรงเรียนก็เล็งมาที่เธอ

 

 

ฉินอวี่เพิ่งสีไปได้ไม่กี่เสียง รอยยิ้มบนใบหน้าเพิ่งปรากฏขึ้น

 

 

จู่ๆ ก็เสียงแหลมดังขึ้นมา…

 

 

ฉินอวี่ก้มหน้าตัวแข็งทื่อ ก็เห็นว่าสายเส้นหนึ่งของไวโอลินขาด

 

 

สมองของเธอขาวโพลนในพริบตา

 

 

นี่เป็นการแสดงระดับโรงเรียน อย่าว่าคนอื่นเลย แม้แต่ตัวเธอเองก็คิดไม่ถึงว่า เธอจะทำพลาดอย่างมหันต์ในการแสดงแบบนี้!

 

 

ที่นั่งผู้ชมก็เงียบลงครู่หนึ่ง

 

 

จากนั้นก็เกิดเสียงฮือฮา เริ่มพูดคุยกันขึ้นมา

 

 

ฉินอวี่ได้ยินว่ามีคนผิวปาก

 

 

ไฟถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

 

 

ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นอย่างสับสน ที่นั่งผู้ชมกำลังกระซิบกระซาบกัน สายตาของคนอื่นก็มองมาที่เธอไม่หยุด

 

 

โตจนป่านนี้ ฉินอวี่ไม่เคยอับอายแบบนี้มาก่อน

 

 

พิธีการขึ้นเวทีมากู้สถานการณ์ การแสดงที่ถูกลบทิ้งขึ้นมาแทนที่

 

 

ฉินอวี่เป็นหญิงที่มีชื่อในเมืองอวิ๋นเฉิง ทำอะไรมีบันยะบันยังมาตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตแทบจะไม่เคยผิดพลาด แต่วันนี้…

 

 

พอกลับหลังเวที สายตาของคนอื่นที่มองเธอก็ดูแปลกพิกล

 

 

นิ้วของฉินหร่านสั่นระริก

 

 

“ประธาน” ประตูหลังเวทีถูกผลักออก สวีเหยากวงเข้ามา

 

 

พอเขากวาดสายตา ก็เห็นไวโอลินของฉินอวี่วางอยู่ตรงมุมหนึ่ง พูดเสียงขรึมว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมสายไวโอลินถึงขาด”

 

 

หน้าอกของฉินอวี่กระเพื่อม ไม่พูดไม่จา

 

 

เด็กอ้วนข้างๆ เธอพูดด้วยความโมโหเดือดดาลว่า “ไวโอลินของอวี่เอ่อร์สั่งทำพิเศษ จะเสียง่ายๆ ได้ยังไง ต้องมีคนจงใจทำแน่!”

 

 

“จงใจทำงั้นเหรอ” สวีเหยากวงมองเธอ “เธอรู้ไหมว่าเป็นใคร”

 

 

“ก็ฉินหร่านห้องเก้าคนนั้นไง” เด็กอ้วนตอบโดยไม่แม้แต่จะคิด “อวี่เอ่อร์มนุษยสัมพันธ์ดีมาตลอด มีแค่ฉินหร่านคนนั้นที่ไม่ถูกกับอวี่เอ่อร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อกี้เธอก็อยู่หลังเวทีเหมือนกัน ฉันยังแปลกใจเลยว่า เธอไม่ได้แสดงจะมาหลังเวทีทำไม!”

 

 

สวีเหยากวงหรี่ตาลง “หลังเวทียังมีคนอื่นอีกไหม พวกเธอไปดูกล้องวงจรปิดหน่อย”

 

 

นิ้วของฉินอวี่จิกลงบนฝ่ามือ เธอพูดกดเสียงว่า “ออกไปให้หมด”

 

 

คนอื่นๆ หลังเวทีพากันออกไปหมดแล้ว

 

 

ทิ้งที่เกิดเหตุไว้ให้เธอกับสวีเหยากวง

 

 

อับอายต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน ฉินอวี่ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ในโรงเรียนจะมีข่าวลือของเธอแบบไหน

 

 

ฉินอวี่ยิ้มหยัน โมโหจนตาแดงก่ำ แทบจะพูดอึกๆ อักๆ “คุณชายสวี นายกับเฉียวเซิงปกป้องฉินหร่าน ฉันไม่มีความเห็น แต่นายก็รู้ว่าไวโอลินมีความหมายอะไรกับฉัน สถานที่สำคัญอย่างหลังเวที เธอเข้ามา นายกับเฉียวเซิงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไวโอลินเสียน่ะเรื่องเล็ก แต่นายเคยคิดไหมว่า เพราะเธอ ฉันต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน”

 

 

สวีเหยากวงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เธอไม่มีเหตุผลต้องทำแบบนี้”

 

 

ฉินอวี่หลับตา ดูเหนื่อยล้ามาก “ไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ นายรู้ได้ยังไงว่าเธอไม่มีเหตุผล ตอนเด็กแม่ฉันแต่งงานกับตระกูลหลิน แม่ฉันพาฉันมาแต่ไม่ได้พาเธอมาด้วย เพราะแบบนี้เธอถึงอิจฉาฉันมาตลอด เหตุผลนี้พอไหม”