ตอนที่ 59 การคิดบัญชีหลังฤดูใบไม้ร่วง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีไปหลบด้านหลังซวนหยวนจือ

เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย ซวนหยวนจือมิอาจแสร้งทำเป็นไม่สนใจนางได้ เขายิ้ม กล่าวว่า… “อันตัวข้ากับมู่เฟิงอวิ๋นสนิทกันดั่งพี่น้อง ชีวิตของข้าได้พี่เฟิงอวิ๋นช่วยไว้ มาวันนี้เขาไม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าข้าจะต้องดูแลซีเอ๋อร์เหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของข้า  ข้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกเจ้าอย่างแน่นอน”

“ฝ่าบาท มู่เฉียนซีทำร้ายเหว่ยเหว่ยเสียน่าอนาถเช่นนี้ พระองค์ต้องให้ความเป็นธรรมแก่นาง!” โอวหยางจูกล่าวฟ้อง อาการฉุนเฉียวฟึดฟัดเต็มที่

“พอได้แล้ว!” ซวนหยวนจือตะโกนเสียงกร้าว

“พวกเจ้าอายุน้อย มาประลองยุทธ์กันก็ยากที่จะไม่มีการบาดเจ็บเกิดขึ้น ตัวเจ้าเป็นถึงท่านผู้นำตระกูลโอวหยาง กลับไม่รู้กาลเทศะแม้แต่น้อย นำตัวโอวหยางเหว่ยไปให้หัวหน้านักปรุงยาอันดับหนึ่งทำการรักษาให้ดี  เพียงวันสองวันก็สามารถหายเป็นปกติได้”

โอวหยางจูใบหน้าหม่นคล้ำ ยกมือขึ้นกำหมัดแน่น กล่าวด้วยเสียงต่ำ “ขอฝ่าบาททรงพระราชทานอภัย ข้าผู้นี้รับผิด…”

ในที่สุดการประลองยุทธ์ของมู่เฉียนซีและโอวหยางเหว่ยสิ้นสุดลง

มู่เฉียนซีผู้ถึกทนและเจ้าแมวขาวลึกลับ นับแต่นี้ไปคงไม่มีใครที่จะกล้าดูถูกนางว่าเคยเป็นท่านผู้นำตระกูลมู่ที่ไร้ความสามารถอีกต่อไป …อาการบาดเจ็บอย่างสาหัสของโอวหยางเหว่ย กลายเป็นเยี่ยงอย่างผู้ที่ท้าทายจนเลือดตกยางออก

มู่เฉียนซีค่อย ๆ แสยะยิ้มเยาะเย้ย เหอะ! ตระกูลโอวหยาง นี่ยังเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น  บังอาจมาทำให้ข้าผู้นำตระกูลมู่ถึงแก่ความตาย  บัญชีนี้ข้าจะค่อย ๆ สะสางให้สาสม

มู่เฉียนซีเหลือบมองไปยังฮ่องเต้ที่นั่งสูงส่งอยู่เบื้องบน นางยิ้มก่อนจะกล่าว “ฝ่าบาท การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว ข้าขอตัวกลับไปยังที่นั่งก่อน เวลาของงานเลี้ยงมื้อค่ำยังไม่จบ”

ซวนหยวนจือพยักหน้า “ซีเอ๋อร์ เจ้าเองก็เหนื่อยมาไม่น้อย กลับไปนั่งเถิด”

ซวนหยวนจือไม่ได้กล่าวถึงรางวัลของของผู้ชนะ  แม้นว่ากษัตริย์จะตรัสแล้วไม่คืนคำ แต่พระองค์เองก็ไม่อยากให้มู่เฉียนซีกล่าวถึงข้อเรียกร้องสองข้อนั้น เขาหวั่นเกรงเล็กน้อยถึงสิ่งที่นางอาจร้องขอ

เมื่อมู่เฉียนซีกลับไปยังที่ของนาง สายตาของนางมองเห็นเยวี่ยเจ๋อตัวแข็งทื่อเป็นหิน

เยวี่ยเจ๋อพยายามกลืนน้ำลายก่อนจะกล่าวว่า “พี่ใหญ่แข็งแกร่งมาก”

การประลองครั้งก่อน นางเก็บซ่อนความสามารถที่แท้จริงไว้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ทว่าที่น่าเศร้าคือในครานั้น เขาส่งตัวเองไปเป็นกระสอบทรายให้นางถึงที่ ครานี้จึงเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าตอนที่ตนส่งหนังสือท้าประลองไปหานาง เป็นการกระทำที่โง่เขลามากเพียงใด

มู่เฉียนซียิ้ม “แน่นอน หลังจากที่เจ้าได้เห็นการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ของข้าแล้ว ก็ต้องหมั่นขยันฝึกซ้อมให้ดี อย่าให้ข้าทิ้งช่วงห่างจากเจ้าไปไกลนักล่ะ”

เยวี่ยเจ๋อกำหมัด กล่าวตอบหนักแน่น “ขอรับพี่ใหญ่!”

หลังจากได้เห็นการต่อสู้ที่น่าตื่นตากระชากวิญญาณเมื่อครู่ เห็นได้ชัดเจนว่าการต่อสู้ของผู้อื่นไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมในที่นั้นได้เลย

เวลาค่อย ๆ ผ่านไป ในที่สุดงานเลี้ยงอาหารค่ำเทศกาลจื่อหยวนก็จวนจะถึงตอนจบ ทว่ายังมียอดละครอีกชุดหนึ่ง ยังไม่ได้ขึ้นฉายเลย

“ฝ่าบาท”

มู่หรูอวิ๋นไม่ทำให้มู่เฉียนซีผิดคาด หลังจากที่ได้เห็นผู้มีพรสวรรค์สู้กันเป็นร้อยกะบวนท่า ในที่สุดนางเอ่ยปากออกมา

ในวันนี้นางจะไม่ยอมปล่อยมู่เฉียนซี สตรีน่าฆ่าตายให้ลอยนวล  พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ของมู่เฉียนซีสามารถเทียบชั้นได้กับมู่อวู่ซวง หากปล่อยให้มู่เฉียนซีส่องประกายเช่นนี้ต่อไป อนาคตของนาง มู่หรูอวิ๋นคงมืดบอดลงเป็นแน่แท้

นางจำต้องทำให้มู่เฉียนซีจบชีวิตลงอย่างอนาถ

ซวนหยวนจือถามขึ้น “นี่ไม่ใช่คนขององค์ชายเจ็ดหรอกหรือ ? เจ้ามีเรื่องอะไร ?”

แท้จริงแล้วเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูวังแต่แรก  ทว่าในเวลานี้กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอันใด ในเมื่อจะเล่นละครแล้วก็ต้องเล่นให้ครบเครื่อง มิเช่นนั้นคงเอาผิดกับมู่เฉียนซีไม่ได้

แคว้นจื่อเยี่ยมีผู้แข็งแกร่งเฉกเช่นมู่อวู่ซวงเพียงผู้เดียวก็พอแล้ว หากรอให้มู่เฉียนซีเติบโตจนแข็งแกร่งถึงระดับนั้น เกรงว่าแคว้นจื่อเยี่ยของเขาจะต้องตกอยู่ในกำมือของพวกคนตระกูลมู่

มู่หรูอวิ๋นก้มตัวลง จากนั้นนางพูดใส่ไฟเกี่ยวกับเรื่องที่ซวนหยวนหลี่เทียนประสบเหตุเลวร้ายขึ้นมา “ฝ่าบาท ในเมื่อผู้นำตระกูลมู่คิดร้ายก่อเรื่องวุ่นวายหน้าประตูวัง…”

“จากนั้นก็กระทำแย่กับหลี่อ๋อง…”

ซวนหยวนจือได้ฟังแล้วก็กล่าวออกมา ใบหน้าโมโหโกรธาทั้งยังแดงก่ำ “มีอย่างที่ไหน…! ซีเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงได้ก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เจ้าช่าง… ช่างทำให้ข้าผิดหวังนัก”

ก่อนหน้านี้ยังพูดอยู่ว่าเห็นนางเป็นเหมือนลูกสาวตน บัดนี้วาจากลับกลอก  เพียงได้ทราบว่ามู่เฉียนซีทำให้ลูกชายได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย กลับพิโรธดั่งสายฟ้าฟาด คิดไปว่านางท้าทายอำนาจราชวงศ์

มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก ในที่สุดการแสดงสุดท้ายของงานเลี้ยงเทศกาลจื่อหยวนก็กำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว

เมื่อเห็นใบหน้าสงบนิ่งไร้แววพรั่นพรึงของมู่เฉียนซี  มู่หรูอวิ๋นชี้นิ้วไปที่นาง “ซีเอ๋อร์ เจ้าทำร้ายทหารรักษาการณ์หน้าประตูวังจนบาดเจ็บสาหัส ไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองในสายตา ทำร้ายเชื้อพระวงศ์ ท้าทายดูถูกอำนาจบารมีของราชวงศ์  ความผิดนี้ใหญ่หลวงนัก เจ้าคงจะต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตร!  พวกเราทั้งตระกูลมู่จะพลอยโดนเจ้าพาติดร่างแหไปด้วย ทั้งนายท่านสาม และนายท่านใหญ่ พวกท่าน…”

มู่หรูอวิ๋นพูดไปก็ร้องไห้ไป น้ำตาใสไหลรินอาบแก้ม ปั้นใบหน้าแต่งแววตาหม่นเศร้า “ฮือ ๆ ๆ ซีเอ๋อร์ เจ้ามันไม่รักตระกูล เจ้ามันเห็นแก่ตัวทำอะไรไม่ยั้งคิด เจ้าจะต้องไม่ได้ตายดี”

มู่เฉียนซีขมวดคิ้วมุ่น เสียงเยียบเย็นดังลอดไรฟัน “ข้ามู่เฉียนซีเป็นผู้นำตระกูลมู่ ตำแหน่งข้าเป็นรองแค่เพียงฮ่องเต้ ข้ามีตำแหน่งเสมอเทียบกับองค์รัชทายาท ประโยคนี้ฮ่องเต้ พระองค์ทรงตรัสไว้เอง มาวันนี้ข้าเข้ามาในวัง ทหารรักษาการณ์พวกนั้นตาไม่ถึง กล้าที่จะมาขวางทางข้า ถือดีมาลงไม้ลงมือกับข้า  ข้าไม่สับพวกมันเป็นชิ้นแล้วเอาไปโยนให้สุนัขกิน ก็นับว่าเมตตามากพอแล้ว…  ข้ามู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่ไปหมิ่นอำนาจราชวงศ์ตรงไหนหรือ ? หากข้าเป็นผู้เริ่มลงมือกระทำก่อน นั่นจึงเป็นการล่วงเกินอำนาจราชวงศ์ ฝ่าบาท  หากพระองค์กริ้วก็จัดให้ทหารมาลากตัวข้าไปตัดหัวได้เลย”

“…”

สิ้นวาจาผู้นำตระกูลมู่ แทบทั่วตำหนักจื่อจีเงียบกริบไร้เสียงพูด  มู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่ช่างท้าทายฟ้าดินนัก!  อยู่ในจวนตระกูลมู่ทำโอหัง  อยู่ในเมืองหลวงทำโอหังอีกก็ช่างปะไร  แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าวันนี้ สตรีชุดม่วงจะกล้าโอหังแม้ต่อหน้าซวนหยวนจือ ฮ่องเต้แห่งแคว้นจื่อเยี่ย

ทว่าคำพูดเหล่านั้นของนางไม่ผิดแม้แต่น้อย นางมีสิทธ์เช่นนั้นจริง ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะปฏิเสธได้

“ฝ่าบาท พวกข้าถูกใส่ร้าย! เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าท่านผู้นำตระกูลมู่เป็นผู้ที่เริ่มลงมือก่อน” เหล่าบรรดาทหารรักษาการณ์ที่ถูกซ้อมจนบาดเจ็บสาหัสหลายคน แห่กันออกมาร้องขอความเป็นธรรม

“ใช่! พวกข้าถูกใส่ร้าย พวกข้า…” ยังไม่ทันที่ทหารรักษาการณ์ผู้นี้จะได้กล่าวสิ่งที่ตั้งใจไว้ มู่เฉียนซีพลันขัดคอ

“จุ๊ ๆ ๆ ฝ่าบาท หากท่านมีพระราชประสงค์จะทราบว่าพวกเขาถูกใส่ร้ายหรือไม่ โปรดลองเอาโทษทรมานหนัก ๆ ของแคว้นจื่อเยี่ยมาใช้สักสองสามอย่าง เดี๋ยวพวกนั้นก็จะพูดความจริงออกมาเอง” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา

สายตาของซวนหยวนจือที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรฉายแววอำมหิต มองไปยังสตรีโอหังในชุดสีม่วง  นางช่างเหมือนกับที่ผู้คนกล่าวขานกันจริง ๆ  นิสัยใจคอเปลี่ยนไปราวคนละคน ส่วนเรื่องความเป็นผู้นำตระกูล มีเต็มร้อยส่วนไม่เหมือนนางคนก่อนเลย

อายุน้อยกลับเป็นที่รู้จัก ชื่อเสียงแผ่กระจายว่าเป็นผู้นอกคอกนอกกรอบ และถึงแม้ใบหน้าของนางจะดูเป็นมิตร แต่จิตใจนั้นช่างยากที่จะคาดเดา แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อาจมองออก

เลือดร้อนเยือกเย็น ไร้ความปราณีต่อศัตรู  ดู ๆ แล้วนางค่อนข้างคล้ายคลึงกับมู่เฟิงอวิ๋น

ซวนหยวนจือทอดถอนใจ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสอบสวนทหารเหล่านี้ เขาเข้าใจในเรื่องนี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว

เหล่าทหารรักษาการณ์ถูกพวกตระกูลโอวหยางควบคุมอยู่ ได้รับคำสั่งจากโอวหยางเหว่ยให้ไปกลั่นแกล้งมู่เฉียนซี ถึงได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาดั่งที่เห็นที่เป็น  หากย้อนไปทำการสืบสวนต่อไปอีก รังแต่จะเป็นการตบหน้าราชวงศ์และตระกูลโอวหยางเข้าเสียเปล่า ๆ

ซวนหยวนจือกล่าวเสียงเย็น “ทหาร! เอาพวกที่ใส่ร้ายซีเอ๋อร์ออกไปตัดหัวให้หมด”

แทบทุกผู้คน ณ ที่นั้นอ้าปากค้าง เดิมทีคิดว่ามู่เฉียนซีก่อความผิดร้ายแรงเสียแล้ว คาดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดผู้ที่ได้รับโทษถึงตายกลับกลายเป็นทหารรักษาการณ์ของวัง

ใบหน้าของโอวหยางจูหม่นคล้ำดำสนิทยิ่งกว่าก้นกระทะ เหตุใดนางมู่เฉียนซีถึงได้จัดการยากเย็นเช่นนี้  รอบนี้จะต้องปล่อยให้นางรอดคราวเคราะห์ไปเช่นนี้หรือ ?

มู่หรูอวิ๋นโกรธเสียจนเท้าหยุดอยู่กับที่ไม่ได้เหมือนจะบิน  นางกล่าวขึ้นว่า… “ซีเอ๋อร์ แน่นอนว่าด้วยศักดิ์ท่านผู้นำตระกูลทำให้เจ้าสูงส่ง ทว่าแม้ฐานันดรของเจ้าจะสูงศักดิ์ อันใดผิดควรว่าไปตามผิด  แม้เจ้าจะไร้ความผิดในการทำร้ายทหารรักษาการณ์ของวังหลวง แต่เจ้าเกือบสังหารหลี่อ๋อง ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาท ความผิดนี้…”

มู่หรูอวิ๋นไม่ทันพูดจบ  มู่เฉียนซีหันไปบ่นกับซวนหยวนจือ

“ฝ่าบาท องค์รัชทายาททำผิดก็มีความผิดเช่นเดียวกับสามัญชน นอกจากขาว หลี่อ๋องเองก็มีบางส่วนที่ดำ  เขาลงมือทำร้ายข้า  โชคดีที่ข้ามีความสามารถอยู่บ้าง ทว่ารถประจำตำแหน่งหัวหน้าตระกูลมู่ที่ข้าใช้มาสามปี กลับโดนหลี่อ๋องซัดเสียจนพัง ข้าต้องการค่าชดใช้จากเขา ข้าผิดหรืออย่างไร ?”

.