ตอนที่ 102 ฝ่ามือหนึ่งฉาด

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ทั้งสองนิ่งเงียบ

 

 

สวีเหยากวงไม่ได้พูดอะไร

 

 

เขาหยิบมือถือในกระเป๋าออกมาโทรหาเฉียวเซิง “ฉันไม่มีเบอร์ของฉินหร่าน นายให้เธอมาหลังเวทีหน่อย”

 

 

ฉินอวี่ยืนอยู่ไม่ได้พูดอะไร

 

 

สวีเหยากวงให้คนด้านนอกเข้ามาพร้อมถามเรื่องกล้องวงจรปิด

 

 

เวลานี้เอง หนิงฉิงและหัวหน้าฝ่ายวิชาการก็มาถึงหลังเวทีเช่นกัน

 

 

“อวี่เอ๋อร์” หนิงฉิงเดินพรวดพราดเข้ามาหา “เกิดอะไรขึ้นกับไวโอลินของเธอ”

 

 

ฉินอวี่ไม่อยากพูดให้มากความ หันข้างไปอย่างเหนื่อยล้า ไม่อยากพูดอะไรกับหนิงฉิง แล้วก็ไม่ได้บอกว่าคือฉินหร่าน

 

 

ด้วยความเชื่อมโยงของคุณชายเฉียนและฉินหร่านในตอนนี้ เธอไม่แน่ใจว่าหนิงฉิงจะปกป้องเธอไหมถ้ารู้ว่าเป็นฉินหร่าน

 

 

เพียงแค่เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “ถูกคนจงใจใช้มีดกรีดค่ะ”

 

 

หนิงฉิงโกรธจนอกกระเพื่อม เธอหมุนตัวไปพูดกับหัวหน้าฝ่ายวิชาการว่า “ผู้อำนวยการติง โรงเรียนพวกคุณทำไมถึงมีนักเรียนนิสัยแย่ขนาดนี้ คุณกรุณาหาคนที่เป็นต้นตอของเรื่องนี้มาให้ได้นะคะ”

 

 

ผู้อำนวยการติงมองสายไวโอลินแวบหนึ่ง มีคนใช้ของมีคมกรีดจริงด้วย

 

 

ฉินอวี่เป็นคนบ้านหลิน หนิงฉิงก็อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วยเหมือนกัน เขาต้องจัดการให้เรียบร้อย

 

 

เขาขมวดคิ้วมองไปทางสวีเหยากวง “นัก…นักเรียนสวี มีคนไปตรวจกล้องวงจรปิดหรือยัง”

 

 

“ให้คนไปดูแล้วครับ” สวีเหยากวงรู้สึกตัวจากภวังค์ความคิดแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา

 

 

ผู้อำนวยการติงพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก แต่กิริยาวาจาค่อนข้างจะหลีกเลี่ยงสวีเหยากวง

 

 

เพียงแค่หนิงฉิงและฉินอวี่ต่างไม่ได้สังเกตเห็นในเวลาแบบนี้

 

 

 

 

รายการแสดงของฉินอวี่อยู่ถัดจากของพวกหลินซือหราน ฉินหร่านที่เพิ่งออกจากประตูหอประชุมใหญ่ไม่นานก็ได้รับสายจากเฉียวเซิง

 

 

“สายไวโอลินของเธอถูกคนกรีดเหรอ” ฉินหร่านเลิกคิ้ว หาที่ร่มยืนอยู่สักพัก หัวเราะออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย “คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมองธาตุแท้ของเธอออกด้วย”

 

 

เฉียวเซิงร้องหึ “ใครจะไปรู้ แต่ว่าคนที่หล่อนสงสัยอยู่ตอนนี้คือเธอ…”

 

 

พูดถึงตรงนี้ เฉียวเซิงชะงักเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าสวีเหยากวงคิดอะไรอยู่ ต่อให้สวีเหยากวงจะชอบฉินอวี่ แต่ก็รู้ว่าฉินหร่านคือใคร

 

 

“เธอคิดว่าเป็นฉันเหรอ” ฉินหร่านหลุบตาลง

 

 

เฉียวเซิงตอบว่า “อืม ใครจะรู้ว่าหล่อนคิดอะไรอยู่”

 

 

“ฉินอวี่จะเผชิญหน้ากับเธอหลังเวที จริงสิ ตอนนั้นเธออยู่กับใคร เรียกคนนั้นมาด้วย” เฉียวเซิงรู้ว่าถ้าเรื่องนี้ไม่สืบให้ชัดเจน ด้วยฝีมือของฉินอวี่แล้ว เธอสามารถใส่ร้ายป้ายสีฉินหร่านได้จริง ๆ

 

 

ฉินหร่านนวดหัวคิ้ว

 

 

สวมหมวกแก๊ปในมือไว้บนศีรษะ

 

 

แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเฉิงเจวี้ยนอีก

 

 

“นายรอฉันอีกสิบนาที” ฉินหร่านกะเวลา เธอมองตำแหน่งของหอประชุมใหญ่ “ฉันมีธุระอื่นนิดหน่อย”

 

 

 

 

ปากทาง ภายในรถยนต์โฟล์คสวาเกนสีดำ

 

 

เฉิงเจวี้ยนตัดสายทิ้ง โยนมือถือไปที่นั่งด้านข้าง หางตาเหลือบดูเวลา นี่ห้าโมงสิบนาที

 

 

มืออีกข้างหนึ่งวางไว้บนเข่า เคาะนิ้วเรียวยาวอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหันหน้ามาจากที่นั่งข้างคนขับแล้วหัวเราะ “ท่านเจวี้ยน ฉินเสี่ยวหร่านเป็นอะไรเหรอ”

 

 

“เธอมีธุระนิดหน่อย ให้พวกเรารออีกสักพัก” เฉิงเจวี้ยนพาดมือไว้บนหน้าต่างรถ เอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน

 

 

“ก็ได้” ลู่จ้าวอิ่งพยักหน้า เขาหยิบมือถือโทรหาผู้บัญชาการเฉียน “งั้นพวกเรารอแล้วกัน”

 

 

เฉิงมู่ที่อยู่ตรงที่นั่งคนขับไม่ได้พูดอะไร

 

 

คนที่ให้คุณชายทั้งสองแห่งจิงเฉิงรอพร้อมกัน นอกจากฉินหร่านแล้วเขาหาบุคคลที่สองไม่ได้จริง ๆ

 

 

 

 

ส่วนทางนี้ เฉียวเซิงรอฉินหร่านอยู่ปากประตู

 

 

เขาครุ่นคิดพลางเดินไปมา เมื่อฉินหร่านมาถึงก็ยืนนิ่งทันที ก้มหน้าลงราวกับรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์แล้วเอ่ยขึ้นอย่างท้อแท้ “พี่หร่าน”

 

 

“อืม พวกเราเข้าไปด้านในก่อนค่อยว่ากัน” ฉินหร่านตบบ่าของเขา ถอนหายใจแล้วยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไรหรอก”

 

 

เฉียวเซิงโล่งอกนิดหน่อยเมื่อเห็นท่าทีของเธอเหมือนจะไม่เป็นไร แต่ยังไม่ได้คลายความตึงเครียดลงทั้งหมด

 

 

ฉินหร่านเข้าห้องแต่งหน้าไปพร้อมกับเฉียวเซิง

 

 

สายตาคนในห้องแต่งหน้าส่วนใหญ่ต่างมองมา

 

 

หนิงฉิงก็ช้อนตาขึ้นอย่างไม่รู้ตัวแล้วมองเห็นฉินหร่านและเฉียวเซิงทันที

 

 

สายตาของเธอหยุดอยู่บนหน้าเฉียวเซิงสักพัก จากนั้นหยุดลงที่ร่างของฉินหร่าน เธอรู้สึกงุนงงมาก “หรานหร่าน เธอมาทำไม”

 

 

ฉินอวี่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของคนรอบกายมาโดยตลอด

 

 

ในโรงเรียนไม่มีใครรู้ว่าฉินหร่านคือพี่สาวของเธอนอกจากเฉียวเซิงและสวีเหยากวง

 

 

ยิ่งไม่มีใครรู้ว่ามู่หยิงเป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง

 

 

คนหน้าเด็กเด็กซึ่งยืนอยู่ข้างฉินอวี่เอ่ยขึ้นอย่างโมโหทันทีที่มองเห็นฉินหร่าน “ฉินหร่าน ทำไมเธอต้องกรีดสายไวโอลินของอวี่เอ๋อร์ด้วย”

 

 

มัธยมปลายมักจะแบ่งฝักแบ่งฝ่าย คนหน้าเด็กอยู่ฝ่ายฉินอวี่อย่างแท้จริงเลยทีเดียว

 

 

ฉินอวี่ใจกว้างต่อคนพวกนี้เสมอ ไม่เคยขี้เหนียวลิปสติกหรือน้ำหอมรุ่นลิมิเต็ดต่าง ๆ 

 

 

จึงทำให้พวกคนหน้าเด็กนี้ต่างยืดฉินอวี่เป็นหัวหน้า

 

 

ตอนนี้ฉินอวี่ถูกคนกระทำจนกลายเป็นแบบนี้ แน่นอนว่าคนหน้าเด็กก็ออกโรงเป็นปืนกระบอกหนึ่งของฉินอวี่ ชี้ไปตรงไหนก็ยิงไปตรงนั้น

 

 

สีหน้าของฉินอวี่ย่ำแย่อยู่ตลอดเพราะอับอายขายหน้าบนงานแสดงที่โรงเรียน

 

 

เมื่อได้ยินเสียง เธอหันหน้าไปหาฉินหร่านทันที แววตาวิบวับเปี่ยมด้วยความแค้นเคือง

 

 

หนิงฉิงได้ยินเสียงของคนหน้าเด็กเหมือนกัน เธอผงะไปครู่หนึ่ง

 

 

มองฉินหร่านอย่างอึ้ง ๆ ไม่ทันตั้งสติ “หรานหร่าน เธอกรีดสายไวโอลินของอวี๋เอ๋อร์เหรอ”

 

 

แม้น้ำเสียงจะเป็นการถาม แต่สีหน้าเหมือนกับเชื่อไปแล้ว

 

 

คนในห้องแต่งหน้านี้ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เวยป๋อนั้นเกี่ยวข้องกับฉินหร่าน แต่หนิงฉิงรู้

 

 

เธอจ้องมองฉินหร่านแล้วเม้มปาก

 

 

ฉินหร่านบีบนิ้วมือ ปลายนิ้วเย็นเฉียบ ในห้องแต่งหน้ามีหัวหน้าฝ่ายวิชาการและอาจารย์ไม่กี่ท่าน เธอถอดหมวกบนศีรษะออก

 

 

เธอไม่ได้สนใจหนิงฉิง เอ่ยบอกผู้อำนวยการติงและคนอื่น ๆ อย่างมีมารยาทว่า “ฉันไม่ได้รู้สึกเบื่อจนต้องทำขนาดนั้นหรอก ฉันจำได้ว่าโถงเดินมีกล้องวงจรปิดไม่ใช่เหรอคะ ไปตรวจดูก็รู้แล้ว”

 

 

น้ำเสียงของเธอราบเรียบมาก พูดขึ้นอย่างไม่โกรธเคือง ไม่หวาดหวั่น และไม่รีบร้อน ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากภาพลักษณ์ในวันก่อน ๆ ของเธอ

 

 

มือข้างหนึ่งยังถือหมวกแก๊ปไว้ ใบหน้างดงามเฉยเมยเช่นเดิม

 

 

“ฉินหร่าน เธอแค้นฉัน ฉันยอมแล้ว แต่ทำไมเธอต้องลงมือในเวลาแบบนี้ด้วย ดีใจที่เห็นฉันโดนอาจารย์และนักเรียนทั้งโรงเรียนหัวเราะเยาะแล้วสินะ ตอนนี้เธอสะใจมากใช่ไหม!” ดวงตาฉินอวี่แดงก่ำ นิ้วมือสั่นระริก เธอเดินมาตรงหน้าฉินหร่าน ฟาดมือใส่เธอโดยแทบจะไม่คิดด้วยความโกรธแค้น