บรรพตวั่นหลิงห่างจากเมืองหลวงโดยใช้เวลาเดินทางสองวัน ทั้งนี้อาจารย์ของสำนักเทียนลู่จะพานักเรียนที่สมัครใจเดินทางล่วงหน้าไปฝึกซ้อมก่อน
บางคนต้องการตามล่าสัตว์อสูรที่พึงพอใจให้ตัวเอง ขณะที่บางคนต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งผ่านโอกาสในการต่อสู้ที่หายากยิ่งนี้
แต่ไหนแต่ไรการต่อสู้กับสัตว์อสูรก็ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพและระเบิดพลังที่แข็งแกร่งของตนเองออกมา
อนึ่ง บางครั้งสิ่งนี้ก็ช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์สามารถฝ่าฟันอุปสรรคของตนเองและบรรลุระดับที่สูงขึ้นได้
ดังนั้นนักเรียนส่วนใหญ่ในสำนักจึงมารายงานตัวกันพร้อมหน้า
เช้าตรู่วันนี้ ยามรุ่งอรุณเพิ่งจะสาง เหล่านักเรียนก็ได้มารวมตัวกันแล้ว
นักเรียนเก่ายังไม่เท่าไหร่ แต่นักเรียนใหม่ส่วนใหญ่นี่สิ ไม่สามารถปิดสีหน้าที่ตื่นเต้นไว้ไม่มิด
“ข้าไม่รู้ว่าเทศกาลล่าสัตว์อสูรครานี้ ข้าจะสามารถล่าสัตว์อสูรระดับสี่ได้หรือไม่”
“ฮ่าๆ! อย่างเจ้าน่ะหรือ อย่าฝันไปเลย! สัตว์อสูรระดับสูงอย่างนั้น มีเพียงผู้ที่มีพรสวรรค์และความสามารถเท่านั้นถึงจะสามารถล่ามันมาได้”
“เฮ้อ มันก็ไม่แน่หรอก ไม่แน่ถ้าข้าโชคดีบังเอิญเขอมันเข้าล่ะ อีกอย่าง พลังความสามารถของแต่ละคนในกลุ่มของเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร หากร่วมมือกันไม่มีทางทำไม่สำเร็จหรอก!”
“ข้ากลับไม่ต้องการอะไรมากมาย ขอแค่หาสัตว์อสูรที่มีพลังแข็งแกร่งพอช่วยข้าต่อสู้ได้ก็พอแล้ว”
“ถุ๊ย! พอเจอสัตว์อสูรระดับสูงเข้าหน่อย เกรงว่าเจ้าจะวิ่งหนีป่าราบแทบไม่ทันน่ะซิ!”
“ฮ่าๆๆๆ!”
ทุกคนพูดคุยและหยอกล้อกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งตารอการผจญภัยครั้งนี้
ข้างนอกกลุ่มคนที่กำลังคึกคัก แต่ก็มีบางคนที่อยู่อย่างสงบเงียบ
“ทำไมฉู่หลิวเยว่ยังไม่มาอีกน้า ใกล้จะได้เวลาเดินทางแล้ว”
มู่หงอวี๋แหงนหน้ามองสีของท้องฟ้าแล้วกระวนกระวาย
เมื่อวานนางย้ำเตือนเรื่องเวลาเดือนทางของวันนี้สองรอบแล้วว่าห้ามมาสายเป็นอันขาด ตอนนี้ทุกคนต่างมาถึงกันครบหมดแล้ว จนป่านนี้แล้วนางถึงยังไม่โผล่มาแม้แต่เงา
“นางเกิดเรื่องที่ทำให้ล่าช้าหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งที่อยู่ข้างมู่หงอวี๋เป็นคนเอ่ยถาม
ผิวของเขาขาวผ่องดูสุภาพเรียบร้อยและพูดช้ากว่าคนทั่วไป แต่น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ
คนผู้นี้คือเลี่ยวจงซูนั่นเอง
มู่หงอวี๋ส่ายหน้า
“ตอนนี้จะมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการล่าสัตว์อสูรเล่า พูดตามเหตุผลนางไม่มีทางลืมเด็ดขาด…”
ฉู่หลิวเยว่ไม่เหมือนคนไม่น่าเชื่อถือสักหน่อย!
“เจ้ารู้ไหมว่านางพักอยู่ที่ใด พวกเราไปตามนางเลยดีกว่าไหม” เลี่ยวจงซูเอ่ยปลอบ
มู่หงอวี๋ยกมือปิดหน้า
“เจ้าลืมแล้วหรือว่านางคือปรมาจารย์ นางไม่ได้พักอยู่แถวเดียวกันกับเรา”
ช่วงนี้นางสนิทสนมกับฉู่หลิวเยว่มากขึ้นทุกวัน แต่นางก็ยังไม่เคยถามรายละเอียดว่าฉู่หลิวเยว่พักอยู่ที่ใด
เลี่ยวจงซูเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาละเลยเรื่องนี้ไปจริงๆ…
“จะทำให้วุ่นวายไปด้วยเหตุใดกัน หากนางไม่มาจริงๆ พวกเราอยู่กลุ่มกันแค่สี่คนก็ได้! ขาดไปสักคนหนึ่งก็ไปไม่ได้เลยหรือ”
เด็กหนุ่มที่มีร่างกายกำยำผิวคล้ำกร้านที่อยู่ข้างเลี่ยวจงซูพูดกระโชกโฮกฮากอย่างไม่พอใจ
“เฉินหู่ เจ้าเป็นเสือหรือไง”
มู่หงอวี๋กลอกตา
“กลุ่มอื่นมีห้าคน กลุ่มเราก็มีแค่สี่คนจะเสียเปรียบแค่ไหนล่ะ! เจ้าอย่าลืมสิ พอไปถึงบรรพตวั่นหลิง ก็จะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยต่อสู้กันเอง!”
เฉินหู่ที่โดนนางตำหนิก็เกาหัวแกรกๆ และพึมพำเสียงต่ำ
“ข้าก็หาคนอื่นมาแทนไม่ได้แล้ว…”
มู่หงอวี๋ถลึงตาใส่เขา
“ทุกคนต่างจับกลุ่มกันครบคนหมดแล้ว จะไปหาคนมาแทนจากที่ไหนได้อีกเล่า”
ในที่สุดเฉินหู่ก็หุบปาก
“ตอนนี้กลุ่มอื่นเขาไปรับของด้านหน้ากันหมดแล้ว!”
พวกเขาสามสี่คนหันไปมอง
“หากไปรับของกันเสร็จสรรพหมดแล้ว ก็ต้องออกเดินทางจริงๆ แล้วล่ะ” เลี่ยวจงซูขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น
มู่หงอวี๋กัดริมฝีปากของนาง
“ข้าจะไปถามอาจารย์ไป๋เชินให้!”
…
อีกด้านหนึ่ง ไป๋เชินกำลังนับจำนวนนักเรียนปรมาจารย์ทางด้านนี้
หลังจากนับไปแล้วรอบหนึ่งเขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติทันที
“ฉู่หลิวเยว่ล่ะ เหตุใดนางถึงยังไม่มา”
ทุกคนต่างหันมามองหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครปริปากพูด
“อาจารย์ไป๋เชิน! ท่านรู้หรือไม่ว่าฉู่หลิวเยว่พักที่ใด ตอนนี้นางยังไม่มาเลยเจ้าค่ะ ข้าอยากจะไปตามหานาง”
มู่หงอวี๋วิ่งมาข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับโพล่งถามออกมาตามตรง
ไป๋เชินตกใจ
“นางยังไม่มาจริงๆ หรือ”
เมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายของมู่หงอวี๋ เขาขบคิดครู่หนึ่งแล้วรีบหันหน้ามองซือถิง
“ซือถิง เจ้ารู้ใช่ไหมว่านางพักอยู่ที่ไหน เจ้าพามู่หงอวี๋ไปดูหน่อยสิ”
ซือถิงพยักหน้า
“ขอรับ”
แต่ทว่าก่อนที่ทั้งสองคนจะขยับตัวเดินไป กู้หมิงจูผู้ซึ่งเฝ้าดูอยู่ข้างสนามก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
“อาจารย์ไป๋เชิน ใกล้จะถึงเวลาแล้วนะเจ้าคะ ออกไปตามตอนนี้ หากกลับมาไม่ทันจะทำอย่างไรเจ้าคะ ฉู่หลิวเยว่ไม่รักษาเวลาเอง หากพลาดโอกาสนี้ไปก็ถือว่าเป็นความผิดของนาง อย่าให้ผู้อื่นต้องมาเดือดร้อนเพราะนางเลยเจ้าค่ะ”
มู่หงอวี๋ถลึงตาจ้องนางอย่างหงุดหงิด
“กู้หมิงจู แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับเจ้า พวกเราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับเจ้าเสียหน่อย ต่อให้เสียเวลาก็ไม่ได้หนักหัวเจ้านี่นา เจ้าจะเดือดร้อนทำไม”
เมื่อกู้หมิงจูโดนด่าก็โกรธจนหน้าแดงก่ำ
“หรือที่ข้าพูดมันไม่จริง ฉู่หลิวเยว่อยู่กลุ่มเดียวกับเจ้า เจ้าอยากไปตามนางก็ไปเองสิ อย่าลากคนอื่นไปด้วย!”
นางพูดแล้วสบถอย่างเย็นชาพร้อมกับเบะปากคว่ำ
“ข้าว่านางคงกลัวเสียมากกว่า ก็เลยจงใจไม่มาซะเลย!”
“นี่เจ้า…”
มู่หงอวี๋พยายามระงับไฟโกรธในใจ
“ข้าไม่มีเวลามาพูดไร้สาระกับเข้า เดี๋ยวข้าจะมาจัดการกับเจ้า ซือถิงเจ้าพาข้าไปก่อน”
เมื่อพูดจบ ทั้งสองก็เดินออกไปทันที
“ไม่ต้องไปตามหรอก ข้ามาแล้ว”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยดัง มู่หงอวี๋ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นนางก็เห็นว่าเป็นฉู่หลิงเยว่จริงๆ ด้วย!
“หลิวเยว่ เจ้ามาสักที!”
มู่หงอวี๋รีบวิ่งเข้าไปหาฉู่หลิวเยว่ และตีแขนของนางเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้
“ทำไมเจ้าถึงได้มาช้าขนาดนี้ฮะ! ข้านึกว่าเจ้าจะผิดนัดพวกเราเสียแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พนมมืออ้อนวอนขอความเมตตา
“ข้าขอโทษ ข้ามีเรื่องที่ทำให้เสียเวลาน่ะ นี่ข้ายังมาทันเวลาอยู่ใช่หรือไม่”
“ทันเวลาแน่นอน!”
มู่หงอวี๋แลหางตามองกู้หมิงจู แล้วจงใจพูดเสียงสูงขึ้น
“มีคนหวังให้เจ้าไม่มา กะจะบดขยี้ถึงตาย!”
กู้หมิงจูอยากโต้เถียงแต่เห็นแก่ซือถิงที่อยู่ข้างๆ นางจึงอดทนข่มกลั้นแล้วสะบัดหน้าหนีอย่างแรง
“เสี่ยวหลิวเยว่ เจ้าเกือบมาสายแล้ว!” ไป๋เชินส่ายหน้า แต่ก็ดุด่านางไม่ลงจึงทำได้เพียงโบกมือไล่นาง “พวกเจ้ารีบกลับไปต่อแถวซะ ใกล้ถึงคราวพวกเจ้าแล้ว”
“ขอบคุณอาจารย์ไป๋เชินมากเจ้าค่ะ”
หลักจากฉู่หลิวเยว่พูดจบ นางก็กลับไปเข้าร่วมกับคนอื่นพร้อมมู่หงอวี๋
มู่หงอวี่กระทุ้งศอกใส่นางแล้วกระซิบว่า
“นี่ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ เหตุใดจึงมาสายเอาป่านนี้”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอ
“แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว”
อืม ก็แค่ถูกหลีอ๋องและเสวียเสวี่ยรบกวนตลอดทั้งคืนเท่านั้น