“องค์ชายตรัสเงื่อนไขที่ต้องการจริงๆ จะดีกว่านะเพคะ”
ฉู่หลิวเยว่กำฝักดาบแล้วออกแรงเพื่อดันเขาให้ออกห่าง
หรงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย แทนที่จะถอยกลับ ทว่าเขากลับขยับเข้าไปใกล้อีกนิด
ทั้งสองแนบชิดกันมากกว่าเดิมจนแทบจะใช้ลมหายใจร่วมกัน
เขาแสดงความรู้สึกทั้งหมดต่อหน้านางอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ราวกับว่าเขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดสิ่งใดอีก
เงาของฉู่หลิวเยว่สะท้อนในแววตาที่จ้องมองด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
ฉู่หลิวเยว่ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่า…แม้นางจะถือมีดคมอยู่ในมือก็ตาม เขาก็ยังคงขยับเข้าหานางโดยไม่คำนึงถึงอันตรายใดๆ
ในภาวะตกตะลึงเช่นนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงไปชั่วขณะ
ดวงตาของหริวซิวมีแสงสีดำวูบไหว ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อยเกิดเป็นส่วนโค้งที่ดูละมุนละไม
เสียงพ่นลมหายใจแผ่วเบารดริมหูของฉู่หลิวเยว่
“…ดุจริงเชียว”
ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดเงียบสงัด เสียงลมหายใจผะแผ่วราวกับสายลมที่กรีดผ่านสายพิณเกิดเป็นเสียงสะท้อนในหัวใจของฉู่หลิวเยว่ตราบนานเท่านาน
หัวใจของนางเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับมีบางอย่างกำลังเล่นกลทลายกำแพงน้ำแข็งและทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
นางเกือบจะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคู่นั้นของหรงซิว
“พระองค์มีอำนาจบารมี เพียงแค่กวักมือ หญิงงามกุลสตรีมากมายต่างก็มาล้อมหน้าล้อมหลังแล้ว หม่อมฉันฉู่หลิวเยว่ทั้งมุทะลุดุดันและเย็นชา องค์ชายอย่ามัวเสียเวลากับคนอย่างหม่อมฉันเลยเพคะ”
หรงซิวมองนางและเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวในแววตา ในที่สุดก็กลายเป็นรอยยิ้มเจือจางบางเบา
“แต่พวกนางไม่เคยอยู่ในสายตาข้า ในสายตาข้าเห็นเพียงเจ้าผู้เดียว แล้วจะให้ข้าทำเยี่ยงไรดี”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เกิดความหวั่นไหว และช้อนสายตามองเขาอย่างอดมิได้
แสงจันทร์สุขุมเยือกเย็นหลั่งไหลเข้ามาทำให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งเกิดเงามืด แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับสว่างนวล คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยราวกับมีความทุกข์ใจเสียเต็มประดา
ถ้อยคำที่แสดงความรู้สึกอย่างเถรตรงเช่นนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรไปชั่วครู่
ทั้งสองต่างเงียบ มีเพียงกระแสลมที่คลุมเครือก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งคู่ ราวกับสายลมอันอบอุ่นอ่อนโยนในช่วงปลายคิมหันต์ฤดู
มิใช่ว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่เคยได้ยินคำสารภาพรัก
ในอดีตชาติ นางมีสถานะสูงส่ง มีพลังแข็งแกร่งเหนือใต้หล้า รูปโฉมงดงามมิมีผู้ใดเทียบ ดึงดูดหัวใจของชายหนุ่มไม่รู้เท่าไร
หากกล่าวกันตามเหตุผล หากเผชิญหน้ากับสถานการณ์เยี่ยงนี้อีกครั้ง นางคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ทว่าน้ำคำของหรงซิวราบกับมีพลังบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกหวั่นไหวได้อย่างง่ายดายเสมอ
ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้าหลุบตา
อย่าว่าแต่หรงซิวยื่นมือเข้าช่วยเหลือหลายครั้ง เพียงแค่ปิ่นปักผมลวดลายดอกท้อที่มอบให้นางตอนวันเกิดและมีดสั้นที่มอบให้นางในวันนี้ ล้วนใส่ใจทุกรายละเอียด
สำหรับสิ่งที่เขาทำเพื่อนาง ไม่ว่าหญิงสาวคนใดก็ต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา
หากบอกว่านางไม่รู้สึกอะไรก็คงโกหก
แต่เพราะชาติที่แล้วนางถูกทรยศอย่างเจ็บปวดจนสลักลึกถึงกระดูก ในชาตินี้นางจึงไม่มีทางมอบความไว้วางใจใครง่ายๆ อีกแล้ว
เมื่อเผชิญกับความเมตตาที่หรงซิวเป็นผู้มอบให้ แรกเริ่มนางไม่สามารถยอมรับด้วยความยินดีได้ และ…อยากหลบหนี
เมื่อหรงซิวเข้ามาใกล้นางเท่าไหร่ ในใจของนางก็เกิดความหวั่นกลัวแอบซ่อนอยู่ลึกๆ
ซึ่งความกลัวนั้นมาจากความเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือนในส่วนลึกของความทรงจำในอดีตชาติ
แต่นางไม่สามารถเผยสิ่งในใจเหล่านี้ให้หรงซิวรับรู้ได้
ถึงอย่างไร หลังจากที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนาง ก็คือการแก้แค้น!
หากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหรงซิวมากเกินไป ก็จะเป็นการลากเขาเข้ามาพัวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่สำหรับหรงซิวแล้ว นี่ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
ความคิดมากมายพรั่งพรูเข้ามาในใจของนาง แต่ไม่นาน ฉู่หลิวเยว่ก็ช้อนสายตาขึ้นมามองหรงซิวอีกครั้ง
ดวงตาสุกสกาวของนางฉายแววสงบนิ่ง จากนั้นนางก็ยกยิ้มมุมปาก
“องค์ชายชอบพูดเล่นจริงๆ”
น้ำเสียงเย็นชาของนางได้ทำลายบรรยากาศอันน่าคลุมเครือในตอนแรก
หรงซิวจ้องมองนางแน่นิ่ง
ทั้งสองต่างเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ บางคำพูดไม่ต้องเอ่ยตรงๆ ก็เข้าใจความหมายซึ่งกันและกันแล้ว
ฉู่หลิวเยว่รอให้หรงซิวหันออกไป
คงไม่มีชายหนุ่มผู้ใดที่ทำเพื่อหญิงสาวมายมายถึงเพียงนี้ แม้ถูกปฏิเสธแต่ก็ยังดันทุรังไปต่อหรอกกระมัง
ถึงอย่างไร หรงซิวก็เป็นผู้มีฐานะสูงส่ง
แต่หรงซิวกลับไม่แสดงสีหน้าเก้อเขินใดๆ ออกมา ราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่พูด
จากนั้นเขาก็ยื่นมือจับฝักมีดสั้นที่ดันหน้าอกเขาเอาไว้
“เจ้าแค่บอกข้ามาว่าชอบของขวัญชิ้นนี้หรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่อึ้งไปชั่วขณะ
แต่เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ของหรงซิวแล้วนางจึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ
“สิ่งของที่พระองค์ทรงมอบให้ล้วนดีเสมอ”
“เจ้าชอบก็ดี”
หรงซิวยิ้มเบาๆ แล้วทันใดนั้นก็เลื่อนมือขึ้นมาบีบแก้มของนาง
“ตอนที่ข้าตีมีดเล่มนี้ต้องใช้ความคิดอย่างมาก วันนี้เจ้าต้องอยู่พักผ่อนกับข้า แทนคำขอบคุณก็แล้วกัน”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง
“นี่พระองค์…ทำเองหรือเพคะ”
ด้วยความที่นางตกใจจนเกินไปจึงไม่มีเวลาจัดการเรื่องที่หรงซิวหยอกแก้มของนาง
เมื่อเห็นหน้าตาเหลอหลาที่หาดูได้ยากของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า หรงซิวจึงอารมณ์ดีขึ้นก่อนจะหันกายเดินขึ้นไปชั้นบน
“วันนี้ข้าเหนื่อมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยพูดคุยกัน”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเยาะในใจ
เรื่องเช่นนี้ยังจะเก็บเอาไว้คุยวันพรุ่งนี้อีกหรือ
“องค์ชาย หากพระองค์ประสงค์จะตรัสในวันพรุ่งนี้ เกรงว่าข้าจะไม่มีโอกาสได้ฟังแล้วเพคะ”
หรงซิวหยุดฝีเท้าแล้วหันมามองนางทันที
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปยืนข้างกายเขา ก่อนจะเงยหน้าเชิดคาง
“พรุ่งนี้ทางสำนักต้องออกเดินทางไปยังบรรพตวั่นหลิงตั้งแต่ย่ำรุ่ง ดังนั้นองค์ชายก็ตรัสให้ตัวเองฟังเถอะเพคะ!”
หลังจากพุดจบ ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้มองว่าหรงซิวมีสีหน้าเช่นไร นางก้าวขาขึ้นชั้นบนแล้วเข้าห้องของตนเองพร้อมกับลั่นดาลประตูเสร็จสรรพ
เมื่อได้ยินเสียงลงกลอน หรงซิวจึงได้สติกลับมามองประตูที่ปิดสนิทแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังจากนั้นเขาจึงหัวเราะออกมาอย่างอดมิได้
นิสัยคิดเล็กคิดน้อยไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
ขณะนั้นเอง จู่ๆ เสวียเสวี่ยที่พยายามทำตัวไม่ให้เป็นก้างขวางคอก็กระโดดขึ้นจากชั้นหนึ่งขึ้นไปห้องนอนของฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ชั้นสอง แล้วเอาอุ้งเท้าข่วนประตูห้อง
ไม่ได้! ทำไม่ได้!
กรงเล็บของมันคมมากจนเมื่อกรงเล็บข่วนลงไปก็จะทิ้งรอยขีดข่วนบนบานประตูเต็มไปหมด
เมื่อหรงซิวเห็นเสวียเสวี่ยทำเช่นนี้ก็รู้สึกอับอาย
ยังดีที่มันเป็นสัตว์อสูรระดับสูง เจอเรื่องแบบนี้ทำไมถึงไม่อยู่นิ่งๆ เอาแต่ข่วนประตูเยี่ยงนี้น่าอับอายยิ่งนัก
“เสวียเสวี่ย เจ้าทำอะไรน่ะ”
หรงซิวกดเสียงต่ำถามมัน
เสวียเสวี่ยหันหน้ามามองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ
เหตุใดต้องไปที่บรรพตวั่นหลิง แน่นอนว่าต้องไปล่าสัตว์อสูรอย่างไรเล่า!
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ชอบมันหรอกหรือ เหตุใดถึงต้องไปล่าหมาป่าเถื่อน…ไม่สิ สัตว์อสูรป่าเถื่อนด้วย!
แล้วนางจะเอามันไปไว้ที่ไหน!
ไม่ได้เด็ดขาด!
เสวียเสวี่ยไม่สนใจหรงซิวอีกต่อไป จากนั้นหันกลับมาข่วนประตูอีกครั้ง
แต่ด้วยสีหน้าของมันที่สื่อออกมา หรงซิวจึงเข้าใจในทันที
ช้าก่อน!
ในช่วงเวลานี้ของปี สำนักเทียนลู่จะพานักเรียนไปสัมผัสกับประสบการณ์การล่าสัตว์อสูรอย่างแท้จริง
ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนพวกเขา…จะต้องแบ่งกลุ่มกัน
ถ้าอย่างนั้น นางอยู่กลุ่มเดียวกันกับใคร
ในที่สุดสีหน้าที่เคยสงบนิ่งของหรงซิวก็ปรากฏรอยแตกร้าว
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งเข้าเรียนที่สำนักเทียนลู่และยังไม่รู้จักผู้ใดมากนัก คนที่น่าจะคุ้นเคยอย่างดีก็น่าจะเป็นปรมาจารย์ไม่กี่สิบคนพวกนั้น
หากนางตั้งกลุ่มขึ้นมาก็น่าจะอยู่ด้วยกันกับคนพวกนั้น
อย่าบอกนะว่านางอยู่กลุ่มเดียวกับหนุ่มสกุลซือผู้นั้น!