ตอนที่ 60 ฮ่องเต้และโอรสไร้ยางอาย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“คิดไม่ถึงว่าหลี่อ๋องจะลงมือทำรถม้าข้าพัง ซ้ำร้ายยังบ่ายเบี่ยงไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้  ที่สำคัญหมายจะปลิดชีพข้าอีก ข้ามู่เฉียนซีต่อสู้กับหลี่อ๋องเพียงหวังว่าจะได้ค่าเสียหายคืน มันเป็นเพียงการปกป้องตัวเอง อาจดูรุนแรงไปบ้างแต่เป็นเพราะสถานการณ์มันบังคับข้า…

ข้าผู้นำตระกูลมู่ หลี่อ๋องไม่ใช่มกุฎราชกุมาร จะว่าไปตำแหน่งก็ไม่ได้สูงไปกว่าข้า ข้าแค่ทำให้หลี่อ๋องบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย คงจะไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวงอะไรนัก” มู่เฉียนซีกล่าวราวกับคนไม่มีความผิดใด ๆ

ซวนหยวนหลี่เทียนเบิกตากว้าง ได้ยินวาจาสตรีสกุลมู่ก็โกรธกรุ่นแทบกระอักเลือด  เป็นถึงบุรุษหนุ่มเชื้อพระวงศ์แต่กลับถูกหญิงสาวอวดดีโจมตีได้รับบาดเจ็บ ในวันนี้สถานะของเขามิอาจเทียบหญิงผู้นี้ได้ อีกอย่าง เรื่องนี้เขาก็เป็นฝ่ายผิดเต็มประดา แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์

เสด็จพ่อหูตาบอดหรืออย่างไร ? เหตุใดจึงได้ให้ท้ายเข้าข้างตระกูลมู่เยี่ยงนี้ ?

ซวนหยวนจือรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินไปเช่นกัน เมื่อก่อนมู่เฟิงอวิ๋นใช้สมุนไพรวิญญาณแปลกประหลาดเพื่อชุบชีวิตคนตายแล้วอย่างเขาให้ฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง  นอกจากนี้ มิอาจปฏิเสธได้ว่าความรุ่งเรืองของตระกูลมู่ให้ผลประโยชน์มาก ดังนั้นเขาจึงให้อำนาจและสิทธิพิเศษมากมายกับตระกูลมู่มาจนถึงทุกวันนี้

ตราบใดที่แคว้นจื่อเยี่ยมีมู่เฟิงอวิ๋น ภายในสามสิบปี แคว้นจื่อเยี่ยจะไม่ใช่แคว้นที่อ่อนแอในเซี่ยโจวอีกต่อไป อีกทั้งยังจะกลายเป็นแคว้นแข็งแกร่งที่สุดก็เป็นได้

เวลานั้นมู่เฉียนซียังไม่ถือกำเนิด ทว่าไม่ว่านางจะถือกำเนิดเป็นหญิงหรือชาย ก็ต้องเป็นทายาทรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลมู่ และยศถาบรรดาศักดิ์ของนางก็เทียบเท่ากับองค์ชาย

ด้วยสัจจะวาจาที่เคยกล่าวไว้กับตระกูลมู่ แม้วันนี้มู่เฉียนซีจะกระทำความผิดอันใหญ่หลวง ก็ไม่สามารถเอาผิดนางได้

ซวนหยวนจือรู้สึกโกรธแทบกระอักเลือด เขารู้สึกประหนึ่งตนเองหาเหาใส่หัวเป็นครั้งแรก หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ‘แกว่งเท้าหาเสี้ยน’

เยวี่ยเจ๋อที่เดิมทีดูเป็นห่วงมู่เฉียนซี เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจโล่งอกโล่งใจ  เขาคิดว่าพี่ใหญ่เป็นเพียงผู้นำตระกูลมู่ มิอาจสู้รบปรบมือได้ คิดไม่ถึงว่ายศถาบรรดาศักดิ์ในแคว้นจื่อเยี่ยของนางจะสูงส่งมากถึงเพียงนี้

ในแคว้นจื่อเยี่ย นางสามารถใช้อำนาจบาตรใหญ่กำเริบเสิบสานได้ตามอำเภอใจ เพียงแต่ห้ามไปกำเริบเสิบสานกับฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์  อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์หรือแม้แต่ตัวฮ่องเต้เองก็ยังไม่สามารถลงโทษนางได้เลย

“ดู ๆ แล้วหลี่อ๋องมิใช่ผู้ยากจนข้นแค้นธรรมดา ๆ  แบบนี้เรียกว่ายากจนเข้าขั้นอนาถาเลยล่ะ แค่ค่าเสียหายชดเชยรถม้าของข้า หลี่อ๋องยังไม่มีปัญญาสะสางให้ ข้าอุตส่าห์เสียเวลาหน้าประตูวังตั้งนานสองนาน กลับมีปัญญาชดเชยให้แค่สามแสน  เอาอย่างนี้ไหมล่ะหลี่อ๋อง หากท่านไม่มีเงินชดใช้ให้ข้า ก็ขอหยิบยืมจากฝ่าบาทสิ ข้าเกรงว่าหากรอท่าน ชาตินี้ก็ไม่รู้จะหามาให้ข้าได้ตอนไหน คงเป็นตอนข้าแก่ใกล้ตายกระมัง”

เหล่าบรรดาขุนนางที่นั่งฟังอยู่นิ่งอึ้งไปกับคำพูดของนาง สตรีผู้นำตระกูลมู่ช่างเข้าใจหาผลกำไรดีแท้

‘ท่านผู้นำ มิใช่ว่าหลี่อ๋องจะยากจนข้นแค้นหรอก ท่านต่างหากที่ร่ำรวยล้นฟ้าเกินหน้าเกินตาฮ่องเต้’

‘เงินสามแสนเหรียญทองคำมิใช่ประเดี๋ยวเดียวถึงจะหามาได้ นั่นเหรียญทองคำ มิใช่เม็ดดินเม็ดทรายที่จะหากันได้ง่าย ๆ!’

‘ในสายตาของท่านผู้นำตระกูลมู่ ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่เป็นคนยากจนอนาถาทั้งสิ้น’

เหล่าบรรดาขุนนางที่นั่งอยู่ต่างบ่นพึมพำ… บางคนบ่นปากขมุบขมิบแต่ไร้สุ้มเสียงก็มี…

เยวี่ยซู่กล่าวกับท่านพ่อของเขา “ท่านพ่อ มู่เฉียนซีร่ำรวยมหาศาลถึงเพียงนี้ ข้าไปเป็นน้องชายของนางอีกคนดีหรือไม่ ?”

— เพี๊ยะ! —

ท่านแม่ทัพเยวี่ยตีไหล่บุตรชายอย่างแรง

“เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุกรึ ?! รูปร่างหน้าตาเจ้าก็เทียบกับพี่ชายเจ้าไม่ได้ ความสามารถเจ้าก็สู้เขาไม่ได้ ต่อให้มู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่จะร่ำรวยมากกว่านี้ นางก็ไม่ชายตามองเจ้าหรอก” ท่านแม่ทัพเยวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ

เยวี่ยซู่กล่าว ถูกตบเจ็บจนน้ำตานองหน้า “ท่านพ่อช่างใจร้าย!”

ท่านแม่ทัพเยวี่ยหันไปมองบุตรชายที่นั่งอยู่กับหญิงสาวอย่างผู้นำตระกูลมู่ จากนั้นก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ  ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมองสถานการณ์การสู้รบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าสถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้ เขากลับมิสามารถคาดการณ์ได้เลย

มู่เฉียนซีแม้จะเป็นคนอวดดี ร่ำรวยเงินทอง ทำตัวยโสโอหังประหนึ่งบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป ทว่าตระกูลมู่ก็กำลังตกอยู่ในอันตรายรอบด้าน บุตรชายคนโตของตนอยู่กับนางเช่นนี้มีหวังจะพลอยเป็นอันตรายไปด้วย

ทว่าถึงอย่างนั้น แต่ไหนแต่ไรมาคนในตระกูลเยวี่ยรักษาสัจจะวาจา พูดแล้วมิอาจคืนคำ จะว่าไปก็เป็นผลดีเหมือนกัน มู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่มีเงินทองมากมาย สามารถนำยาลูกกลอนให้กินแทนข้าวแทนขนมได้เลย

‘หากเจ๋อเอ๋อร์นำยาลูกกลอนเหล่านั้นมากินแทนขนมได้ วันนึงเขาจะต้องก้าวไปเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแคว้นจื่อเยี่ยเป็นแน่ อายุไม่ทันถึงยี่สิบปีเขาก็จะกลายเป็นจอมภูตได้โดยง่าย’

ทางด้านซวนหยวนหลี่เทียน เวลานี้ใบหน้าบูดบึ้ง โกรธแทบลมจับ  คิดไม่ถึงว่ามู่เฉียนซีจะทวงหนี้ต่อหน้าเหล่าบรรดาขุนนางมากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังหยามเหยียดว่าเขาเป็นคนยากจนอนาถา ความอับอายขายหน้าเล่นงานเขาจนแทบจะมุดแผ่นดินหนี

ซวนหยวนจือมิสามารถต่อปากต่อคำสู้มู่เฉียนซีได้ มู่เฉียนซีสตรีผู้นี้รับมือยากยิ่งกว่ามู่เฟิงอวิ๋น เด็กคนนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าปีศาจ ราวกับนางเป็นจ้าวแห่งปีศาจร้อยเหลี่ยมเล่ห์กลก็ไม่ปาน

เขาจ้องมองบุตรชายที่พ่ายแพ้อย่างยับเยินเขม็ง ดวงตาแทบถลนออกมา

“ประเดี๋ยวข้าจะให้ขุนนางนำเงินจำนวนเจ็ดแสนเหรียญทองคำไปมอบให้ถึงจวนตระกูลมู่”

มู่เฉียนซีแสยะยิ้ม “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถยิ่งนัก”

ทันใดนั้นมู่เฉียนซีเหมือนจะจำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “การประลองระหว่างข้ากับโอวหยางเหว่ยสิ้นสุดลงแล้ว ข้าเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ฝ่าบาทตรัสว่าให้ข้าขอได้สองอย่าง มิทราบว่าตอนนี้ข้าจะขอก่อนสักอย่างได้หรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าว แย้มยิ้มไร้เดียงสา

ทว่าทุกคนล้วนรู้ดีว่าคำขอของนางนั้นจะต้องมิใช่เรื่องธรรมดาเป็นแน่…

ลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจซวนหยวนจือ ทว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ  ต่อหน้าเหล่าบรรดาขุนนาง ยิ่งมิสามารถกลับคำได้

“ซีเอ๋อร์ เจ้าพูดมาเถอะ” ซวนหยวนจือกล่าวก่อนจะก้มหน้ามองนาง

“เวลาร่วมปีกว่าที่ผ่านมา สินสอดทองหมั้นของข้าถูกส่งมอบให้ฝ่าบาทเป็นผู้ดูแล บัดนี้งานหมั้นหมายระหว่างข้ากับหลี่อ๋องถอดถอนไปแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทจะมอบสินสอดทองหมั้นของข้าคืนให้กับข้าได้หรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบเรียบลื่น นางปั้นหน้าไร้เดียงสาราวกับเด็กกำลังทวงของเล่นจากผู้ใหญ่

ซวนหยวนจือใบหน้าเครียดคล้ำ ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงต้องฉีกยิ้มเอาไว้

“ซีเอ๋อร์ เจ้ากับเทียนเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การยกเลิกหมั้นหมายและการแต่งงานเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรในอนาคต เจ้าก็ยังคงเป็นพระชายาของเทียนเอ๋อร์อยู่ดี สินสอดทองหมั้นเก็บเอาไว้ในกรมคลังน่าจะปลอดภัยกว่า”

เงินจำนวนมหาศาลเช่นนั้นเข้าปากแล้วจะคายออกมาง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า…

ซวนหยวนหลี่เทียนเม้มปากแน่น สายตาจ้องมองหญิงสาวผู้งดงามทว่าโอหังผู้นี้ ตัวเขายังคงหวังว่ายังจะได้ตบแต่งกับนางเฉกเช่นเดิม

มู่หรูอวิ๋นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กว่าที่ทั้งสองจะยกเลิกการหมั้นหมายและการแต่งงานได้มิใช่เรื่องง่ายเลย จู่ ๆ ฝ่าบาทกลับตรัสว่าการยกเลิกนั้นเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น มันไม่ตลกไปหน่อยหรือ ?

นอกจากนี้ ดูเหมือนซวนหยวนหลี่เทียนเปลี่ยนใจอยากตบแต่งกับนางมู่เฉียนซีเสียแล้วสิ…

ซวนหยวนจือหันไปมองซวนหยวนหลี่เทียน เขากล่าว “เทียนเอ๋อร์ เจ้าชอบพอซีเอ๋อร์มาโดยตลอด เจ้าคงไม่อยากยกเลิกหรอกใช่ไหม ?”

แน่นอนว่าการที่ซวนหยวนจือกล่าวเช่นนี้ เพื่อไม่ให้ซวนหยวนหลี่เทียนปฏิเสธ ถึงอย่างไรต่อให้ซวนหยวนจือมิได้เจตนาเช่นนั้น ตัวเขา ซวนหยวนหลี่เทียนก็พร้อมที่จะพยักหน้าด้วยความเต็มใจ

“ซีเอ๋อร์ แม้ว่าเราสองคนจะมีเรื่องผิดใจกันมาก่อน ทว่าเรื่องการหมั้นหมายตบแต่งกับเจ้าเป็นความตั้งใจจริงของข้า เราลืมอดีตและมาเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้งดีหรือไม่ ? ข้าให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำให้เจ้ามีความสุขชั่วนิรันดร์”

ดวงตาแหลมคมราวศรธนูของซวนหยวนจิ่วเยี่ยพุ่งตรงไปที่ร่างซวนหยวนหลี่เทียนในทันที ราวกับหมายจะกำจัดบุรุษผู้นี้ให้หายลับไปจากผืนแผ่นดินอย่างสิ้นเนื้อไร้กระดูก

ซวนหยวนหลี่เทียนรู้สึกเสียวสันหลังวาบพลันกายแข็งทื่อ ความรู้สึกเหมือนเขากำลังอยู่ในนรกชั้นลึกที่สุดก็ว่าได้

มู่หรูอวิ๋นโกรธจนหน้าเขียว ทว่านางยังคงกล่าวพลางทำท่าทีน่าสงสาร “ท่านพี่หลี่เทียน… เหตุใดท่านถึงทำร้ายจิตใจของข้าอย่างนี้ ฮือ ๆ ๆ…”

ซวนหยวนหลี่เทียนกล่าววาจาเย็นเยือก “หุบปากของเจ้าซะอวิ๋นเอ๋อร์! เจ้าเป็นหญิงเลว อย่ามาขัดขวางเรื่องดี ๆ ของข้า”

.