เล่ม 2 ตอนที่ 123 ดุจริงเชียว

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

“องค์ชายตรัสเงื่อนไขที่ต้องการจริงๆ จะดีกว่านะเพคะ”

ฉู่หลิวเยว่กำฝักดาบแล้วออกแรงเพื่อดันเขาให้ออกห่าง

หรงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย แทนที่จะถอยกลับ ทว่าเขากลับขยับเข้าไปใกล้อีกนิด

ทั้งสองแนบชิดกันมากกว่าเดิมจนแทบจะใช้ลมหายใจร่วมกัน

เขาแสดงความรู้สึกทั้งหมดต่อหน้านางอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ราวกับว่าเขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดสิ่งใดอีก

เงาของฉู่หลิวเยว่สะท้อนในแววตาที่จ้องมองด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง

ฉู่หลิวเยว่ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่า…แม้นางจะถือมีดคมอยู่ในมือก็ตาม เขาก็ยังคงขยับเข้าหานางโดยไม่คำนึงถึงอันตรายใดๆ

ในภาวะตกตะลึงเช่นนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงไปชั่วขณะ

ดวงตาของหริวซิวมีแสงสีดำวูบไหว ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อยเกิดเป็นส่วนโค้งที่ดูละมุนละไม

เสียงพ่นลมหายใจแผ่วเบารดริมหูของฉู่หลิวเยว่

“…ดุจริงเชียว”

ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดเงียบสงัด เสียงลมหายใจผะแผ่วราวกับสายลมที่กรีดผ่านสายพิณเกิดเป็นเสียงสะท้อนในหัวใจของฉู่หลิวเยว่ตราบนานเท่านาน

หัวใจของนางเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับมีบางอย่างกำลังเล่นกลทลายกำแพงน้ำแข็งและทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

นางเกือบจะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคู่นั้นของหรงซิว

“พระองค์มีอำนาจบารมี เพียงแค่กวักมือ หญิงงามกุลสตรีมากมายต่างก็มาล้อมหน้าล้อมหลังแล้ว หม่อมฉันฉู่หลิวเยว่ทั้งมุทะลุดุดันและเย็นชา องค์ชายอย่ามัวเสียเวลากับคนอย่างหม่อมฉันเลยเพคะ”

หรงซิวมองนางและเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวในแววตา ในที่สุดก็กลายเป็นรอยยิ้มเจือจางบางเบา

“แต่พวกนางไม่เคยอยู่ในสายตาข้า ในสายตาข้าเห็นเพียงเจ้าผู้เดียว แล้วจะให้ข้าทำเยี่ยงไรดี”

หัวใจของฉู่หลิวเยว่เกิดความหวั่นไหว และช้อนสายตามองเขาอย่างอดมิได้

แสงจันทร์สุขุมเยือกเย็นหลั่งไหลเข้ามาทำให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งเกิดเงามืด แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับสว่างนวล คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยราวกับมีความทุกข์ใจเสียเต็มประดา

ถ้อยคำที่แสดงความรู้สึกอย่างเถรตรงเช่นนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรไปชั่วครู่

ทั้งสองต่างเงียบ มีเพียงกระแสลมที่คลุมเครือก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งคู่ ราวกับสายลมอันอบอุ่นอ่อนโยนในช่วงปลายคิมหันต์ฤดู

มิใช่ว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่เคยได้ยินคำสารภาพรัก

ในอดีตชาติ นางมีสถานะสูงส่ง มีพลังแข็งแกร่งเหนือใต้หล้า รูปโฉมงดงามมิมีผู้ใดเทียบ ดึงดูดหัวใจของชายหนุ่มไม่รู้เท่าไร

หากกล่าวกันตามเหตุผล หากเผชิญหน้ากับสถานการณ์เยี่ยงนี้อีกครั้ง นางคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร

ทว่าน้ำคำของหรงซิวราบกับมีพลังบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกหวั่นไหวได้อย่างง่ายดายเสมอ

ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้าหลุบตา

อย่าว่าแต่หรงซิวยื่นมือเข้าช่วยเหลือหลายครั้ง เพียงแค่ปิ่นปักผมลวดลายดอกท้อที่มอบให้นางตอนวันเกิดและมีดสั้นที่มอบให้นางในวันนี้ ล้วนใส่ใจทุกรายละเอียด

สำหรับสิ่งที่เขาทำเพื่อนาง ไม่ว่าหญิงสาวคนใดก็ต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา

หากบอกว่านางไม่รู้สึกอะไรก็คงโกหก

แต่เพราะชาติที่แล้วนางถูกทรยศอย่างเจ็บปวดจนสลักลึกถึงกระดูก ในชาตินี้นางจึงไม่มีทางมอบความไว้วางใจใครง่ายๆ อีกแล้ว

เมื่อเผชิญกับความเมตตาที่หรงซิวเป็นผู้มอบให้ แรกเริ่มนางไม่สามารถยอมรับด้วยความยินดีได้ และ…อยากหลบหนี

เมื่อหรงซิวเข้ามาใกล้นางเท่าไหร่ ในใจของนางก็เกิดความหวั่นกลัวแอบซ่อนอยู่ลึกๆ

ซึ่งความกลัวนั้นมาจากความเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือนในส่วนลึกของความทรงจำในอดีตชาติ

แต่นางไม่สามารถเผยสิ่งในใจเหล่านี้ให้หรงซิวรับรู้ได้

ถึงอย่างไร หลังจากที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนาง ก็คือการแก้แค้น!

หากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหรงซิวมากเกินไป ก็จะเป็นการลากเขาเข้ามาพัวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่สำหรับหรงซิวแล้ว นี่ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

ความคิดมากมายพรั่งพรูเข้ามาในใจของนาง แต่ไม่นาน ฉู่หลิวเยว่ก็ช้อนสายตาขึ้นมามองหรงซิวอีกครั้ง

ดวงตาสุกสกาวของนางฉายแววสงบนิ่ง จากนั้นนางก็ยกยิ้มมุมปาก

“องค์ชายชอบพูดเล่นจริงๆ”

น้ำเสียงเย็นชาของนางได้ทำลายบรรยากาศอันน่าคลุมเครือในตอนแรก

หรงซิวจ้องมองนางแน่นิ่ง

ทั้งสองต่างเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ บางคำพูดไม่ต้องเอ่ยตรงๆ ก็เข้าใจความหมายซึ่งกันและกันแล้ว

ฉู่หลิวเยว่รอให้หรงซิวหันออกไป

คงไม่มีชายหนุ่มผู้ใดที่ทำเพื่อหญิงสาวมายมายถึงเพียงนี้ แม้ถูกปฏิเสธแต่ก็ยังดันทุรังไปต่อหรอกกระมัง

ถึงอย่างไร หรงซิวก็เป็นผู้มีฐานะสูงส่ง

แต่หรงซิวกลับไม่แสดงสีหน้าเก้อเขินใดๆ ออกมา ราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่พูด

จากนั้นเขาก็ยื่นมือจับฝักมีดสั้นที่ดันหน้าอกเขาเอาไว้

“เจ้าแค่บอกข้ามาว่าชอบของขวัญชิ้นนี้หรือไม่”

ฉู่หลิวเยว่อึ้งไปชั่วขณะ

แต่เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ของหรงซิวแล้วนางจึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ

“สิ่งของที่พระองค์ทรงมอบให้ล้วนดีเสมอ”

“เจ้าชอบก็ดี”

หรงซิวยิ้มเบาๆ แล้วทันใดนั้นก็เลื่อนมือขึ้นมาบีบแก้มของนาง

“ตอนที่ข้าตีมีดเล่มนี้ต้องใช้ความคิดอย่างมาก วันนี้เจ้าต้องอยู่พักผ่อนกับข้า แทนคำขอบคุณก็แล้วกัน”

ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง

“นี่พระองค์…ทำเองหรือเพคะ”

ด้วยความที่นางตกใจจนเกินไปจึงไม่มีเวลาจัดการเรื่องที่หรงซิวหยอกแก้มของนาง

เมื่อเห็นหน้าตาเหลอหลาที่หาดูได้ยากของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า หรงซิวจึงอารมณ์ดีขึ้นก่อนจะหันกายเดินขึ้นไปชั้นบน

“วันนี้ข้าเหนื่อมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยพูดคุยกัน”

ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเยาะในใจ

เรื่องเช่นนี้ยังจะเก็บเอาไว้คุยวันพรุ่งนี้อีกหรือ

“องค์ชาย หากพระองค์ประสงค์จะตรัสในวันพรุ่งนี้ เกรงว่าข้าจะไม่มีโอกาสได้ฟังแล้วเพคะ”

หรงซิวหยุดฝีเท้าแล้วหันมามองนางทันที

ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปยืนข้างกายเขา ก่อนจะเงยหน้าเชิดคาง

“พรุ่งนี้ทางสำนักต้องออกเดินทางไปยังบรรพตวั่นหลิงตั้งแต่ย่ำรุ่ง ดังนั้นองค์ชายก็ตรัสให้ตัวเองฟังเถอะเพคะ!”

หลังจากพุดจบ ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้มองว่าหรงซิวมีสีหน้าเช่นไร นางก้าวขาขึ้นชั้นบนแล้วเข้าห้องของตนเองพร้อมกับลั่นดาลประตูเสร็จสรรพ

เมื่อได้ยินเสียงลงกลอน หรงซิวจึงได้สติกลับมามองประตูที่ปิดสนิทแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลังจากนั้นเขาจึงหัวเราะออกมาอย่างอดมิได้

นิสัยคิดเล็กคิดน้อยไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

ขณะนั้นเอง จู่ๆ เสวียเสวี่ยที่พยายามทำตัวไม่ให้เป็นก้างขวางคอก็กระโดดขึ้นจากชั้นหนึ่งขึ้นไปห้องนอนของฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ชั้นสอง แล้วเอาอุ้งเท้าข่วนประตูห้อง

ไม่ได้! ทำไม่ได้!

กรงเล็บของมันคมมากจนเมื่อกรงเล็บข่วนลงไปก็จะทิ้งรอยขีดข่วนบนบานประตูเต็มไปหมด

เมื่อหรงซิวเห็นเสวียเสวี่ยทำเช่นนี้ก็รู้สึกอับอาย

ยังดีที่มันเป็นสัตว์อสูรระดับสูง เจอเรื่องแบบนี้ทำไมถึงไม่อยู่นิ่งๆ เอาแต่ข่วนประตูเยี่ยงนี้น่าอับอายยิ่งนัก

“เสวียเสวี่ย เจ้าทำอะไรน่ะ”

หรงซิวกดเสียงต่ำถามมัน

เสวียเสวี่ยหันหน้ามามองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ

เหตุใดต้องไปที่บรรพตวั่นหลิง แน่นอนว่าต้องไปล่าสัตว์อสูรอย่างไรเล่า!

ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ชอบมันหรอกหรือ เหตุใดถึงต้องไปล่าหมาป่าเถื่อน…ไม่สิ สัตว์อสูรป่าเถื่อนด้วย!

แล้วนางจะเอามันไปไว้ที่ไหน!

ไม่ได้เด็ดขาด!

เสวียเสวี่ยไม่สนใจหรงซิวอีกต่อไป จากนั้นหันกลับมาข่วนประตูอีกครั้ง

แต่ด้วยสีหน้าของมันที่สื่อออกมา หรงซิวจึงเข้าใจในทันที

ช้าก่อน!

ในช่วงเวลานี้ของปี สำนักเทียนลู่จะพานักเรียนไปสัมผัสกับประสบการณ์การล่าสัตว์อสูรอย่างแท้จริง

ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนพวกเขา…จะต้องแบ่งกลุ่มกัน

ถ้าอย่างนั้น นางอยู่กลุ่มเดียวกันกับใคร

ในที่สุดสีหน้าที่เคยสงบนิ่งของหรงซิวก็ปรากฏรอยแตกร้าว

ฉู่หลิวเยว่เพิ่งเข้าเรียนที่สำนักเทียนลู่และยังไม่รู้จักผู้ใดมากนัก คนที่น่าจะคุ้นเคยอย่างดีก็น่าจะเป็นปรมาจารย์ไม่กี่สิบคนพวกนั้น

หากนางตั้งกลุ่มขึ้นมาก็น่าจะอยู่ด้วยกันกับคนพวกนั้น

อย่าบอกนะว่านางอยู่กลุ่มเดียวกับหนุ่มสกุลซือผู้นั้น!