ตอนที่ 199 คนหาเรื่องมาแล้ว

พันธกานต์ปราณอัคคี

ปกติไฟจริงที่วนเวียนอยู่ในตันเถียนของผู้บำเพ็ญเพียร คือไฟในทรวงของผู้บำเพ็ญเพียร ไม่ได้ก่อเกิดจากพลังวิญญาณ มีเพียงเมื่อใช้ไฟจริงเกินขนาด เช่นหลอมโอสถ หลอมอาวุธ พลังวิญญาณในร่างผู้บำเพ็ญเพียรถึงจะแปรเปลี่ยนเป็นไฟจริงอย่างไม่ขาดสาย ทว่าไฟจริงที่แปลงมาเทียบไม่ได้กับไฟในทรวง ยิ่งกว่านั้นยังทำให้พลังวิญญาณในกายผู้บำเพ็ญเพียรเผาผลาญอย่างรวดเร็ว

 

 

ดังนั้นเหมือนมั่วชิงเฉินยามที่หลอมโอสถที่ระดับสูงสักหน่อย ก็จะห่างโอสถเติมวิญญาณไม่ได้เด็ดขาด

 

 

ส่วนมั่วชิงเฉินบัดนี้ที่แข็งแกร่งคือไฟในทรวงของนาง ประโยชน์ในนี้ย่อมไม่ต้องพูดก็รู้

 

 

เรื่องประหลาดเช่นนี้ มั่วชิงเฉินคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก ดีที่การเปลี่ยนแปลงในร่างเป็นเรื่องดี จึงทิ้งไปข้างๆ ไม่ทำให้ตนเองลำบากใจอีก แล้วตั้งใจบำเพ็ญเพียรขึ้นมา

 

 

การอุตสาหะบำเพ็ญเพียรในถ้ำน้ำแข็งย่อมแห้งแล้งเป็นธรรมดา นี่ต่างกับผู้บำเพ็ญเพียรกักตนบำเพ็ญเพียรด้วยความเต็มใจน้ำมาคลองเกิด[1] หากแต่เป็นการขัดเกลาความมุ่งมั่น นิสัยของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง

 

 

โส่วเต๋อเจินจวินลงโทษพวกเขาสองคนเข้าถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดพร้อมกัน ด้านหนึ่งตั้งใจจะขัดเกลาศิษย์ที่โดดเด่นในสำนักเสียหน่อย ดูว่าในหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรพวกเขามีพลังแฝงกี่มากน้อยกันแน่ อีกด้านหนึ่ง ก็กลับคำนึงถึงว่าพวกเขาตบะไม่สูง มีคนอยู่พูดคุยเป็นเพื่อน อย่างไรเสียก็สามารถลดความกดดันได้บ้าง

 

 

ทว่าที่เขาคาดไม่ถึงคือ สองคนนี้อย่าว่าแต่เจอหน้ากันเลย แม้แต่คุยกันในหนึ่งเดือนก็มีเพียงไม่กี่ประโยค

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้แสร้งทำเย็นชาสูงส่งต่อหน้าผู้ชาย เป็นคนนิสัยประหลาดแต่อย่างใด ทว่านางกลับระแวดระวังศิษย์พี่เยี่ยผู้นั้นจากใจจริง

 

 

สาเหตุไม่ใช่อื่นใด ย่อมคือพลังดึงดูดอย่างประหลาดระหว่างสองคนที่ทำให้นางหลบยังเกรงว่าจะหลบไม่ทันนั่นเอง

 

 

มั่วชิงเฉินความคิดกระจ่าง นิสัยเข้มแข็ง ย่อมรู้อย่างชัดเจนว่าตนไม่มีความคิดเช่นชายหญิงต่อศิษย์พี่เยี่ย ดันเมื่อติดต่อพบปะกับเขา ก็จะบังคับตนเองไม่ได้ นางไม่หลบให้ไกลไม่ได้ มิเช่นนั้นหากชั่วเวลาหนึ่งควบคุมไม่อยู่ สองคนเกิดอะไรขึ้นมา มิใช่ทำร้ายคนทำร้ายตนหรอกหรือ

 

 

เพียงแต่การบำเพ็ญเพียรในถ้ำช่างทรมานคนเหลือเกิน มั่วชิงเฉินจึงเริ่มสะสางเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จบวกจัดระเบียบสวนสมุนไพรพกพานอกเหนือจากการบำเพ็ญเพียร

 

 

การเดินทางที่ทะเลขนาบใจ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตวนมู่จิ้งไหว้วานตนไปตามหาผลแย่งลิขิต ของรางวัลในการสำเร็จภารกิจแม้น่าเย้ายวนใจ กลับไม่ใช่สิ่งที่ตนจะสามารถทำได้ในยามนี้ ยิ่งกว่านั้นต่อให้ถึงระดับก่อกำเนิด จะได้เจอผลแย่งวิญญาณหรือไม่ก็ได้แต่ดูลิขิตสวรรค์แล้ว เรื่องนี้สามารถกองทิ้งไว้ข้างๆ ไม่สนใจเป็นการชั่วคราวได้

 

 

นอกจากนี้ตนรับปากหัวหน้าตระกูลหวังว่าแปดปีให้หลังจะมอบโอสถอายุวัฒนะให้เขาเม็ดหนึ่ง วัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมโอสถอายุวัฒนะ ตนขาดเพียงหญ้าดอกเหลืองอย่างเดียว ทว่าฤทธิ์ยาอันพิเศษไม่เหมือนใครของหญ้าดอกเหลืองกลับกำหนดว่ายามที่ตนหลอม จำเป็นต้องไปปราณภูเขาไฟไหลด้วยตนเอง ตนต้องถูกขังอยู่ในถ้ำน้ำแข็งสามปี บวกกับเรื่องเหนือความคาดหมายต่างๆ อีก เกรงว่าหลังจากออกไปก็ควรเตรียมจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว

 

 

อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือหลอมสมุนไพรทิพย์ที่สามารถเพิ่มโอกาสในการก่อแก่นปราณโดยมีน้ำตาปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเป็นกระสาย เรื่องนี้แม้ไม่รีบ ทว่าซื้อสมุนไพรทิพย์เกื้อหนุนที่ขาดไว้ก่อนก็ดี มีการเตรียมการไว้ย่อมไม่ห่วงเหตุร้ายเกิดตามหลังมา

 

 

ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือมั่วชิงเฉินคิดไว้นานแล้ว ว่าจะหาวัสดุไม้ชั้นเยี่ยม เตรียมการไว้สำหรับหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตาหลังจากก่อแก่นปราณในอนาคต ความสำคัญของสมบัติวิเศษเจ้าชะตาไม่จำเป็นต้องพูดมาก มั่วชิงเฉินได้ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้กระบี่เป็นสมบัติวิเศษเจ้าชะตาของตน

 

 

บัดนี้สิ่งที่นางใช้หนีและป้องกันมีไหมเกล็ดน้ำแข็งและชามใหญ่ ชามใหญ่ต้องซ่อมเสียหน่อย ไหมเกล็ดน้ำแข็งจะใช้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงระดับก่อกำเนิดก็ไม่เป็นปัญหา

 

 

ด้านการโจมตี ก็คืออาวุธเวทก้อนอิฐ เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้และวิชาคาถาธาตุไม้แล้ว

 

 

ในนี้ อาวุธเวทก้อนอิฐไม่มีลูกไม้เอาเสียเลย ก็คือใช้แข็งปะทะแข็ง พบผู้บำเพ็ญเพียรที่ตบะไม่เกินตน หรือว่าอาวุธเวทไม่ค่อยเท่าไรยังพอไหว ทว่าหากอาวุธเวทของคู่ต่อสู้โดดเด่น หรือตบะล้ำลึก เช่นนั้นก็จะไร้ประโยชน์

 

 

ส่วนวิชาคาถาธาตุไม้ที่ตนใช้มากที่สุดก็คือพัน คลุมของเถาวัลย์ กระบวนท่าแหฟ้าตาข่ายดินนั้นอานุภาพไม่เลว เพียงแต่อย่างไรเสียพลังโจมตีของวิชาคาถาธาตุไม้ด้อยไปสักหน่อย ยิ่งเน้นวิถีแห่งจังหวะและอัศจรรย์ และในความเป็นจริงการใช้พฤกษาวิญญาณแต่ละชนิดของตนยังน้องเกินไป จังหวะกลับพอแล้ว คำว่าอัศจรรย์กลับยังไม่โดดเด่น

 

 

เมื่อนับเช่นนี้แล้ว สิ่งที่ควรตั้งใจที่สุด ก็คือเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ตนแล้ว

 

 

พูดไปแล้วกระบี่บินแม้เป็นอาวุธเวทโจมตีที่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรใช้มากที่สุด พูดกันตามปกติผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้กระบี่บินได้โดดเด่นนั้นมีไม่มาก กระทั่งมีผู้บำเพ็ญเพียรตกอับบางคนการโจมตี หนีเอาชีวิตรอดล้วนอาศัยกระบี่บินเล่มเดียว ทว่าเป็นที่นิยมในวงกว้าง ย่อมมีเหตุผลที่เป็นที่นิยมในวงกว้าง

 

 

ที่จริงกระบี่บินเป็นอาวุธเวทที่มีทั้งความคล่องแคล่วและอานุภาพที่สุดในบรรดาอาวุธเวท และสมบัติวิเศษ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่จับแก่นของกระบี่ได้อย่างแท้จริง พลังความสามารถในการต่อสู้ปกติแล้วจะเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน

 

 

ก็ยกตัวอย่างเช่นนักพรตเหอกวงกู้หลี เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรกระบี่ที่แท้จริง กลับได้เคล็ดกระบี่สองชุดมาด้วยโอกาสวาสนา ชุดหนึ่งเหมาะสำหรับหญิงสาวฝึก ชุดหนึ่งเหมาะสำหรับชายฝึก

 

 

เขาก็อาศัยเคล็ดกระบี่ชุดนี้แหละ มือถือกระบี่ ท้าประลองผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันเจ็ดท่านแห่งนิกายเหอฮวนโดยลำพัง

 

 

หลังจากที่มั่วชิงเฉินกลับสำนักได้รู้แจ้งเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขั้นที่สองโล่แห่งชิงมู่โดยบังเอิญในน้ำตก จึงยิ่งรับรู้ได้ถึงความอัศจรรย์ของเคล็ดกระบี่ชุดนี้ เพียงแต่นางมักรู้สึกว่ายามที่ตนร่ายเคล็ดกระบี่ ไม่ได้สำแดงอานุภาพที่แท้จริงที่อยู่ภายในออกมาแต่อย่างใด

 

 

ตกลงเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ มั่วชิงเฉินคิดไม่ออก เพราะยังไม่ทันได้หาอาจารย์แก้ข้อข้องใจ ก็ถูกเตะมาโถงลงทัณฑ์แล้ว เพียงคำว่าซวยคำเดียวจะอธิบายได้หมดได้อย่างไร

 

 

ในเมื่อกำหนดทิศทางที่จะพยายามในอนาคตแล้ว การตามหาวัสดุไม้ชั้นยอดมาหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตาก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินคิดดีแล้ว รอหลังจากออกไปก็ไหว้วานอาจารย์และสหายสองสามท่านช่วยนางสังเกต มีที่เหมาะสมนางย่อมใช้หินวิญญาณซื้อไว้ และวันหลังยามเดินทางฝึกตน ก็ยิ่งต้องใส่ใจในด้านนี้สักหน่อย หากหาที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ ในสวนสมุนไพรของตนมีต้นท้อกลายพันธุ์ต้นหนึ่งมิใช่หรือ คิดว่ายามที่นางก่อแก่นปราณ นั่นก็เป็นต้นท้อหมื่นปีแล้ว หลอมกระบี่ดอกท้อเล่มหนึ่งก็ไม่เลว

 

 

ยังมีเรื่องที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจนาง นั่นก็คือช่วยท่านปู่แก้แค้น! ปีนั้นนางยินยอมเข้าพรรคเหยากวงด้วยฐานะศิษย์จิปาถะ ก็เพราะจุดประสงค์นี้

 

 

ทว่าตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นต่อพรรคเหยากวง นางรู้ว่าคู่ต่อสู้ที่ตนต้องเผชิญนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

 

 

ศิษย์เสเพลคนนั้นย่อมไม่เพียงพอให้ต้องกลัว ทว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาคือเทียดระดับก่อแก่นปราณระยะปลายท่านหนึ่ง อีกทั้งเทียดของเขายังเป็นศิษย์ก้นกุฏิของโส่วเต๋อเจินจวินผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งแห่งเขาโฮ่วเต๋อ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่กล้าทำอะไรส่งเดช เพราะสิ่งที่นางจะทำไม่เพียงแต่คือการฆ่าคุณชายเสเพลคนนั้นแก้แค้นเพื่อท่านปู่ ยังต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น หากไม่สนใจอะไรเลยพร้อมจะพินาศไปพร้อมเขา คิดว่าต่อให้ไปถึงยมโลกเจอท่านปู่ ท่านปู่ก็ต้องดึงหางเปียตนด่ากราดอย่างแน่นอน

 

 

นึกถึงภาพที่ตาเฒ่าสีหน้าอิ่มเอิบมักดื่มจนเมากรึ่มดึงหางเปียตนเอง มั่วชิงเฉินอดยิ้มละไมไม่ได้ ในใจทั้งหวานชื่นทั้งเจ็บปวด

 

 

มั่วชิงเฉินแหงนหน้ามองห้องศิลาน้ำแข็งที่สะอาดหมดจดปราดหนึ่ง พ่นลมเย็นออกมาช้าๆ เรื่องที่ตนยังไม่ได้ทำมีมากถึงเพียงนี้ ดังนั้นไม่ว่าเช่นไรก็จะเดินอย่างมุ่งมั่นต่อไปตามทางสายนั้น แม้มีคนบางคนเรื่องบางเรื่องทำให้ตนเจ็บปวด ทำให้ตนปีติ ทำให้ตนหลงใหล ทำให้ตนเศร้าโศก กลับไม่มีทางและไม่ควรกลายเป็นหินขัดขา[2]ระหว่างทาง

 

 

เรียบเรียงความหนักเบารีบร้อนผันผ่อนของการกระทำ มั่วชิงเฉินหยิบสวนสมุนไพรพกพาออกมา ก้มหน้าก้มตาจัดระเบียบขึ้นมา

 

 

หลายปีมานี้มั่วชิงเฉินไปสถานที่มาไม่น้อย เห็นหญ้าทิพย์สมุนไพรทิพย์ก็ไม่สนใจว่ารู้จักหรือไม่ โยนเข้าสวนสมุนไพรพกพาไปให้หมด เพราะว่าพฤกษาวิญญาณบางอย่างแม้ยามที่อายุปีน้อยมองประโยชน์ใช้สอยไม่ออก ทว่าเมื่อถึงพันปี หมื่นปี ก็จะมีฤทธิ์มหัศจรรย์ออกมา

 

 

พฤกษาวิญญาณในสวนสมุนไพรพกพาจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน มั่วชิงเฉินถอนใจอึดหนึ่ง ทีนี้ไม่ต้องห่วงว่าจะเบื่อแล้ว ดูจากสถานการณ์นี้ ยามที่ตนออกจากถ้ำสามารถค่อยๆ จัดระเบียบเรียบร้อยได้ก็ไม่เลวแล้ว

 

 

มีคำพูดประโยคหนึ่งเรียกว่าแผนการเร็วสู้การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในยามที่มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนถูกขังเข้าโถงลงทัณฑ์ หรวนหลิงซิ่วถูกสั่งให้ส่งกลับสำนักลั่วสยา เหตุการณ์ฉาวโฉ่ที่ครึกโครมไปทั้งสำนักค่อยๆ สงบลง เรื่องก็เกิดคลื่นลมอีก

 

 

ศิษย์พรรคเหยากวงมีมากมาย คนเยอะพูดมาก ไม่รู้เหตุใดก็ลือข่าวการกลับมามั่วชิงเฉินไปถึงนิกายเหอฮวน

 

 

ทีนี้นิกายเหอฮวนโกรธแล้ว ยามนั้นนักพรตเหอกวงพูดปาวๆ ว่าหากศิษย์กลับมาโดยสวัสดิภาพ ก็จะไปรับผิดและรับโทษที่นิกายเหอฮวนมิใช่หรือ คนเขาจึงส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณข้ามมาทันที บีบคั้นกันด้วยเหตุนี้

 

 

พูดไปแล้วสี่สำนักแปดนิกายล้วนนับว่าเป็นพวกเดียวกันในเรื่องใหญ่โต ยามที่ต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรมาร อสูรปีศาจย่อมเป็นเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา ทว่าใช้นิ้วเท้าคิดก็คิดออก ปกติจะขาดการต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังได้อย่างไร

 

 

เรื่องที่นักพรตเหอกวงรุดไปนิกายเหอฮวนเพียงลำพังท้าดวลกระบี่กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันเจ็ดท่าน ได้ลือไปทั่วสำนักใหญ่น้อยบริเวณใกล้เคียงหมดแล้ว ทำให้นิกายเหอฮวนเสียหน้าอย่างใหญ่หลวง

 

 

สำนักใหญ่โตเช่นพรรคเหยากวงและนิกายเหอฮวนเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้ขึ้นมาจริงๆ แล้วให้คนอื่นเป็นตาอยู่เก็บผลประโยชน์ไป ทว่าการทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ยังคงเป็นเรื่องปกติมาก

 

 

นิกายเหอฮวนจึงจับจุดอ่อนจุดนี้ บังคับนักพรตเหอกวงให้ก้มศีรษะ จะได้กู้หน้าคืน

 

 

ในวันนั้น ในที่สุดนักพรตเหอกวงก็ปรากฏตัว ศิษย์ในสำนักต่างเป็นห่วงนักพรตเหอกวงที่ใจกว้างเปิดเผยจะไปขอรับโทษที่นิกายเหอฮวนจริงๆ แอบลุ้นจนเหงื่อออกฝ่ามือ

 

 

ใครจะรู้ว่านักพรตเหอกวงกลับเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “วันนั้นข้าพูดไว้ว่า หากพรรคของท่านสามารถมอบศิษย์ของข้ากลับคืนโดยสวัสดิภาพ เหอกวงย่อมยอมรับผิดและรับโทษด้วยตนเอง”

 

 

‘ซี๊ด’ เสียงหนึ่ง ศิษย์พรรคเหยากวงสูดลมเย็นย้อนขึ้นอึดหนึ่ง แย่แล้วแย่แล้ว นักพรตเหอกวงยอมรับจริงๆ แล้ว

 

 

เมื่อนักพรตเหอกวงปรากฏตัวเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนก็เกิดโกลาหลขึ้นเช่นกัน มีหญิงสาวหลายคนบนหน้าไม่เห็นความโกรธเคือง กลับกันกลับรู้สึกความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

 

 

หญิงสาวที่เป็นผู้นำก็คือเซียนหมีเมิ่งที่เป็นผู้นำครั้นการทดสอบแห่งหุบเขาโยวเล่อเมื่อปีนั้น เพิ่งสิ้นเสียงกู้หลีนางก็หัวเราะคิกคักว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายเต๋าเหอกวงก็ตามบ่าวไปเถอะ”

 

 

นักพรตเหอกวงไม่ขยับเขยื้อน ยิ้มอย่างไม่แยแสและห่างเหิน “หรือว่าท่านเซียนฟังไม่ชัดเจน ที่เหอกวงพูดคือพรรคท่านส่งศิษย์ข้าคืนมา ทว่าบัดนี้ ศิษย์ข้ากลับมาด้วยตนเอง ไม่เกี่ยวกับพรรคท่านเลยแม้แต่น้อย”

 

 

“ท่าน!” เซียนหมีเมิ่งอึ้ง นางเป็นคนน้ำกลิ้งบนใบบอนเสมอมา รูปโฉมก็งดงาม เรื่องที่ให้นางออกหน้า ยากที่จะทำไม่สำเร็จ ทว่าเฉพาะเจาะจงนักพรตเหอกวงคนนี้ ดูแล้วอ่อนโยนสง่างาม กลับไม่ฟังความคิดเห็นผู้อื่น ไม่มีที่ให้ลงมือ

 

 

ยิ่งกว่านั้นไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ต่อหน้าเขา วิชาเสน่ห์ของตนเหล่านั้นก็ไม่อยากใช้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว ช่างประหลาดดีแท้

 

 

เซียนหมีเมิ่งพาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่กี่คนกลับนิกายเหอฮวนอย่างหัวซุกหัวซุน ทว่าผ่านไปไม่นานเท่าไร นิกายเหอฮวนก็ส่งคนมาอีกแล้ว

 

 

ที่มาครั้งนี้ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทั้งหมด

 

 

ครั้งนี้ พวกนางไม่ได้โวยวาย หากแต่ยื่นเทียบสีแดงสดใบหนึ่งขึ้นมาอย่างถูกต้องตามระเบียบ ปกหน้าเขียนไว้ว่า ‘พบหน้าประตูสำนัก!’

 

 

ในดินแดนเทียนหยวน อันว่า ‘พบหน้าประตูสำนัก’ ก็คือเทียบท้ารบ พูดให้กระจ่างก็คือคนเขามาหาเรื่องแล้ว

 

 

ระหว่างศิษย์ของแต่ละสำนักที่เป็นพวกเดียวกันหากเกิดกระทบกระทั่งกันขึ้น ไม่สะดวกจะสู้กันอย่างเอิกเกริก ก็จะส่งเทียบท้ารบสีแดงสดเช่นนี้ โดยให้คนต้นเรื่องทั้งสองฝ่ายหรือส่งคนที่มีตบะทัดเทียมกันจากสองสำนักเข้าสู่กันประลอง หากฝ่ายที่ถูกส่งเทียบท้ารบไม่กล้ารับคำท้า เช่นนั้นต่อไปก็อย่าคิดจะโงหัวขึ้นมาได้เลย

 

 

ศิษย์ที่เฝ้าประตูเห็นเทียบสีแดงสด หน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน รีบนำเทียบวิ่งทะยานไปทันที

 

 

 

 

——

 

 

[1] น้ำมาคลองเกิด เป็นการอุปมาว่า เมื่อเงื่อนไขสุกงอม เรื่องต่างๆ ก็จะบรรลุผลสำเร็จ

 

 

[2] หินขัดขา หมายถึง สิ่งที่ถ่วงความเจริญก้าวหน้า