บทที่ 121 คะแนน

ราชาซากศพ

บทที่ 121
คะแนน

“อะไรกัน! นี่ไม่ใช่….ซางกวนน้ำแข็งหรอกหรือ! นี่นางออกมาข้างนอกจริง ๆ ด้วย แล้วเด็กชายที่อยู่ข้างหลังนาง เป็นใครกันแน่? เหตุใดคนงามต้องมานำทางให้เขา”

“เจ้าไม่รู้หรือ เขาเป็นศิษย์ของปรมาจารย์อาวุโสซางกวนที่เพิ่งเข้ามาเมื่อวานนี้ อายุไม่ถึงสิบหกปี เขาฝึกฝนทั้งหยูหลิงฉีและศิลปะการต่อสู้ของเขาก้าวหน้าไปถึงระดับขุนศึก ซึ่งดีกว่าเรามาก ๆ ”

“โอ้….ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ผู้อาวุโสซางกวนรับเป็นศิษย์! อายุไม่ถึงสิบหกปี แต่ได้ฝึกฝนจนถึงไปถึงระดับขุนศึก ทั้งจิตวิญญาณและศิลปะการต่อสู้ ความสามารถของเขาสูงมาก แม้แต่อู่เล่ยก็ไม่สามารถเทียบกับเขาได้”
“ ……”

ระหว่างทางซางกวนหรูผิงและหลินเว่ย ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้หลายคนที่เดินผ่านมา และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซางกวนหรูผิงหลานสาวของผู้อาวุโสสูงสุดต่างก็เป็นที่รู้จักกันในลานด้านใน

ซางกวนหรูผิงพาหลินเว่ยไปด้วยพบผู้ช่วยที่นี่ เพื่อช่วยหลินเว่ยลงรายชื่อ รับป้ายประจำตัว จากนั้นก็เดินออกไป ทิ้ง หลินเว่ยให้โดดเดี่ยว

“หลินเว่ย….เจ้าอย่าได้ถือสา…ซางกวนหรูผิงเลย นางก็เป็นแบบนี้ตลอด…เย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง” เมื่อเห็นว่า หลินเว่ยถูกทิ้งไว้ที่นี่ตามลำพัง และซางกวนหรูผิงก็หายตัวไป ผู้ดูแลรีบกล่าวกับหลินเว่ยอย่างรีบร้อน

“ไม่เป็นไร….ท่านอาจารย์ … ” เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ดูแล หลินเว่ยก็ส่ายหัวอย่างเรียบเฉย

“ยินดีต้อนรับ! ข้าไม่ใช่อาจารย์ ข้าชื่อว่าจงหมิง เป็นเพียงผู้ช่วยธรรมดา ๆ ในสถานศึกษาเทียนหยู เจ้าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุด และสถานะของเจ้านั้นสูงกว่าข้ามาก ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ!” เมื่อจงหมิงได้ยินคำพูดของหลินเว่ย
เขาก็แสดงสีหน้าเรียบเฉยและโบกมือซ้ำ ๆ

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเรียกท่านว่า ศิษย์พี่จง! ท่านก็รู้ว่าข้ายังคงใหม่กับที่นี่ และไม่คุ้นเคยกับมันเลย ท่านช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ ที่ข้าจำเป็นต้องรู้ได้หรือไม่?”หลินเว่ยพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาสุภาพมาก

“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าว่าง เรามานั่งคุยกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปเถอะ” เมื่อจงหมิงได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เขากล่าวอย่างมีความสุข

เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย หลินเว่ยก็รู้ว่าน่าจะต้องเป็นการสนทนาที่ยาวนาน เมื่อเขามาอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงต้องผูกมิตรกับผู้อื่นไว้ ดังนั้นเขาจึงเกระตือรือร้นมาก

หลังจากที่หลินเว่ยนั่งลงไป เขาก็หยิบเหล้าหนึ่งไห ถ้วยสองใบ และเนื้อย่างสองชิ้นใหญ่ แล้ววางไว้บนโต๊ะ
เมื่อเห็นสิ่งที่หลินเว่ยนำออกมา ดวงตาของจงหมิงก็สว่างขึ้น เขาหยิบเหล้าขึ้นมาแล้วรินเหล้าให้ตัวเอง เขาพูดกับหลินเว่ยด้วยรอยยิ้ม: “เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจมาก รู้หรือไม่ ข้าเป็นคนละโมบ เมื่อได้เริ่มกินจะยั้งตนเองไม่ค่อยได้”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หลินเว่ยก็ยิ้มและรินเหล้าให้ตนเอง จากนั้นเขาก็หัวเราะและพูดว่า “ไม่เป็นไร…ข้าแค่พอใจ”

“ดี!” หลังจากดื่มเหล้า จงหมิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลานชั้นในของสถานศึกษาเทียนหยูและลานชั้นนอก ราวกับเป็นโลกคนละใบ อย่างไรก็ตาม เจ้าได้เข้าไปในลานชั้นในแล้ว ในตอนนี้ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องของลานชั้นนอก วันนี้ข้าจะเล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ของลานชั้นใน”

“ต่อเลย” หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าว

“ลานชั้นในของสถานศึกษาเทียนหยู ค่อนข้างกว้างขวาง เมื่อเทียบกับลานชั้นนอก ตราบใดที่เจ้าไม่ทำผิดกฎ ก็จะไม่มีผู้ใดมาวุ่นวายกับเจ้า อย่างไรก็ตามเจ้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝน ดังนั้นทุกคนที่นี่จึงบ้าคลั่งการฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก

ณ ลานชั้นใน ทรัพยากรการฝึกฝนจะต้องไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่เจ้าต้องแลกเปลี่ยนกับคะแนนบริจาค ” เมื่อ จงหมิงพูดถึงจุดนี้ เขาหยุดพูดและหยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาจิบ เพราะเขารู้ว่าหลินเว่ยจะต้องถามแน่นอน

แน่นอนว่าเมื่อหลินเว่ยได้เรื่องใหม่ เขาก็ถามว่า “คะแนนสะสม เราสามารถแลกเปลี่ยนจากทองคำ หรือหินหยวนได้หรือไม่?”

“ต้องใช้เพียงพลังปราณเท่านั้น ที่นี่ไม่มีผู้ใดต้องการเหรียญทอง มีเพียงคะแนนสะสมเท่านั้น ที่ได้รับการยอมรับจากสถานศึกษา และสามารถแลกเปลี่ยนเป็นทรัพยากรต่าง ๆ กับสถานศึกษาได้ พลังปราณจะหมุนเวียนในหมู่ศิษย์ นั่นเรียกว่า

คะแนนสะสม มันจะเทียบเท่ากับพลังปราณ…คุณภาพสูง” จงหมิงพยักหน้าและกล่าว

“แล้ววิธีรับคะแนนสะสมล่ะ?” หลินเว่ยถามเอ่ยถามอย่างสงสัย

“มีหลายวิธีที่จะได้รับมา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคะแนนสะสมในทุกเดือน ตามระดับและฐานะของตนเอง จากนั้นจะมีการประเมินทุกครึ่งปี ผู้ที่มีอันดับสูงจะได้รับคะแนนสะสมมากมายในทุกเดือน นอกจากนี้พวกเขายังสามารถทำงานตามที่สถานศึกษามอบหมาย

และได้รับรางวัลสะสมเพิ่มเติม และเกิดการแบ่งปันแลกเปลี่ยนในหมู่ศิษย์ต่าง ๆ ด้วยกัน ” จงหมิงกล่าว

“โอ้! เป็นเช่นนั้นเอง…..ข้าเข้าใจแล้ว” หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าวว่าเขาเข้าใจ

“ศิษย์น้องหลิน มีเรื่องหนึ่งศิษย์พี่อยากจะเตือนเจ้า ถึงแม้ว่าจะสามารถใช้ศิลปะการต่อสู้ที่ลานชั้นในได้ แต่ก็ห้ามมิให้ทำร้ายผู้คนโดยเด็ดขาด และที่แย่กว่านั้นคือการสังหารผู้คน ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนกฎ จะได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน
หากผู้ใดละเมิดกฎ ก็จะถูกขับไล่ออกจากสถานศึกษาทันที หากมีความแค้นที่ไม่สามารถปล่อยวางได้ จริง ๆ เจ้าสามารถยื่นคำร้องต่อผู้อาวุโสที่บังคับใช้กฎของสถานศึกษาเทียนหยู และไปที่แท่นประลองเป็นตาย เพื่อจัดการความแค้น ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถแทรกแซงได้ รวมทั้งสถานศึกษาเทียนหยู” จงหมิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เอ่ยเตือน ข้าจะจำใส่ใจ” เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของจงหมิง หลินเว่ยก็พยักหน้าและพูดอย่างจริงจัง

“อืม! ในฐานะที่เจ้าเป็นศิษย์ของอาวุโสสูงสุด ย่อมไม่มีใครทำให้เจ้าลำบากใจ “จงหมิงกล่าวด้วยความอิจฉา

“อาจารย์ของข้าเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของจงหมิง หัวใจของหลินเว่ยก็ตกตะลึง และใบหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจ

“ถูกต้อง! ในสถานศึกษาเทียนหยู มีอรหันต์ทรงอำนาจจำนวนทั้งสิ้นสามคน คนหนึ่งเป็นผู้นำสถานศึกษา และอีกสองคน เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสถานศึกษา อาจารย์ของเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นในฐานะศิษย์ของเขา เจ้าจะมีสถานะที่สูงกว่าผู้อาวุโสธรรมดาบางคนเสียอีก “จงหมิงมองไปที่หลินเว่ยด้วยความอิจฉา และพูดอย่างไม่พอใจ

“มีผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเพียงสามคน ในสถานศึกษาของเรา ไม่มีผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ในอาณาจักร เฟิงหยูงั้นหรือ?” หลินเว่ยถามอย่างสงสัย

“เจ้าคิดว่า ความแข็งแกร่งระดับอรหันต์ คือผักกาดขาวที่สามารถหาได้ง่ายดายหรือ? ในอาณาจักรเฟิ่งหยูมีอรหันต์ทั้งหมดไม่ถึง 20 คน ยกเว้นสถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิง สถานศึกษาเทียนหยูและ สถานศึกษาราชวงศ์เฟิ่งหยูู นอกจากนี้ยังมีองค์จักรพรรดิ 2 พระองค์

ในแต่ละกองกำลังหลักทั้งห้า มีผู้แข็งแกร่งระดับอรหันต์อยู่ในเมืองหลวง และอีกไม่กี่คนที่เหลือต่างก็ฝึกฝนในรูปแบบของตนเอง “จงหมิงกล่าว
“เทพสงครามที่ทรงพลัง….ในอาณาจักรเฟิงหยูมีทั้งหมดกี่คน?” หลินเว่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มีกี่คนนั้น ข้าเองไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามีนักรบระดับเทพสงครามมันเป็นตำนานมิใช่หรือ?” จงหมิงกล่าวด้วยความเกินจริง

“ใช่หรือ?” หลินเว่ยขมวดคิ้ว และปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่จงหมิงพูด เขาเคยได้ยินจากอาจารย์หมิง บอกว่ายังมีผู้แข็งแกร่งและมีจำนวนมาก ดูเหมือนว่าสิ่งที่จงหมิงรู้นั้น….ยังมีข้อจำกัด