ตอนที่ 200 เหยากวงผู้อัดอั้นตันใจ

พันธกานต์ปราณอัคคี

สารท้ารบสีแดงสดเช่นนี้ ศิษย์เฝ้าประตูย่อมไม่กล้าชักช้า ผ่านการส่งขึ้นไปเป็นขั้นๆ ส่งไปถึงมือของเจ้าสำนักโดยตรง

 

 

เจ้าสำนักของพรรคเหยากวงนามทางเต๋านักพรตฟางเหยา เป็นชายวัยกลางคนที่ดูแล้วหน้าตาธรรมดา คางไว้หนวดสั้น เขาสามารถขึ้นเป็นเจ้าสำนักได้ คนผู้นี้จัดการเรื่องต่างๆ เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่แล้วต้องลื่นไหลกว่ามาก ทว่าบัดนี้ถือสารท้ารบสีแดงสดไว้กลับเหมือนถือเผือกร้อนๆ[1] ไว้ก็ไม่ปาน ร้อนใจจนหมุนไปหมุนมา

 

 

ว่าไปแล้วก็เป็นความโชคร้ายของเขา พรรคเหยากวงอยู่อันดับสามในสี่สำนักแปดนิกาย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่เป็นที่นับถือของสำนักและตระกูลใหญ่ๆ น้อยๆ นับไม่ถ้วน สารท้ารบ ‘เยือนสำนัก’ เช่นนี้ไม่ได้รับมากว่าร้อยปีแล้ว เหตุใดถึงคราวเขาเป็นเจ้าสำนัก ก็ได้รับของรับมือยากเช่นนี้

 

 

ที่จริงนักพรตฟางเหยาก็ไม่ใช่กลัวศิษย์ทั้งสองฝ่ายสู้กันหรอก สำหรับในด้านนี้ศิษย์เหยากวงยังคงมีความมั่นใจอยู่ ทว่าข้อสำคัญคือ คนเขาชี้ชื่อบอกแซ่ ข้อพิพาทครั้งนี้ในเมื่อเกิดจากศิษย์ของนักพรตเหอกวง เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางออกหน้ารับคำท้า ที่แย่คือนางหนูนั่งถูกผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งออกคำสั่งขังเข้าโถงลงทัณฑ์ด้วยตนเอง นี่ยังเพียงแค่ไม่กี่เดือนเองนะ เขาจะกล้าตัดสินใจปล่อยนางหนูนั่นออกมาได้อย่างไรกัน?

 

 

“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ไม่สู้ขอคำชี้แนะจากผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งสักหน่อย?” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณข้างๆ เอ่ย เขาก็คือผู้นำพาเหล่าศิษย์ไปรับการทดสอบที่หุบเขาโยวเล่อเมื่อปีนั้นนักพรตฝูหมิง

 

 

นักพรตฟางเหยาถอนใจว่า “ศิษย์น้องฝูหมิง เจ้าไม่รู้อะไร ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งไม่กี่วันก่อนเพิ่งกักตน ต่อให้ข้าอยากขอความเห็น ก็ขอความเห็นไม่ได้น่ะสิ”

 

 

เจ้าสำนักเหยากวงตบะไม่นับว่าสูงที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ทว่าเพราะฐานะที่พิเศษ ความเคลื่อนไหวของผู้เฒ่าไท่ซ่างระดับก่อกำเนิดเหล่านั้นปกติก็จะรู้ดี

 

 

นักพรตฝูหมิงชะงัก ลังเลว่า “ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับใหญ่เหตุใดจู่ๆ ถึงกักตนขึ้นมา…”

 

 

ที่จริงเรื่องนี้เดิมทีเขาไม่ควรถาม ทว่าเขาและนักพรตฟางเหยาสนิทกันมาโดยตลอด ส่วนบัดนี้ก็เกิดเรื่องเช่นนี้อีก จึงทนไม่ไหวพูดออกมา

 

 

นักพรตฟางเหยาเหลือบนักพรตฝูหมิงปราดหนึ่ง ถึงเอ่ยเนิบๆ ว่า “ศิษย์น้องฝูหมิง คำพูดนี้ตามหลักแล้วข้าไม่ควรพูด ทว่าเจ้าก็รู้ ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งอายุหนึ่งพันเก้าร้อยกว่าปีแล้ว…”

 

 

ว่ากันตามหลักการผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอยู่ได้ถึงสองพันปี ทว่านั่นคือในยามร่างกาย จิตใจล้วนยอดเยี่ยมในทุกด้าน และผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่กว่าจะเดินถึงระดับก่อกำเนิด มีผู้ใดไม่ผ่านความลำบากหมื่นพัน อุปสรรคมากล้นมาบ้าง

 

 

ว่ากันตามปกติแล้วผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะต้นหากไม่สามารถเลื่อนขั้น อายุขัยส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างหนึ่งพันสองร้อยปีถึงหนึ่งพันห้าร้อยปี ผู้บำเพ็ญเพียรระยะกลางจะอยู่ระหว่างหนึ่งพันห้าร้อยปีถึงหนึ่งพันแปดร้อยปี ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายอยู่ระหว่างหนึ่งพันแปดร้อยปีถึงสองพันปี ทว่าก่อนถึงอายุขัยไม่ถึงสองร้อยปี ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับผู้เฒ่าที่ค่อยๆ แก่แล้วคนหนึ่ง ทั่วทั้งร่างจะเปล่งกลิ่นอายแห่งความตายรางๆ ออกมาสายหนึ่ง

 

 

โส่วเต๋อเจินจวินอายุหนึ่งพันเก้าร้อยกว่าปี ดูแล้วยังกระชุ่มกระชวย งามสง่าดุจเซียน นับว่ารักษาสุขภาพได้ดีมากแล้ว

 

 

นักพรตฝูหมิงก็เป็นคนเข้าใจอะไรทะลุปรุโปร่งเช่นกัน ย่อมเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของนักพรตฟางเหยา บนใบหน้าจึงฉายแววหนักหน่วงส่วนหนึ่ง

 

 

ใครไม่รู้บ้าง การเรียงอันดับของสี่สำนักแปดนิกาย ดูกันที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเป็นนสำคัญ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะกลาง ปลายนั้นยิ่งสำคัญยิ่งกว่าสำคัญ หากเมื่อใดที่ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งดับสูญ เหยากวงยังไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนใหม่ปรากฏขึ้นอีก เช่นนั้นตำแหน่งของพรรคเหยากวงต้องสั่นคลอนเป็นแน่แท้ ส่วนสิ่งที่ตามมาหลังจากตำแหน่งสั่นคลอนนั้นก็คือการแก่งแย่งชิงดีกันทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรที่ควบคุมไว้ต้องรั่วไหลเป็นแน่

 

 

“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก เช่นนั้นท่านมีแผนการอย่างไร?” นักพรตฝูหมิงถามขึ้น

 

 

นักพรตฟางเหยาส่ายศีรษะ “แผนในยามนี้ มีเพียงถ่วงเวลาเท่านั้น! ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะกักตนนาน”

 

 

“ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ มิถูกนิกายเหอฮวนจับจุดอ่อนไว้หรอกหรือ โดยเฉพาะศิษย์หลานชิงเฉินคนนั้น เกรงว่าจะกระทบไปถึงชื่อเสียง” นักพรตฝูหมิงขมวดคิ้วว่า

 

 

นักพรตฟางเหยายิ้มมองเขาปราดหนึ่ง “ศิษย์น้องฝูหมิง ดูท่าเจ้าจะประทับใจไม่เลวต่อศิษย์หลานชิงเฉินคนนั้นนะ”

 

 

นักพรตฝูหมิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าจำได้ว่าปีนั้นยามที่นำพาเหล่าศิษย์ไปทดสอบที่หุบเขาโยวเล่อ นางหนูนั่นยังเป็นแม่นางน้อยอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปด เหมือนกับศิษย์คนสุดท้ายของศิษย์พี่ยั่วซี เด็กผู้หญิงสองคนอายุน้อยๆ ยืนอยู่ด้วยกันสะดุดตายิ่งนัก ข้ายังแอบคิดอยู่ อายุดั่งบุปผาเช่นนี้ก็ไปหุบเขาโยวเล่อ มิใช่ไปตายหรอกหรือ ทว่าไม่คิดว่าพวกนางไม่เพียงแต่กลับมาโดยสวัสดิภาพ สมุนไพรทิพย์ที่มอบขึ้นมายังแลกโอสถสร้างรากฐานได้ไม่เพียงแค่เม็ดเดียว กระทั่งยังช่วยนางหนูมั่วไว้อีก พูดตามตรง นางหนูน้อยสองคนในปีนั้นทิ้งความประทับใจไว้อย่างลึกซึ้งในใจศิษย์น้องจริงๆ”

 

 

นักพรตฟางเหยายักคิ้วว่า “เอ่อ ยังมีเรื่องในอดีตเช่นนี้หรือ ศิษย์น้องฝูหมิงเอ๋ยในเมื่อปีนั้นเจ้าเห็นว่าพวกนางสองคนไปรนหาที่ตาย ไยไม่รั้งไว้ล่ะ?”

 

 

นักพรตฝูหมิงหัวเราะว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักหัวเราะเยาะข้าอยู่มิใช่หรือ ที่นางหนูสองคนนี้ทิ้งความประทับใจไว้ในใจข้า ย่อมเป็นเพราะพวกนางลุล่วงการทดสอบโดยสวัสดิภาพ มิเช่นนั้นจะต่างอะไรกับศิษย์ที่อายุน้อยโผงผาง สงบใจบำเพ็ญเพียรอย่างจริงๆ จังๆ ไม่ลงร้อนใจจะให้ประสบความสำเร็จพวกนั้น ข้ามีปัญญารั้งอย่างนั้นหรือ?”

 

 

สองคนประสานสายตาหัวเราะออกมา ไม่พูดมากอีก

 

 

เจ้าสำนักตัดสินใจถ่วงเวลาต่อไป ข้ออ้างต่อนิกายเหอฮวนย่อมบอกว่าท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งกักตนไม่ได้ ได้เพียงบอกว่าศิษย์ของนักพรตเหอกวงหลังจากกลับมาแล้วก็กักตน ชั่วเวลาหนึ่งเกรงว่าจะออกมาไม่ได้

 

 

น่าสงสารมั่วชิงเฉินที่อยู่ไกลถึงถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดกำลังทนการทรมานกับสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปยากจะทนได้ ยังโดนหางเลขโดยไม่รู้เรื่องอีก

 

 

นิกายเหอฮวนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิง อีกทั้งปากจัด บัดนี้ก็พำนักอยู่ใต้เชิงเขาพรรคเหยากวง ทุกวันจะตะโกนเสียงดังใส่ประตูสำนักสักสองสามประโยค แต่ละประโยคล้วนหันหัวหอกไปที่มั่วชิงเฉิน บอกว่านางเสียทีที่เป็นศิษย์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ กลับเป็นคนขี้ขลาดตาขาว เป็นหญิงไม่เอาไหนที่รู้จักเพียงหลบอยู่หลังผู้ใหญ่

 

 

ถึงตอนท้ายพูดไปพูดมา บอกว่าการที่มั่วชิงเฉินทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พรรคเหยากวงเสื่อมเสีย ยังทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั่วหล้าเหมือนโงศีรษะไม่ขึ้นเอาเสียเลย

 

 

ต้องรู้ว่าพรรคเหยากวงตั้งอยู่ที่เทือกเขาฟางจู แม้เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ทว่าสำนักและตระกูลใหญ่ๆ น้อยๆ ที่เทือกเขาฟางจูยังคงมีนับไม่ถ้วน ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางผ่านเชิงเขาเหยากวงในแต่ละวันมีมากมาย นานวันเข้า เรื่องนี้จึงลือสะพัดออกไป อย่างช้าๆ ไม่คิดว่าก็มีผู้บำเพ็ญเพียรไร้สาระบางคนทุกครั้งที่ถึงเวลาที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงของนิกายเหอฮวนตะโกน ก็จะออกมาดูความครึกครื้นตามเวลา

 

 

ผ่านไปอีกสิบกว่าวัน เชิงเขาพรรคเหยากวงได้ตั้งวงพนันขึ้นมาแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งล้อมวงวางหินวิญญาณอยู่ตรงนั้น พนันว่ามั่วชิงเฉินจะกล้าออกมาเมื่อไร

 

 

พรรคเหยากวงปิดประตูสำนักสนิท หากมีศิษย์ที่บังเอิญเข้าออก หรือออกไปไม่มีสักคนที่ไม่แข็งใจ หนีหัวซุกหัวซุนท่ามกลางสายตาเย้ยหยันของผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่เชิงเขา ศิษย์ที่อยู่ในสำนักก็อัดอั้นตันใจเช่นเดียวกัน

 

 

“ไม่ได้ ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าต้องจัดการนางมารพวกนั้นให้ได้!” ศิษย์ระดับสร้างรากฐานที่ใส่ชุดของศิษย์ในสำนัก รูปร่างกำยำตบโต๊ะอย่างแรงด้วยมือใหญ่ปานพัดกก ยกขาขึ้นก็จะพุ่งออกไปข้างนอก

 

 

ศิษย์สองสามคนดึงเขาไว้แน่น “ศิษย์พี่หวัง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ อาจารย์อาเจ้าสำนักสั่งพวกเราไว้อย่างเคร่งครัดว่าห้ามปะทะกับศิษย์นิกายเหอฮวนเด็ดขาด เจ้าอย่าลืมนะ คนเขามา ‘เยือนสำนัก’ อย่างเป็นทางการ หากเจ้าตัวไม่ออกมา พวกเราออกไปจัดการพวกเขาแล้ว เช่นนั้นพรรคเหยากวงก็จะกลายเป็นเรื่องตลกในใต้หล้าแล้ว”

 

 

ศิษย์รูปร่างกำยำโมโหกัดฟันว่า “ท่านย่าเจ้าสิ ช่างอัดอั้นจริงๆ เลย ถูกผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอุดอยู่ในสำนักเย้ยหยันเช่นนี้ ศิษย์น้องมั่วผู้นั้นมิใช่ถูกท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งสั่งให้ขังในโถงลงทัณฑ์สามปีหรอกหรือ หรือว่าสามปีนี้พวกเราก็ต้องรองรับอารมณ์เช่นนี้ทุกวันหรือ?”

 

 

ศิษย์ระดับสร้างรากฐานรูปร่างผอมบางคนหนึ่งว่า “ศิษย์พี่หวัง เจ้าสงบใจลองคิดดู อาจารย์อาเจ้าสำนักไม่ได้บอกว่าไม่รับคำท้าหรอกนะ เพียงแต่บอกว่าศิษย์น้องมั่วกำลังกักตนอยู่ เกรงว่าต้องช้าสักระยะ นางมารกลุ่มนั้นตั้งใจโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้ เพื่อทำให้พรรคเหยากวงของเราเสียหายเท่านั้น ข้าคาดว่า อาจารย์อาเจ้าสำนักต้องขอคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างโดยเร็วที่สุด ปล่อยศิษย์พี่มั่วออกมาก่อนกำหนดแน่นอน”

 

 

ในที่สุดศิษย์รูปร่างกำยำก็สงบลงมา ทว่ามีศิษย์อีกคนหนึ่งว่า “พวกเจ้าว่า ต่อให้ศิษย์น้องมั่วคนนั้นออกมา นางจะชนะได้หรือ หากพ่ายแพ้ เหยากวงเราก็เสียหน้าไม่ต่างกันมิใช่หรือ”

 

 

ศิษย์รูปร่างผอมบางว่า “นี่ก็พูดยากแล้ว อย่างไรเสียศิษย์น้องมั่วอายุน้อยนัก เพิ่งเข้าระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ต่อให้พรสวรรค์จะสูงสักเพียงใดตบะก็วางอยู่ตรงนั้นก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้นะ ยิ่งกว่านั้นแม้ศิษย์น้องมั่วจะมีชื่อมากในสำนัก ที่จริงแทบจะไม่มีคนเคยเห็นนางลงมือเลยกระมัง ประสบการณ์การสู้จริงเป็นเช่นไรยิ่งยากจะคาดเดา เป็นที่รู้กัน ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรตบะเท่ากัน พลังการต่อสู้กลับอาจต่างกันราวฟ้าดินก็ได้”

 

 

เมื่อพูดออกไป ศิษย์ทุกคนก็กลัดกลุ้มอีกแล้ว ยามนี้เองมีเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “น้องกลับรู้สึกว่าศิษย์พี่มั่วต้องมีที่ที่โดดเด่นกว่าผู้อื่นเป็นแน่”

 

 

เห็นทุกคนกวาดตามา กระแอมสองทีว่า “เอ่อ ข้าจำได้ว่าหลายปีก่อนบังเอิญเห็นศิษย์พี่จ้าวแห่งเขาต้วนจินเกาะแกะศิษย์พี่มั่วอยู่บนถนนใหญ่ ถูกศิษย์พี่มั่วดึงก้อนอิฐออกมาก้อนหนึ่งตบจนสลบ แค่กๆ ยามนั้นศิษย์พี่มั่วเพิ่งจะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นเองนะ”

 

 

สีหน้าทุกคนมีสีสันขึ้นมาทันที คนหนึ่งนึกขึ้นได้ว่า “ใช่แล้ว ปีนั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องตลกใหญ่โตในบรรดาศิษย์ในสำนักแล้ว น่าสงสารศิษย์พี่จ้าวตามขอความรักคนในดวงใจไม่สำเร็จ กลับถูกก้อนอิฐในมือของคนในดวงใจตบจนสลบ เกรงว่าคงจะเป็นคนแรกแล้ว”

 

 

“ฮ่าๆ ถูกต้อง ไม่แน่อาจมีคนข้างหลังอีกก็ได้ ไม่สู้พวกเจ้าคนไหนลองไปขอความรักศิษย์น้องมั่วดู?”

 

 

คนอื่นตกใจจนชะงักทันที เนิ่นนานถึงมีคนเอ่ยอย่างเหลอหลาว่า “ศิษย์น้องมั่วดูแล้วไม่โดดเด่นนี่นา นิสัยยังแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ พวกเจ้าว่า ไยศิษย์พี่เยี่ยถึงชอบแบบนี้นะ?”

 

 

ทุกคนนิ่งงัน

 

 

มั่วชิงเฉินที่อยู่ในถ้ำน้ำแข็งไม่รู้หรอกนะว่าชื่อเสียงตนได้กระจายจากพรรคเหยากวงสู่ภายนอกแล้ว อีกทั้งยังเป็นชื่อเสียด้วย

 

 

ยามนี้นางกำลังดูของสองสามอย่างที่นางค้นพบเฉพาะกิจอย่างดีอกดีใจ

 

 

ว่าไปแล้วในถ้ำนี้ก็ประหลาด ไม่สามารถเคลื่อนพลังวิญญาณร่ายคาถาต้านหนาวได้ กลับสามารถใช้ถุงเก็บวัตถุได้ และก็ไม่กระทบกระเทือนการศึกษาของเล่นพวกนี้ สาเหตุคงเพราะใช้พลังวิญญาณน้อยนั่นเอง?

 

 

ไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ทางสำนักตั้งโถงลงทัณฑ์นี้ขึ้นมา คงไม่ทำไว้เพียงเพื่อสั่งสอนศิษย์อย่างเดียวแล้วให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่

 

 

มั่วชิงเฉินหยิบขวดกระเบื้องสีขาวขึ้นมาใบหนึ่ง ข้างในใส่ผงสีชมพูไว้ เก็บจากดอกไม้ไร้นามอายุพันปีดอกหนึ่ง ตอนนั้นนางสังเกตได้อย่างหลักแหลมว่าของนี่ไม่ธรรมดา จึงเอาออกมาลองเล็กน้อย ไม่คิดว่าในพริบตาเดียวศีรษะของนางก็กลายเป็นหัวหมู ยิ่งกว่านั้นยังอยู่ในสภาพหัวหมูนั่นสองชั่วยามเต็มๆ ถึงกลับคืนสภาพเดิมได้ ทำมั่วชิงเฉินตกใจแทบตาย

 

 

หน้าตาขี้เหร่สักหน่อยนางไม่กลัว ทว่ากลายเป็นหัวหมูไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหวนะ!

 

 

หลังจากนั้นมั่วชิงเฉินคลำของที่หน้าตาคล้ายฟักทองออกมา ของสิ่งนี้เป็นผลที่งอกจากเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง ใส่หินวิญญาณก้อนหนึ่งเข้าไปทางด้านบนละก็ฟักทองทั้งผลก็จะเปล่งแสงสีเหลืองออกมา อีกทั้งยังส่งกลิ่นหวานหอมอ่อนๆ ด้วย ตามความเร็วในการเผาผลาญหินวิญญาณ หินวิญญาณก้อนหนึ่งสามารถทนอยู่ได้หนึ่งปี

 

 

ต่อมา มั่วชิงเฉินหยิบก้อนกลมสีดำขนาดเท่าผลทับทิมขึ้นมาลูกหนึ่ง

 

 

ยามที่นางอายุสิบกว่าปีค้นพบพฤกษาวิญญาณที่มีหนามชนิดหนึ่งบนเขาโดยบังเอิญ อายุพันปีแล้ว กลับไม่มีประโยชน์ใช้สอยใดๆ มิน่าไม่มีคนใส่ใจ จึงติดมือโยนเข้าในสวนสมุนไพร ทว่าบัดนี้จู่ๆ นางพบว่าไม้หนามพุ่มนั้นงอกก้อนกลมสีดำออกมามากมาย นับขึ้นมาแล้วไม้หนามนั้นน่าจะมีหมื่นปีแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินใช้มือช่างน้ำหนักก้อนกลมสีดำดู รู้สึกรางๆ ว่าภายในแฝงไว้ด้วยอานุภาพมหาศาล ตกลงจะทดลองหรือไม่ทดลองนะ?

 

 

แค่กๆ ได้ยินมาว่าโถงลงทัณฑ์ขังได้แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เขตอาคมต้องร้ายกาจมากแน่ๆ คงไม่มีทางเสียหายหรอกกระมัง?

 

 

มั่วชิงเฉินคิดอย่างชั่วร้าย ในที่สุดก็ต้านความคันคะเยอในใจไม่ไหว ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในก้อนกลมสีดำเล็กน้อย แล้วโยนมันออกไป

 

 

 

 

——

 

 

[1] เผือกร้อน หมายถึง เรื่องราวหรือปัญหาที่แก้ไขยาก รับมือยาก ประหนึ่งเผือกร้อนๆ ถือเอาไว้ก็มีแต่จะลวกมือให้พองเสียเปล่าๆ