ตอนที่ 201 อาการบาดเจ็บของเทียนหยวน

พันธกานต์ปราณอัคคี

ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่น ตามด้วยควันตลบอบอวล ห้องศิลาส่ายไปมาทั้งห้องเหมือนแผ่นดินไหว เขตอาคมที่มองไม่เห็นที่สลักอยู่ในห้องศิลาเปล่งแสงวิญญาณขึ้นมาในทันใด ถึงหยุดการสั่นลงได้

 

 

“ศิษย์น้องมั่ว!” เยี่ยเทียนหยวนปรากฏขึ้นในพริบตาเตะประตูออก รีบปิดบังความกังวลบนใบหน้าในพริบตาที่เห็นมั่วชิงเฉิน กลับมามีท่าทางเย็นดุจน้ำแข็งดังเดิม

 

 

“แค่กๆๆ ศิษย์พี่เยี่ย น้องไม่เป็นไร” มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าควันเข้าไปเต็มท้อง สำลักจนน้ำตาไหลออกมาหมดแล้ว โชคดีที่ตนเป็นคนปล่อยก้อนกลมสีดำนั่นออกเอง มิเช่นนั้นอานุภาพเช่นนี้จะไม่ระเบิดจนตนเลือดเนื้อกระจายหรอกหรือ

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง ก็เห็นกำแพงห้องศิลาทั้งสี่ด้านปรากฏรอยร้าวหลายแห่ง มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก ปฏิกิริยาแรกก็คือแย่แล้ว ไหนบอกว่าห้องศิลานี่ขังผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงได้มิใช่หรือ เหตุใดถึงถูกก้อนกลมสีดำระเบิดจนเกิดรอยร้าวล่ะ คงไม่…คงไม่ให้ตนชดใช้หรอกนะ?

 

 

มั่วชิงเฉินกลับลืมไป มีผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนที่โยนระเบิดเล่นส่งเดชในโถงลงทัณฑ์บ้าง อีกอย่างในห้องศิลานี้แม้มีเขตอาคม กลับมีไว้สำหรับเพิ่มพลังความหนาวเย็น ด้านป้องกันไม่นับว่าโดดเด่น ยิ่งกว่านั้นห้องศิลาไม่ใหญ่ พลังระเบิดของก้อนกลมสีดำไม่อาจกระจายออกไปอีก ทั้งหมดอัดอยู่ในนี้ อานุภาพจะไม่ใหญ่โตได้หรือ?

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉิน สีหน้ากลับแปลกประหลาดอยู่บ้าง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ในเมื่อศิษย์น้องไม่เป็นไร ข้าก็กลับไปแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินรีบว่า “ได้ ได้ ศิษย์พี่เยี่ยตามสบาย”

 

 

เพิ่งพูดจบ ก็ได้ยินเสียงติ๊งเสียงหนึ่ง มุกราตรีเม็ดเป้งบนกำแพงร่วงลงบนพื้น กลิ้งหลุนๆ ไปถึงเท้าเยี่ยเทียนหยวน

 

 

มั่วชิงเฉินกระอักกระอ่วนเหลือจะกล่าวขึ้นมาทันที แสยะมุมปากยิ้มโง่ๆ ให้เยี่ยเทียนหยวนสองสามที แล้วมองมุกราตรีที่อยู่ข้างเท้าเขาตาปริบๆ

 

 

สวรรค์ ขืนสถานที่สับปะรังเคนี่ไม่มีแม้แสงสว่างสักสายละก็ เกรงว่านางจะต้องบ้าแล้วจริงๆ แม้เป็นเช่นนี้ กลับไม่กล้าเดินเข้าไป กลัวความรู้สึกประหลาดนั่นจะมากวนให้นางหงุดหงิดใจอีก

 

 

เยี่ยเทียนหยวนก้มตัวลงเก็บมุกราตรีขึ้นมา แล้วโยนให้มั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินยกมือรับมุกราตรีไว้ แต่กลับหรี่ตาแล้วหรี่ตาอีก ไยศิษย์พี่เยี่ยรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย

 

 

“ศิษย์พี่เยี่ย…” มั่วชิงเฉินออกเสียงเรียก สาเหตุสำคัญที่นางหลบเขาเพราะแรงดึงดูดที่ยากจะควบคุมระหว่างสองคนทำให้นางใจสั่น ก็ไม่ใช่ว่ารังเกียจเขาถึงเพียงใดจริงๆ หรอก สองคนถูกขังอยู่ที่นี่ด้วยกัน อีกทั้งยังอยู่สำนักเดียวกัน หากเกิดเรื่องจะไม่สนใจจริงๆ ได้อย่างไร

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกลับไม่รอให้มั่วชิงเฉินพูดจบ พยักหน้าให้นางแผ่วเบา แล้วกลับไปโดยเร็ว

 

 

มั่วชิงเฉินกำมุกราตรีไว้ ครุ่นคิด

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกลับถึงห้องศิลา ก็พิงตัวไว้กับกำแพงแล้วหอบหายใจ ค่อยๆ ยื่นมือออกมากุมท้องน้อยไว้ เหงื่อเย็นไหลลงมาเป็นทาง

 

 

ช่างแย่จริงๆ ยามนั้นเขากลัวว่าจะทำเรื่องทำร้ายมั่วชิงเฉินขึ้นมา จึงใช้สติสัมปชัญญะหยดสุดท้ายทำร้ายตัวเอง เดิมทีนึกว่าทายามังกรเหลืองแล้ว ก็จะไม่เป็นไรแล้ว

 

 

ใครจะคิดว่าผิวนอกบาดแผลที่ท้องดูแล้วฟื้นฟูดังเดิมแล้ว ทว่าข้างในกลับไม่เห็นดีขึ้นเสียที กระทั่งตามไอเย็นในถ้ำที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้น ร่างกายหลังจากได้รับบาดเจ็บภูมิต้านทานก็ยิ่งลดลง บาดแผลก็มีทีท่าแย่ลง

 

 

โอสถรักษาอาการบาดเจ็บอย่างอื่นล้วนใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายใน บาดเจ็บภายในของผู้บำเพ็ญเพียรที่ว่ากัน ส่วนใหญ่เพราะพลังวิญญาณในกายถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกทำให้ปั่นป่วน ดังนั้นโอสถพวกนั้นสำหรับสถานการณ์ตรงหน้าของเขาแล้วไม่สามารถช่วยได้เลย

 

 

หากสามารถเคลื่อนพลังวิญญาณได้ก็ว่าไปอย่าง อาการบาดเจ็บเช่นนี้ภายใต้การหล่อเลี้ยงของพลังวิญญาณจะสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว ทว่าในถ้ำน้ำแข็งนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรคิดจะใช้พลังวิญญาณมาเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย นั้นอย่าได้ฝันเลย

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหัวเราะระทมอย่างไม่มีเสียงทีหนึ่ง ร่างกายแนบกำแพงนั่งลงไปอย่างช้าๆ

 

 

เดิมทีเขายังสามารถฝืนประคองไว้ ทว่าเมื่อครู่ได้ยินเสียงดังสนั่นดังมาจากด้านมั่วชิงเฉินนั่น ด้วยความร้อนรนท่าทางที่รุนแรงยิ่งทำให้อาการบาดเจ็บสาหัสขึ้น บัดนี้ได้เจ็บจนเหงื่อท่วมศีรษะแล้ว ในช่องท้องยิ่งกระตุกอย่างเจ็บปวดเป็นระลอกๆ เหมือนไส้พันกัน

 

 

“ศิษย์พี่เยี่ย ท่านเป็นอะไรไป?” เสียงของมั่วชิงเฉินดังมา ร่างกายศิษย์พี่เยี่ยเกิดเรื่องแล้วจริงๆ กระทั่งแม้แต่ประตูศิลาก็ไม่ทันได้ปิดให้ดี ดูแล้วเหตุการณ์ไม่สู้ดี

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้ามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง กลับเบือนหน้าไป เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ศิษย์น้องมั่วไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าไม่เป็นไร”

 

 

“ศิษย์พี่เยี่ย!” มั่วชิงเฉินเรียกอีกเสียงหนึ่ง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกลับกัดริมฝีปากไว้ ไม่ออกเสียงสักแอะ

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นเขาหน้าซีดจนน่าตกใจแท้ๆ ริมฝีปากยิ่งไม่มีสีเลือดสักนิด เหงื่อเม็ดเท่าถั่วจะทำเสื้อผ้าเปียกหมดแล้ว กลับยังทำท่าทางดื้อรั้น จึงอดโมโหไม่ได้ว่า “ได้ ได้ ในเมื่อศิษย์พี่เยี่ยไม่เป็นไร น้องก็ไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านแล้ว!”

 

 

พูดจบสะบัดแขนเสื้อ สะบัดหน้าไปแล้ว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองดูเงาหลังของนาง เม้มปากแน่น หลุบตาลงจ้องมือของตนไว้

 

 

ใครจะรู้ว่ามั่วชิงเฉินเพิ่งเดินออกไปก็ย้อนกลับมาเหมือนดั่งลมพัด ไม่กี่ก้าวก็มาถึงข้างกายเยี่ยเทียนหยวนแล้วเอ่ยด้วยความโมโหว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านเป็นอะไรกันแน่ คนอย่างท่านนี่ไยดันทุรังถึงเพียงนี้ กับคนอื่นเป็นเช่นนี้ กับตนเองก็เป็นเช่นนี้!”

 

 

มองดูเสื้อผ้าขาดวิ่นบนร่างมั่วชิงเฉิน บนใบหน้าดำปื้นหนึ่งขาวปื้นหนึ่งยังดันทำท่าโกรธอีก ไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยเทียนหยวนกลับหัวเราะออกมาเบาๆ โฉมหน้าน้ำแข็งแกะสลักที่หล่อเหลาไม่มีที่ติก็ดุจดั่งหิมะแรกละลายในพริบตา ท่วงท่าอันสง่าที่หลั่งไหลออกมาหากหญิงสาวปกติได้เห็นแล้ว ต้องกรีดร้องออกมาเป็นแน่

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้สังเกตถึงสิ่งเหล่านี้ เพียงเพราะเมื่อใดที่นางเข้าใกล้เยี่ยเทียนหยวน กะจิตกะใจส่วนใหญ่ก็ใช้ไปกับการต้านทานแรงดึงดูดประหลาดนั่นจนหมด ยังจะมีกะจิตกะใจที่ไหนมาสนใจสิ่งนี้อีก

 

 

ได้ยินเสียงหัวเราะของเยี่ยเทียนหยวนมั่วชิงเฉินรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง ไฟโกรธในใจยิ่งโหมแรงขึ้น กำลังจะพูดสายตากลับต้องหยุดอยู่บนมือที่เขาปิดบริเวณท้องไว้ตลอด

 

 

“ศิษย์พี่เยี่ย ท่านบาดเจ็บใช่หรือไม่?” มัวชิงเฉินนั่งยองๆ ลงมา สายตาไม่ออกห่างจากตรงนั้น

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเบือนหน้าไป เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ศิษย์น้องมั่วคิดมากไปแล้ว”

 

 

“เอามือออก ข้าขอดูหน่อย” มั่วชิงเฉินฝืนกลั้นไฟโกรธไว้

 

 

เยี่ยเทียนหยวนไม่ขยับเขยื้อน

 

 

มั่วชิงเฉินยักคิ้ว เอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ตกลงท่านจะปล่อยออกเอง หรือจะให้ข้าตีท่านให้สลบแล้วค่อยดู?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งทันที นางหนูนี่ไยถึงรุนแรงขึ้นทุกครั้งนะ?

 

 

มองดูสีหน้าที่ไม่ยอมให้สงสัยของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนรู้ว่านางไม่ได้พูดเล่นหรอกนะ และด้วยสภาพของเขาในยามนี้ มั่วชิงเฉินตีเขาสลบนั้นง่ายเหมือนเป่าฝุ่น[1]

 

 

ด้วยความเย่อหยิ่งของเขา เป็นไปได้อย่างไรที่จะปล่อยให้ผู้อื่นตีสลบ แล้วปล่อยให้คนทำโน่นทำนี่ขณะไม่รู้สึกตัว ต่อให้คนผู้นั้นคือมั่วชิงเฉินก็ตาม

 

 

“ศิษย์พี่เยี่ย…” มั่วชิงเฉินดึงก้อนอิฐออกมาแล้ว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งตึง เขยิบมือออกอย่างช้าๆ

 

 

มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ถึงยื่นมือไปที่บริเวณท้องของเยี่ยเทียนหยวน นางยอมรับ การแตะต้องตัวเขาเช่นนี้ภายใต้สติสัมปชัญญะแจ่มชัดเช่นนี้ของทั้งสองคน ต้องการความกล้าอย่างใหญ่หลวงจริงๆ

 

 

เมื่อมือของมั่วชิงเฉินวางลงตรงนั้น เยี่ยเทียนหยวนก็หลับตาลงทันที เขาไม่เต็มใจให้นางเข้าใกล้ตน ก็เพราะสภาพในยามนี้พลังในการควบคุมตนเองต้องตกลงแน่นอน เขาไม่มั่นใจว่าจะไม่เสียกิริยา

 

 

มั่วชิงเฉินเปิดเสื้อตรงนั้นออกเบาๆ บริเวณท้องน้อยที่เหมือนหยกขาว คือกล้ามท้องแน่นตึงที่ลายเส้นชัดเจนกลับไม่เกินไป เผยให้เห็นถึงเสน่ห์แข็งแกร่งของชายชาตรีที่ต่างจากความงามอันอ่อนช้อยของหญิงสาวอย่างสิ้นเชิง

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าร้อนผ่าว คิดไม่ถึงว่าจะนึกถึงฉากที่เห็นกลางหุบเขาในปีนั้นอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

นางกลับริมฝีปาก พลางดูถูกตนเองพลางฝืนพิจารณา

 

 

ตรงนั้นดูแล้วไม่มีรอยแผลแม้แต่น้อย ทว่ามีที่หนึ่งกลับเป็นสีแดงรางๆ โปร่งใสเล็กน้อย

 

 

นิ้วมือมั่วชิงเฉินแตะลงตรงนั้น ถามว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ตรงนี้ท่านใช้ยามังกรเหลืองใช่หรือไม่?”

 

 

ความรู้สึกเย็นแผ่วเบาส่งผ่านมาจากปลายนิ้วมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนลืมตาขึ้น แล้วพยักหน้า

 

 

“ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ?” มั่วชิงเฉินถามขึ้นอีก ทันใดนั้นรอยเลือดสีแดงเข้มบนเชือกเขียวก็แวบผ่านสมอง อดหน้าถอดสีไม่ได้ หรือว่ายามนั้นพิษเย็นกำเริบศิษย์พี่เยี่ยเข้ามาช่วยไว้ แล้วตนทำร้ายเขาระหว่างที่ไม่รู้สึกตัว?

 

 

หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นตนก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้จริงๆ แล้ว

 

 

นิ้วมือของมั่วชิงเฉินกดลงบริเวณบาดแผล เยี่ยเทียนหยวนครวญออกมาเสียงหนึ่ง

 

 

“ศิษย์พี่เยี่ย ตรงนี้คือแผลภายนอกสินะ ดูท่าทางบาดแผลค่อนข้างลึกทีเดียว ยามังกรเหลืองแม้เป็นยาดีในการรักษาแผลภายนอก คนธรรมดาได้รับบาดเจ็บภายนอกทาทีหนึ่งก็หาย ทว่าพวกเราผู้บำเพ็ญเพียรกลับไม่ได้ เมื่อใดที่สูญเสียพลังวิญญาณคอยหล่อเลี้ยง ยามังกรเหลืองจึงทำได้เพียงทำให้ผิวนอกบาดแผลดูแล้วเหมือนฟื้นฟูดังเดิม ข้างในกลับไม่ดีขึ้น ยิ่งกว่านั้นพวกเราอยู่ในถ้ำน้ำแข็งนี่ยังต้องคอยต้านไอเย็นเป็นระยะๆ ภาระของร่างกายจึงยิ่งหนักขึ้น ท่านดูตรงนี้เริ่มโปร่งใสแล้ว เห็นได้ชัดว่าข้างในกลายเป็นหนองแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบา

 

 

ประโยชน์ของยามังกรเหลืองที่มีต่อคนธรรมดาและผู้บำเพ็ญเพียรต่างกัน ที่สำคัญเพราะร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรอาวุธธรรมดาทำร้ายไม่ได้ เมื่อใดที่ได้รับบาดเจ็บภายนอก เช่นนั้นย่อมเกิดจากอาวุธเวทหรือคาถา

 

 

ตนจะลงมือโหดไปหน่อยหรือไม่ มั่วชิงเฉินมองที่บาดแผลแล้วรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินอย่างเหม่อลอย เขาไม่คิดว่านางจะมียามที่พูดจาอย่างอ่อนโยนกับตนเช่นนี้ด้วย

 

 

ความเย็นที่ปลายนิ้วดูเหมือนยังหลงเหลืออยู่ตรงนั้น จู่ๆ ใจของเยี่ยเทียนหยวนเต้นอย่างบ้าคลั่งทีหนึ่ง เขารีบสงบจิตใจ เอ่ยเสียงแหบว่า “ไม่คิดว่าศิษย์น้องมั่วจะเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโอสถ…”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้รับคำ กลับมองเยี่ยเทียนหยวนว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปไม่ได้ รอร่างกายท่านต้านไอเย็นในถ้ำไว้ไม่อยู่เมื่อใด เมื่อนั้นก็จะทรุดลงทันที ข้า…ข้าจำเป็นต้องกรีดบาดแผลท่านให้เปิดออกใหม่ เพื่อใส่ยารักษาให้ท่าน”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยิ้ม “ได้”

 

 

กริชเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือมั่วชิงเฉิน แล้วทำท่ากรีดที่บริเวณท้องเยี่ยเทียนหยวนอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังคงทำใจลงมือไม่ได้ อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาที่แท้จริง ทำถึงขั้นลงมีดกับคนไข้โดยที่ใจไร้ระลอกคลื่นไม่ได้ ต้องรู้ว่านี่กับการฆ่าคนในระหว่างการต่อสู้เป็นความรู้สึกคนละอย่างกันโดยสิ้นเชิง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเห็นท่าทางทำใจลงมือไม่ได้ของมั่วชิงเฉิน มุมปากทนกระดกขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ ทันใดนั้นยื่นมือจับมือของมั่วชิงเฉินไว้ แล้วกดลงไปที่บริเวณท้องของตนเองพร้อมกริช

 

 

รู้สึกถึงเนื้อหนังถูกกรีดออกอย่างชัดเจน มั่วชิงเฉินขนหัวลุก ร้องด้วยความตกใจว่า “ศิษย์พี่เยี่ย!”

 

 

ยกตามองไปเห็นเยี่ยเทียนหยวนฝืนทนความเจ็บปวดไว้แต่ตากลับยังคงอมยิ้มไว้ จู่ๆ ก็ไม่กล้ามองอีก รีบก้มหน้าลงจัดการบาดแผลให้เขา

 

 

รอถึงสุดท้ายมั่วชิงเฉินเทผงสีขาวเล็กน้อยลงบนบาดแผล แล้วใช้เข็มเงินเย็บบาดแผลอย่างละเอียดลออ สุดท้ายทายามังกรเหลืองอย่างระวังลงไปอีก ถึงหลุบตาลงว่า “เสร็จแล้ว ศิษย์พี่เยี่ย หลายวันนี้ข้าจะทำอาหารที่บำรุงปราณเพิ่มโลหิตเพื่อปรับสภาพร่างกายให้ท่าน ท่าน…ท่านก็ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรแล้วนะ พักผ่อนให้ดี”

 

 

พูดจบมั่วชิงเฉินไม่กล้ามองไปตรงนั้นอีกแม้สักปราด พุ่งทะยานกลับห้องศิลาของตน

 

 

กลับถึงห้องศิลา มั่วชิงเฉินลูบแก้มที่ร้อนผ่าวของตน

 

 

นางว่าแล้ว เข้าใกล้เขาตนก็จะควบคุมตนเองไม่ได้ สวรรค์ดันดูเหมือนชอบกลั่นแกล้งนาง มักให้สองคนต้องพัวพันกัน

 

 

เมื่อคิดถึงว่าหลายวันนี้ต้องพบหน้าเขา มั่วชิงเฉินก็ปวดศีรษะ ทว่าเมื่อคาดเดาได้รางๆ ว่าเกรงว่าตนเป็นคนทำร้ายเขา จะทำเป็นไม่ใส่ใจก็ไม่ได้อีก

 

 

มั่วชิงเฉินกรอกสุราเข้าไปอึกหนึ่งอย่างดุดัน กัดฟันว่า “กลัวอะไร ก็ถือเสียว่าเป็นการขัดเกลาจิตใจในทางแห่งการบำเพ็ญเพียรก็แล้วกัน!”

 

 

พูดเสียเต็มภาคภูมิ สุดท้ายก็ไม่มั่นใจ

 

 

 

 

——

 

 

[1] ง่ายเหมือนเป่าฝุ่น หมายถึง เรื่องนี้ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมาย เป็นเรื่องง่ายๆ