ตอนที่ 202 เซียงอ๋องมีใจหรือไม่

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ศิษย์น้องเหอกวง อาจารย์เคยบอกข้าว่า ในศิษย์หกคนมีเพียงเจ้าที่ความเข้าใจยอดเยี่ยมที่สุด พอดีศิษย์พี่ช่วงนี้มีข้อสงสัยในความเข้าใจเกี่ยวกับทางสวรรค์ ไม่รู้จะถกกับศิษย์น้องสักหน่อยได้หรือไม่?” นักพรตจื่อซีมือข้างหนึ่งยันคางไว้อย่างเอกเขนก มือหนึ่งเคาะพื้นโต๊ะไม้ไผ่

 

 

ไม่รอให้กู้หลีพูด ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชุดเหลืองที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์บอกแล้วว่าทางสวรรค์ในสายตาของแต่ละคนต่างกัน หากสามารถใช้คำพูดมาพูด นั่นก็ไม่ใช่ทางแล้ว”

 

 

ตาหงส์เรียวยาวของนักพรตจื่อซีลอยมา ถลึงตาใส่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองปราดหนึ่งว่า “ศิษย์น้องสาม ยามที่อาจารย์ใช้คำพูดนี้สอนข้า เจ้ายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ น้ำมูกไหลอยู่เลยนะ! ทางสวรรค์ได้เพียงสื่อความ มิอาจหาถ้อยคำมาพรรณนาได้ ทว่าก็ไม่ขัดต่อการแลกเปลี่ยนความเห็นกันนี่นา มิเช่นนั้น พวกเรายังจะสืบทอดสำนักไปทำอะไร ยังจะให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแสดงธรรมให้ศิษย์ในสำนักเป็นระยะทำอะไร? ต่างคนต่างนั่งในห้องตน คิดให้หัวแตกให้รู้แล้วรู้รอดไปก็สิ้นเรื่อง”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองยิ้มอย่างเจี๋ยมเจี้ยม ภายใต้พลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ของศิษย์พี่ใหญ่ไม่กล้าส่งเสียงอีก อย่างอื่นเขาล้วนไม่กลัว ทว่าหากทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้ไม่พอใจ ต่อให้ต่อหน้าศิษย์รุ่นเล็ก นางก็จะเตือนสติเขาด้วยเรื่องสมัยที่ยังน้ำมูกไหลเปลือยก้นอย่างไม่เกรงใจ จะให้คนเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ

 

 

กู้หลียิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ทราบศิษย์พี่ใหญ่อยากถกอะไรกับเหอกวง?”

 

 

“ระยะนี้ข้าคิดมาตลอด อันว่าทาง ก็คือกฎเกณฑ์ ระเบียบหรือ? ทางสวรรค์ก็คือกฎเกณฑ์ฟ้าดิน? ทว่าหากเป็นเช่นนี้ ทางสวรรค์เดิมก็อยุติธรรมอยู่แล้ว จะพูดถึงกฎเกณฑ์ได้อย่างไร?” นักพรตจื่อซีคำพูดลื่นไหล พูดอย่างช้าๆ

 

 

กู้หลีหน้าตานิ่งเรียบ จ้องนักพรตจื่อซีว่า “ไม่ทราบศิษย์พี่ใหญ่รู้สึกว่าทางสวรรค์อยุติธรรมตรงไหน?”

 

 

นักพรตจื่อซีว่า “หากทางสวรรค์ยุติธรรม ไยคนมีสวยงามขี้เหร่ฉลาดโง่เขลา อีกทั้งยังมีคำพูดว่าคนดีอายุสั้นคนชั่วอยู่พันปี? ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเรา พรสวรรค์รากวิญญาณก็คือที่สุดของความอยุติธรรม”

 

 

กู้หลียิ้มว่า “เมื่อครู่ศิษย์พี่สามเพิ่งพูดถึง เราทุกคนต่างเข้าใจ ‘ทาง’ ต่างกัน เหอกวงได้เพียงพูดถึงการตระหนักของตนเองสักหน่อย เท่าที่เหอกวงเห็น ทางสวรรค์เดิมก็ไม่อยู่ที่ยุติธรรม หากแต่อยู่ที่สมดุล”

 

 

“สมดุล?” นักพรตจื่ดซีและผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองถามขึ้นพร้อมกัน

 

 

กู้หลีพยักหน้าเบาๆ “ตะวันตกเฉียงเหนือฟ้าไม่พอ ตะวันออกเฉียงใต้ดินไม่เต็ม ฟ้าดินยังมีบกพร่อง สรรพสิ่งแรกเริ่ม จะมีความยุติธรรมที่แท้จริงได้อย่างไร สิ่งที่ทางสวรรค์ต้องการ เป็นเพียงความสมดุลเท่านั้น แน่นอน ความสมดุลนี้หาใช่ความสมดุลเพียงชั่วครู่ชั่วยามไม่ หาใช่ความยุติธรรมของหนึ่งสำนักหนึ่งตระกูลไม่ หากแต่เป็นความสมดุลนับหมื่นปี ความสมดุลแห่งใต้หล้าสี่มิติแปดทิศ”

 

 

นักพรตจื่อซีฟังตาไม่กะพริบ ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองพยักหน้าอย่างใช้ความคิด

 

 

กู้หลียิ้มละไมว่า “นี่เป็นเพียงแค่คำพูดของเหอกวงคนเดียวเท่านั้น ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่สามฟังแล้วก็ให้แล้วกันไปเถอะ”

 

 

นักพรตจื่อซีกลับถามต่อว่า “เช่นนั้นศิษย์น้องเข้าใจทางที่ยิ่งใหญ่ไร้น้ำใจว่าเช่นไรนะ ผู้บำเพ็ญเพียรเน้นบำเพ็ญใจบำเพ็ญนิสัย ใจสะอาดลดกิเลส ทว่าไยจากที่ข้าเห็น ความต้องการความปรารถนาของผู้บำเพ็ญเพียร จะรุนแรงยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก ต่อให้เป็นอาจารย์และท่านอาจารย์ลุงอาจารย์อาทั้งหลาย ก็คงไม่ได้ตัดขาดเจ็ดความรู้สึกหกปรารถนากระมัง”

 

 

เหอกวงกวาดสายตาใส่นักพรตจื่อซีปราดหนึ่ง “อันว่าทางที่ยิ่งใหญ่ไร้น้ำใจ ไม่สู้บอกว่าไท่ซ่างลืมรัก ลืมรักคือเงียบสงบไม่หวั่นไหว คือผู้ลืมเลือน” พูดถึงตรงนี้เบาเสียงลง “มีรักไม่ถูกรักนำ ไม่ถูกรักกักขัง สามารถทำถึงขั้นใจกว้างอยู่อย่างอิสระถึงเป็นสิ่งที่รุ่นของเราปรารถนากระมัง”

 

 

เจ็ดความรู้สึกหกปรารถนาเดิมทีก็มิอาจเลี่ยงได้อยู่แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรบำเพ็ญใจบำเพ็ญนิสัยมิใช่เพื่อตัดขาดเจ็ดความรู้สึกหกปรารถนา หากแต่ควบคุมเจ็ดความรู้สึกหกปรารถนาได้ตามใจ ไม่ให้เจ็ดความรู้สึกหกปรารถนามัวเมาจิตใจ

 

 

ก็เปรียบเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรเพื่ออายุยืนยาวแล้วพยายามทำทุกอย่างแม้จะมีข้อบกพร่องบ้างทว่ายังให้อภัยได้ ทว่าหากไม่เลือกวิธีการไม่มีขีดจำกัด เช่นนั้นก็คือกลับถูกความปรารถนาควบคุม จะต้องได้รับโทษทัณฑ์จากทางสวรรค์

 

 

นักพรตจื่อซียิ้มว่า “ศิษย์น้องเหอกวงช่างมองได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก ไม่ทราบศิษย์น้องทำได้หรือยัง?”

 

 

กู้หลียิ้มอย่างไร้เสียง ในฐานะศิษย์คนแรกของหลิวซางเจินจวิน ถกเรื่องทางสวรรค์ก็ช่างเถอะ เรื่องลืมความรักไยตนต้องพูดมากด้วย?

 

 

“เหอกวงละอายใจนัก” กู้หลีเอ่ยเสียงเบา สีหน้ากลับไม่สะทกสะท้าน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองอดเหลือบมองนักพรตจื่อซีปราดหนึ่งไม่ได้ แอบว่าศิษย์พี่ใหญ่วันนี้ถูกมารครอบงำจิตใจแล้วหรือไร อยู่ดีๆ ก็ลากตนมานั่งอยู่ที่ศิษย์น้องเล็กนี่พูดเรื่องพวกนี้ ไม่ยอมไปเสียที

 

 

นักพรตจื่อซีถลึงตาใส่เขาอีกปราดหนึ่ง หันหน้าลากกู้หลีถกขึ้นมา

 

 

จนกระทั่งอาทิตย์ตกดิน นักพรตจื่อซีถึงลุกขึ้นยืนอย่างได้ใจ ยิ้มว่า “วันนี้ถกเต๋ากับศิษย์น้องเหอกวง ทำให้ข้าได้ประโยชน์ไม่น้อย เวลาสายมากแล้ว ข้าและศิษย์น้องสามก็ขออำลาแล้ว”

 

 

กู้หลีลุกขึ้นเอียงตัวแผ่วเบา “ศิษย์พี่ใหญ่ศิษย์พี่สามค่อยๆ เดิน”

 

 

นักพรตจื่อซีเท้าเหยียบดอกบัวบินไปทางป่าไผ่ ยามที่กำลังจะออกจากป่าจู่ๆ ก็หันหน้ามา “ศิษย์น้องเหอกวง พรุ่งนี้ข้าจะมาอีกนะ”

 

 

กู้หลีที่ยิ้มอย่างนิ่งเรียบมาตลอด ในที่สุดก็สีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังระฆังเงินของนักพรตจื่อซีดังมาจากทางด้านป่าไผ่

 

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ หมิงจ้าวของตัวแล้ว” สองคนออกจากหุบเขารองของกู้หลี ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองกอบมือ

 

 

นักพรตจื่อซีเม้มปากยิ้ม “ก็ได้ ศิษย์น้องสาม อย่าลืมพรุ่งนี้ไปที่ศิษย์น้องเล็กนั่นพร้อมข้า”

 

 

นักพรตหมิงจ้าวสะดุดกึก หน้าถอดสีว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ยัง…ยังจะไปอีกหรือ?”

 

 

นักพรตจื่อซีเหล่มองมา “เป็นอันใด เจ้าไม่เต็มใจไปเป็นเพื่อนข้าหรือ?”

 

 

เสียงนั้นแม้ไพเราะไม่มีใครเทียม เข้าไปในหูนักพรตหมิงจ้าวกลับหนาวจับใจ รีบว่า “หมิงจ้าวจะมีเหตุไม่เต็มใจที่ไหนกัน เพียงแต่ เพียงแต่ศิษย์น้องเล็กช่วงนี้อารมณ์เกรงว่าจะไม่ค่อยดีกระมัง พวกเรารบกวนหลายครั้ง จะไม่ค่อยเหมาะสมใช่หรือไม่?”

 

 

ในที่สุดนักพรตจื่อซีก็อดเหลือกตาไม่ได้ “ก็เพราะเช่นนี้ พวกเราถึงยิ่งต้องไปนะสิ”

 

 

“หา?” นักพรตหมิงจ้าวเหลอหลา

 

 

นักพรตจื่อซีเอ่ยอย่างจำใจว่า “เจ้าลืมเรื่องที่เมื่อไม่นานนี้ศิษย์น้องเล็กไปท้าประลองนิกายเหอฮวนด้วยความโกรธเพราะศิษย์รักของเขานั่นแล้วหรือ บัดนี้นางหนูน้อยไม่รู้จักตายไม่กี่คนที่เชิงเขานั่นมาเอะอะโวยวายทุกวัน ข้ากลัวว่าเขาทนไม่ไหวขึ้นมาถือกระบี่ไปฆ่านางหนูไม่กี่คนนั่นเสีย เช่นนั้นพรรคเหยากวงเราก็ไม่มีหน้าพบผู้คนแล้ว”

 

 

นักพรตหมิงจ้าวอ้าปากกว้าง “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกกระมัง ศิษย์น้องเล็กปกติสุขุมใจเย็น ภูเขาถล่มตรงหน้าก็หน้าไม่เปลี่ยนสีฝึกฝนได้เข้าขั้นกว่าพวกเราอีก”

 

 

นักพรตจื่อซีเหลือกตา แอบพึมพำคนเดียวว่า สุขุมใจเย็นก็ต้องดูว่ากับใครแล้ว กับเจ้าคนเขาย่อมต้องสุขุมใจเย็นอยู่แล้ว ปากกลับไม่อาจพูดตรงๆ ได้ “ศิษย์หลานชิงเฉินเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของศิษย์น้องเล็ก เขาเห็นความสำคัญก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน เอาเป็นว่าในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์คนโตแห่งเขาชิงมู่ต้องป้องกันไม่ให้ศิษย์น้องเล็กทำเหลวไหล มิเช่นนั้นหากนางหนูน้อยไม่กี่คนของนิกายเหอฮวนถูกเขาจัดการจริง พรรคเหยากวงจะกลายเป็นเรื่องตลกในใต้หล้า เขาชิงมู่เราก็จะยิ่งเป็นเรื่องตลกในเรื่องตลก”

 

 

นักพรตหมิงจ้าวหน้าถอดสี พยักหน้าติดๆ กันว่า “ศิษย์พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้อง อ้อ ไม่สู้หมิงจ้าวนี่ก็กลับไปชวนศิษย์น้องเล็กจุดเทียนคุยทั้งคืนกันสักหน่อย?”

 

 

นักพรตจื่อซีเกือบพลาดตกจากดอกบัว โบกมืออย่างหมดแรงว่า “ไม่ต้องแล้ว ศิษย์น้องสาม พรุ่งนี้รอข้าเรียกเจ้าเถอะ”

 

 

หน้าเรือนไม้ไผ่ กู้หลียังคงนั่งอยู่ตรงนั้น กลับล้วงสุราออกมาขวดหนึ่งรินเองดื่มเองขึ้นมา

 

 

อสูรเสือพายุทะลุฟ้าส่งสายตาให้อินทรีวิญญาณหยกหิมะและอีกาไฟปราดหนึ่ง แล้วอสูรวิญญาณสามตัวก็ล้อมเข้ามาพร้อมกัน

 

 

“เป็นอันใดหรือ ต้าฮวา?” กู้หลียื่นมือลูบหัวเสือ

 

 

อสูรเสือพายุทะลุฟ้าหรี่ตาอย่างเพลิดเพลิน ถึงเอ่ยว่า “เจ้านาย ท่านดื่มสุราคนเดียวน่าเบื่อจะตาย ให้พวกเราเป็นดื่มเป็นเพื่อนท่านสิ”

 

 

“ใช่ ใช่ แว้ดๆ” อีกาไฟพยักหน้าติดๆ กันอย่างตื่นเต้น ในใจมันเสียใจภายหลังนับครั้งไม่ถ้วนว่ายามนั้นควรจะอยู่ในถุงอสูรวิญญาณของมั่วชิงเฉินแต่โดยดี เช่นนั้นก็สามารถตามนางไปโถงลงทัณฑ์พร้อมนางแล้ว

 

 

แค่กๆ เจ้านายมีเคราะห์อสูรวิญญาณก็ควรร่วมต้านไงล่ะ ว่างๆ ก็ถือโอกาสดื่มสุรากินผลไม้ทิพย์อะไรนิดหน่อยเป็นเพื่อนด้วย อย่างไรก็ดีกว่าหลายเดือนมานี้ในปากต้องไร้รสชาติ

 

 

อสูรเสือพายุทะลุฟ้ายื่นอุ้งเท้าตบอีกาไฟกระเด็นไป “หลบไป ดื่มสุราก็ไม่มีส่วนของเจ้า ใครไม่รู้ว่าเจ้าขวดเดียวจอด”

 

 

อีกาไฟติดที่พลานุภาพของอสูรวิญญาณชั้นห้าไม่กล้าคัดค้าน จึงใช้ปีกปิดหน้าอย่างน้อยใจ

 

 

กู้หลีกลับอารมณ์ดี หยิบสุราทิพย์ออกมาสามขวดแบ่งให้อสูรวิญญาณสามตัว

 

 

อีกาไฟกอบขวดสุราดื่มอย่างบ้าคลั่งมื้อหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างดีใจออกนอกหน้า “แว้ดๆ นักพรตเป็นคนดีที่หนึ่งเลย มิน่ายามที่เจ้านายเดินทางฝึกตนอยู่ข้างนอก กลับคิดถึงนักพรตอยู่ตลอดเวลาเลยนะ”

 

 

มือที่ถือขวดสุราของกู้หลีแข็งทื่อทันที

 

 

อีกาไฟกลับพูดเองเออเองว่า “มีคุณชายหกคนหนึ่งมอบมุกจื่อหวาสงบจิตที่สลักคาถาลับคู่หนึ่งให้เจ้านาย คนเขาอยากขอเม็ดหนึ่ง เจ้านายก็บอกว่าเม็ดหนึ่งในนั้นจะมอบให้นักพรตนะ ยังถักเชือกเขียวร้อยไว้ด้วยตัวเองอีก แตะก็ไม่ให้ข้าแตะ ช่างใจแคบจริงๆ เลย”

 

 

กู้หลีไม่ขยับเขยื้อน สีหน้ายิ่งสงบขึ้นอีก

 

 

อีกาไฟใช้ปีกคลำปากสะอึกทีหนึ่งว่า “ทว่าเจ้านายแปลกจังเลยนะ ยามอยู่ข้างนอกมักพูดว่าอยากกลับมา ทว่าหลังจากกลับมาข้าเห็นนางร้องไห้ครั้งหนึ่งนะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป ยังร้องเพลงที่ประหลาดมาก เนื้อร้องอะไรนะ ใช่แล้ว!”

 

 

พูดพลางอีกาไฟบีบเสียงเล็กร้องว่า

 

 

“ปิดประตู จันทร์เย็นกลับถิ่นเก่า

 

 

เพ่งมองไป หญ้าเ**่ยวเฉากลางหมอกควัน

 

 

หมอกควันเปลวไฟหนึ่งอึก ดื่มไม่สิ้น ร้อนรุ่มในคอความทรงจำช่วงใด

 

 

 

 

มองหิมะหมื่นลี้ ซ่อนชุดเขียว

 

 

คนละฟากฟ้า ไม่หวังการพบเจอ

 

 

สาดสุราเซ่นไหว้ เมาถามฟ้าดิน

 

 

…”

 

 

ในที่สุดกู้หลีก็หน้าเปลี่ยนสี ลุกขึ้นจากไปโดยไม่พูดอะไร

 

 

เสียงปิดประตูไม้ไผ่ทำให้อสูรวิญญาณสามตัวชะงักงัน อสูรเสือพายุทะลุฟ้าหน้าบึ้งเอ่ยอย่างโมโหว่า “ขวดเดียวจอด เจ้าพูดเหลวไหลอะไรน่ะ!”

 

 

อีกาไฟลุกขึ้นมาเดินสองก้าว สีหน้าไม่รู้อีโหน่อีเหน่ว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไรนี่นา เอื้อก~ข้า…ข้าเกรงว่าเมาแล้ว…” เพิ่งสิ้นเสียงก็หัวทิ่มลงบนโต๊ะ ปีกยังกอดขวดสุราไว้แน่น

 

 

อสูรเสือพายุทะลุฟ้าโมโหไม่มีที่ระบาย โมโหจนหนวดกระดิก หันหน้ามองไปที่อินทรีวิญญาณหยกหิมะ “เสี่ยวอวี้ เจ้าเอาแต่เหม่อเสียทุกครั้งไป ไม่พูดอะไรสักแอะ!”

 

 

อินทรีวิญญาณหยกหิมะอ้าปาก จู่ๆ ก็อาเจียนออกมา

 

 

อสูรเสือพายุทะลุฟ้าตกใจแทบกระโดด แปลกใจว่า “เจ้า เจ้าก็ดื่มมากเช่นกันหรือ?”

 

 

อินทรีวิญญาณหยกหิมะส่ายหน้าอย่างอึดอัดว่า “เปล่า เมื่อครู่อีกานั่นร้องได้ห่วยเหลือเกิน ทนไม่ไหวจริงๆ”

 

 

อสูรเสือพายุทะลุฟ้า…

 

 

โถงลงทัณฑ์ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปด

 

 

มั่วชิงเฉินตามศิษย์ผู้ดูแลเดินถึงนอกถ้ำ มองท้องฟ้าสีครามเมฆสีขาวพลางน้ำตานองหน้า ในที่สุดสวรรค์ก็ขี้เกียจทรมานตนแล้วใช่หรือไม่ ไม่คิดเลยว่าจะได้ออกมาก่อนกำหนด

 

 

นึกถึงตรงนี้ก็เหลือเยี่ยเทียนหยวนที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง ดูแลเขามาหลายวัน สำหรับตัวเองแล้วช่างเป็นการทรมานทั้งกายใจสิ้นดี บัดนี้ในที่สุดก็หลุดพ้นแล้ว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเห็นแววตาของมั่วชิงเฉิน ดูเหมือนเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ภายใน นัยน์ตาฉายแววสลดแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์น้องมั่ว ขอบใจเจ้ามาก ข้าขอตัวก่อนแล้ว” พูดจบก็ก้าวขึ้นอาวุธเวทรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว

 

 

มั่วชิงเฉินมองลำแสงสีแดงสายนั้นแล้วเม้มปาก ในที่สุดก็หันหน้าไป ยิ้มดั่งบุปผาว่า “ศิษย์น้องสองท่านไม่ต้องส่งไกลแล้ว ข้าจะกลับเขาชิงมู่เดี๋ยวนี้แหละ”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินอัญเชิญอาวุธเวทเรือบินออกมา แล้วกระโดดขึ้นไปอย่างประเปรียว ศิษย์ผู้ดูแลสองคนประสานสายตากันปราดหนึ่ง คนหนึ่งในนั้นว่า “ศิษย์พี่ช้าก่อน”

 

 

“อืม ไม่ทราบศิษย์น้องมีเรื่องอันใด?” มั่วชิงเฉินอารมณ์ดีมาก ลักยิ้มข้างปากปรากฏอย่างชัดเจน

 

 

คนนั้นสูดลมเข้าอึดหนึ่งว่า “ศิษย์พี่ไปตำหนักหลักเขาโฮ่วเต๋อก่อนเถอะ ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักกำลังรอท่านอยู่”

 

 

มั่วชิงเฉินยักคิ้ว จ้องสองคนนั้น

 

 

อีกคนหนึ่งรวบรวมความกล้าขึ้นว่า “ศิษย์พี่รีบไปเถอะ ใต้เชิงเขาสำนักยังมีผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเหอฮวนกลุ่มหนึ่งรอประลองกับท่านอยู่นะ ความหมายของท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก วันนี้เวลายังเช้าอยู่ อย่างไรเสียก็สามารถสู้กันได้สักสองยก”

 

 

มั่วชิงเฉิน…