บทที่ 94 ซุกซน Ink Stone_Romance

ในห้องของนายใหญ่เฉินสว่างไสวยามประตูและหน้าต่างเปิดออก มิได้มืดมนไร้แสงเหมือนดั่งก่อนหน้า

เฉิงเจียวเหนียงหยิบกล่องเข็มทองมา

หมอหลวงหลี่ที่อยู่ข้างๆ ลังเลอยู่สักครู่

เพราะเมื่อวานเป็นเหตุขับขัน จึงไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ แต่หากวันนี้ยังอยู่ดูซึ่งหน้าเช่นนี้ คงไม่ค่อยดีกระมัง

“นายหญิงเฉิง ข้าต้องออกไปหรือไม่” เขาเอ่ยถาม

การสามารถรักษาโรคที่รักษาไม่หายของนายใหญ่เฉินได้ จะต้องมีเคล็ดวิชาลับเฉพาะเป็นแน่ จะเปิดเผยต่อหน้าหมอคนอื่นได้อย่างไรกัน

แม้เด็กรุ่นหลังจะไม่กล้าเอ่ยปาก แต่ผู้ใหญ่อย่างเขาจะไม่รู้กฎนี้ไม่ได้

“ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

หมอหลวงหลี่ดีใจยกใหญ่

“ถึงดูไป เจ้าก็ทำไม่ได้หรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ

นายหญิงผู้นี้อย่าพูดจาเว้นวรรคนานเช่นนี้ไม่ได้หรือไร

หมอหลวงหลี่หน้าตาคร่ำเครียด

“นายหญิงเป็นศิษย์อาจารย์ท่านใดหรือ” เขาเอ่ยถามอีก

หมอมีชื่อในใต้หล้านี้เขาพอจะรู้จักอยู่บ้าง อยากจะรู้ว่าเป็นศิษย์ที่ใครสอนมา

เฉิงเจียวเหนียงครุ่นคิดเล็กน้อย

“นึกไม่ออกแล้ว” นางตอบ

นึกไม่ออกเสียอย่างอย่างนั้นหรือ หมายความว่าอย่างไรกัน

ไม่อยากบอกก็ช่างเถิด หมอหลวงหลี่สะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลงข้างๆ

คนอื่นจะคิดอย่างไร เข้าใจผิดหรือไม่ เฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจแม้แต่น้อย จากเดิมทีที่กระวนกระวายใจเพราะไม่สามารถพูดอธิบายรายละเอียดให้สมบูรณ์ได้ ตอนนี้นางกลับชินเสียแล้ว

อยากจะฟังให้เข้าใจ ก็ย่อมเข้าใจได้ ไม่อยากเข้าใจ ถึงพูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเถิด

เฉิงเจียวเหนียงยื่นออกมือมา สาวใช้รีบนั่งคุกเข่าลงมาช่วยนางผูกแขนเสื้อ

บนเตียงนั้นเฉินเซ่ากำลังปลดเสื้อผ้าของท่านพ่อด้วยตนเอง

“เมื่อวาน เจ้ายังสลบอยู่ ไม่รู้สึกเจ็บปวด” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว ก่อนจะหยิบเข็มยาวขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วทอดสายตามองดูนายใหญ่เฉิน “วันนี้ได้สติแล้ว จะเจ็บมาก”

นายใหญ่เฉินเผยรอยยิ้มอันอ่อนล้าออกมา

“นายหญิง ไม่มีความรู้สึกใดต่างหากที่เจ็บปวดที่สุด” เขาเอ่ยเสียงสั่นเครือ

“นั่นเป็นเพียง ความนึกคิดของเจ้าเท่านั้น ความรู้สึกที่แท้จริง ไม่เป็นเช่นนั้น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วจึงยกมือทิ่มเข็มลงไป

เฉินเซ่านั่งคุกเข่าลงเหนือบริเวณที่ศีรษะของท่านพ่อนอนอยู่ เขาได้ยินเสียงร้องของท่านพ่ออย่างชัดเจน ใบหน้าเหี่ยวย่นที่อมทุกข์เปลี่ยนไปกระทันหัน สองมือที่วางอยู่ข้างกายกำผ้าห่มใต้ตัวไว้แน่น เหงื่อผุดซึมขึ้นมาเต็มหน้าผาก

เจ็บเหลือเกิน…

เฉินเซ่ากำหมัดแน่นอย่างอดไม่ได้

หมอหลวงหลี่ก็ดูอยู่เช่นกัน แต่ทว่าสิ่งที่เขาดูอยู่คือเฉิงเจียวเหนียง เขาสังเกตวิธีฝังเข็มของนาง คาดคะเนแรงที่นางใช้

ดูไปก็ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ หึ บนโลกนี้มีเรื่องอะไรที่เรียนรู้ไม่ได้กัน

แต่เมื่อเขาดูไปเรื่อยๆ ก็คาดคะเนไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนจะออกแรงไม่มาก แต่บนหน้าผากของหญิงสาวผู้นี้กลับมีเหงื่อซึมออกมาให้เห็น

สุดท้ายนายใหญ่เฉินก็ไม่สามารถทนจนฝังครบยี่สิบสี่เข็มได้ ก่อนจะหมดสติไปตอนที่ฝังได้เพียงครึ่งหนึ่ง

เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เขามองดูเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังเก็บเข็มอยู่แล้วจึงถอนหายใจออกมา

“ไม่รู้สึกอะไร ดีกว่าละสิ” นางเอ่ยขึ้น

นายใหญ่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น

“เหมือนคำที่ว่าจะอยู่ก็ไม่อยาก จะตายก็ไม่ยอม เหมือนตายทั้งเป็น” เขากล่าว

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร

“นายหญิง” นายใหญ่เฉินกล่าวอย่างอ่อนแรง “ถ้าหากตอนนั้นข้าให้เจ้ารักษา จะยังเป็นเช่นนี้หรือไม่”

เฉินเซ่าและนายเฉินสี่แอบส่งสายตาให้เฉิงเจียวเหนียงอยู่ข้างๆ

คนป่วยต้องการการปลอบใจ หมอทุกคนน่าจะรู้กระมัง

“ไม่อย่างแน่นอน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ตอนนั้นไม่จำเป็นต้องฝังเข็ม เหล้าเหลืองสามแก้ว ยาเม็ดหนึ่งชุด เท่านั้น”

ยังจะพูดว่าเท่านั้นอีก…

สองพี่น้องตระกูลเฉินมองตากันแล้วส่ายหน้า

“ไม่สิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยอีกครึ่ง เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

นายใหญ่เฉินมองนางด้วยความคาดหวัง

“เหล้าเหลืองสองแก้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ตอนนั้นข้า ให้เหล้าเหลืองเจ้าไปแล้วหนึ่งแก้ว”

นายหญิง เป็นมนุษย์ต้องมีเมตตานะ

เฉินเซ่าและนายเฉินสี่มองดูเฉิงเจียวเหนียง ถึงอยากจะพูดแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร

พวกเขามองดูเฉิงเจียวเหนียงเดินออกไป พ่อลูกตระกูลเฉินถอนหายใจพร้อมกัน ในยามนี้ยาก็ได้ถูกนำมาส่งแล้ว สองพี่น้องจึงคอยปรนนิบัติป้อนยาให้ท่านพ่อ

“พวกเจ้าจะต้องดูแลนายหญิงผู้นี้ให้ดี” นายใหญ่เฉินกล่าว “เพียงพริบตาเดียว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะพลาดอะไรไปบ้าง”

พี่น้องเฉินขานรับ

นายเฉินสี่ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ถึงยิ้มออกมา

“หากจะพูดถึงเรื่องนี้ เกรงว่าบ้านตระกูลโจวน่าจะรู้ซึ้งยิ่งกว่า” เขาเอ่ย

นายใหญ่เฉินฟื้นขึ้นมาได้เพียงไม่นาน จึงยังไม่มีผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้เขารับรู้

“ที่มาของนายหญิงผู้นี้ พวกเจ้าเล่ามาให้ข้าฟังอย่างละเอียดที” เขากล่าว

พ่อบ้านเฉาพาสาวใช้และแม่นมสี่คนก้าวเข้าประตูเรือนตระกูลเฉิน ด้านหน้าก็มีบ่าวกลุ่มหนึ่งถือไม้กระบองตาข่ายวิ่งเข้ามา

“ไปวัดหั่วเสิน หลังวัดหั่วเสินมีเยอะแยะ…”

“…ตลาดตะวันตกมีบ้านร้างหลายหลัง ที่นั่นมีเยอะกว่า…”

พวกเขาตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ไม่ทันได้ดูทางแทบจะชนคนเข้า

“นี่ทำอะไรกันอยู่” พ่อบ้านเฉาเอ่ยถามอย่างตกใจ

“ไปจับนกขมิ้นขอรับ” บ่าวที่นำทางกล่าวพลางหัวเราะ

จับนก ตอนนี้น่ะหรือ

ช่างไร้ระเบียบกันเสียจริง บ้านตระกูลเฉินไม่มีใครดูแลแล้วหรืออย่างไร คงเพราะในเรือนเกิดเรื่องขึ้น ผู้คนถึงได้หวาดกลัว วุ่นวายเสียจริง

เมื่อมาถึงที่พักของเฉิงเจียวเหนียง พ่อบ้านเฉาก็ถูกขวางไว้อีก

“นายหญิงกำลังนอนอยู่ พวกท่านรอก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว

แม่นเหลือบตามองฟ้าอย่างอดไม่ได้ จะว่าเช้าก็ไม่ใช่ สายก็ไม่เชิง ยังไม่บ่ายด้วยซ้ำ นอนอะไรกันนักหนา

มารักษาโรคในเรือนผู้อื่นแท้ๆ แต่ทำไมถึงเอาแต่ใจกว่าอยู่เรือนของตนอีก

ทำเช่นนี้จะดีหรือ

เหล่าสาวใช้มองไปทางพ่อบ้านเฉา

พ่อบ้านเฉาขานรับอย่างนอบน้อม ไม่ร้อนรนนั่งคุกเข่าอยู่ที่ทางเดินอย่างสุภาพเรียบร้อย

“พี่สาวก็เหนื่อยเช่นกัน รีบไปพักเถิด” เขากล่าวพลางอมยิ้ม

สาวใช้ข้างกายเหล่าฮูหยินในเรือนยังไม่เคยได้รับความเคารพนอบน้อมเช่นนี้จากพ่อบ้านเฉาด้วยซ้ำ เหล่าสาวใช้แม่นมต่างก็มองตากัน และรีบนั่งคุกเข่ารอตรงทางเดินเช่นกัน

โชคดีที่ครั้งนี้ไม่ได้รอนานเหมือนเคย เพียงไม่นานเฉิงเจียวเหนียงก็ตื่นขึ้นมา

“คนเหล่านั้นไม่รู้ความ ล่วงเกินนายหญิง ข้าไล่ไปแล้ว เอาไปขายแล้วขอรับ” พ่อบ้านเฉาที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่ทางเดินเอ่ยขึ้น

ประตูห้องเปิดออก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็พบกับเฉิงเจียวเหนียงที่นั่งดื่มน้ำอยู่ด้านใน

“นี่คือคนที่คัดเลือกมาใหม่ขอรับ” พ่อบ้านเฉากล่าวต่อ

เหล่าสาวใช้และแม่นมรีบขยับขึ้นไปข้างหน้าไป ก่อนจะคำนับเฉิงเจียวเหนียงอย่างพร้อมเพรียง

“ดี” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

พ่อบ้านเฉาโล่งใจ

“นายหญิงต้องการอะไรก็บอกได้เต็มที่เลยนะขอรับ” เขาพูดต่อ

เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองเขาเล็กน้อย

“ข้าจะซื้อของมาเพิ่ม เจ้าติดตามสาวใช้ของข้าไปด้วยก็แล้วกัน” นางกล่าว

พ่อบ้านเฉาดีใจ

ติดตามไปด้วยก็แปลว่าจ่ายเงิน ตอนนี้พ่อบ้านเฉาไม่ได้กลัวการจ่ายเงิน แต่กลัวว่าเขาจะไม่ใช้เงินของพวกเขาเสียมากกว่า

หญิงสาวสองคนนี้มาตัวคนเดียว หากเอ่ยปากขอข้าวของจากคนของบ้านตระกูลเฉิน เช่นนั้นจะเป็นการตบหน้าคนบ้านตระกูลโจวอีกอย่างไม่ต้องสงสัย

ยังดี ยังดี

พ่อบ้านเฉาพาสาวใช้ออกจากเรือนตระกูลเฉินด้วยตนเอง

“เอาไปซื้อผ้าตัดเสื้อ” สาวใช้กล่าวพลางดูรายการที่ไล่ไว้ในมือ

ทุกครั้งหลังจากที่ฝังเข็ม เสื้อตัวในของนายหญิงจะเปียกชุ่มไปหมด การแต่งตัวของนางเรียบง่ายอยู่แล้ว ขามานำมาเพียงแค่สองสามชุด จัดสับเปลี่ยนไม่ทัน

“เป็นเพราะข้าละเลยเอง ที่เรือนมีช่างตัดเย็บ ไปเรียกพวกนางมา” พ่อบ้านเฉารีบกล่าว

เหล่าชายหนุ่มสนใจเรื่องนี้ที่ไหนกัน เรื่องยิบย่อยของหญิงสาวเช่นนี้ก็ต้องให้หญิงสาวมาดูแล

นึกถึงยามที่นายหญิงสามของบ้านไปวัดป๋อหลินที่อยู่นอกเมือง ฮูหยินก็เร่งกำชับเหล่าสาวใช้และแม่นมให้พกเสื้อผ้าไปเปลี่ยนด้วย เพราะกังวลว่าน้ำค้างยามเช้าและสายฝนจะทำเสื้อผ้าเปียกปอน

ญาติใครก็ญาติคนนั้นจริงๆ เด็กไม่มีแม่ช่างน่าสงสารเสียจริง

เมื่อความคิดนี้แล่นข้ามาในหัว พ่อบ้านเฉาก็เหงื่อซึมออกมาเต็มแผ่นหลัง

ยังลำบากไม่พออีกหรือ อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ เสื้อผ้านายหญิงเรียบง่าย บอกว่าจะทำเองเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว

คนบ้านี่ชอบงานเย็บปักด้วยหรือ เย็บเสื้อผ้าให้ตนเองได้ด้วยหรือ

พ่อบ้านเฉาตกอดแปลกใจไม่ได้

………………………………………………