บทที่ 93 ไม่ปลอม Ink Stone_Romance
สาวใช้เปิดประตู สาวใช้และแม่นมที่อยู่ด้านนอกประตูรีบเข้ามาแสดงความเคารพ
สาวใช้ก็แสดงความเคารพตอบเช่นกัน
“ลำบากทุกคนแล้ว” นางกล่าว
ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงก็นุ่มนวล ดูเป็นคนที่มีความรู้จริงๆ ไม่แสดงท่าทางเหมือนกับที่ทุกคนคาดเดาไว้ว่าจะเอามือเท้าเอวและดูหมิ่นผู้อื่น โดยไล่ผู้อาวุโสกว่าให้ไสหัวออกไปเลย
“นายหญิงของข้าอยากกินข้าวแล้ว” สาวใช้กล่าว
“มี มี เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว” แม่นมรีบกล่าว
“อย่าลำบากเลย” สาวใช้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอแค่ข้าวต้มเนื้อห้ารส หัวไชเท้าหั่นฝอยคลุกกับพริกไทยและเกลือ และผัดนกขมิ้นหนึ่งกำมือกับเกลือ พริกไทย ส้มก็พอแล้ว”
สาวใช้ถึงกับนิ่งชะงักไป
ต้องการอะไรนะ ข้าวต้มอะไร คลุกพริกไทยกับเกลือหรือ ส้มเอาไปผัดได้ด้วยหรือ
อะไรคือไม่ลำบาก
สั่งข้าวต้มเนื้อห้ารส นกขมิ้นหนึ่งกำมือและต้องผัดกับเกลือ พริกไทย ส้มหรือ คนดี อาหารเหล่านี้คืออะไรกัน
ภายในบ้านของนายใหญ่เฉิน เฉินเซ่าและพี่น้องคนอื่นๆ นั่งเงียบอีกครั้ง
นายใหญ่เฉินกินยาเสร็จแล้วก็ง่วงหลับไปอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะหมอหลวงหลี่ที่เฝ้าอาการและบอกว่าชีพจรปกตและดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว พวกเขาคงรีบไปหาแม่นางเฉิงเพื่อเชิญนางมาดูอาการแล้ว
นอนจนถึงรุ่งสาง ตื่นขึ้นมาก็ไม่รีบร้อน ไม่กินอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้ และต้องทำอาหารให้ใหม่ แม่นางช่างใจเย็นนัก
“ใต้เท้าไม่ต้องกังวลไป” หมอหลวงหลี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าว “เมื่อวานข้าเห็นแม่นางฝังเข็ม ใช้พลังงานไปมากนัก เพราะไม่สามารถผิดพลาดใดๆ ได้เลย หากฝังเข็มเพียงครั้งเดียวก็ทำให้นายใหญ่เฉินฟื้นได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นวันนี้คงต้องมุ่งมั่นตั้งใจอย่างมาก ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ระหว่างที่เจ็บป่วยรุนแรงและเรื้อรัง จะรีบร้อนไม่ได้ อีกทั้ง แม่นางนิ่งเฉยเช่นนี้ แสดงว่ารู้อยู่แก่ใจแล้วว่าต้องรักษาให้หายได้แน่ ใต้เท้าควรดีใจถึงจะถูก”
ทุกคนต่างพยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้
หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เข้าใจแม่นางผู้นี้ได้
จะเห็นได้จากความพยายามอย่างมากในการรักษานายใหญ่เฉินที่นอนหลับอยู่นานให้ฟื้นขึ้นด้วยการฝังเข็มเพียงครั้งเดียว
“เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ เพียงแต่พ่อป่วย ลูกๆ เป็นกังวล ก็เป็นไปตามหลักธรรมชาติของมนุษย์เช่นกัน”
หมอหลวงหลี่พยักหน้า
“แน่นอน แน่นอน” เขาพูดพลางลูบเคราและกระพริบตา “จะว่าไปแล้ว ข้าก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”
ใช่สิ หมอหลวงหลี่ไม่ได้หลับทั้งคืน
“รีบไปเอาอาหารมา” ภรรยาของเฉินเซ่ารีบกล่าว
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” หมอหลวงหลี่รีบตะโกนแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าเอาแบบเฉิงเจียวเหนียงชุดหนึ่งดีกว่า ข้าฟังแล้วรู้สึกหิวเลย”
ข้าวต้มเนื้อห้ารส หัวไชเท้าหั่นฝอยคลุกกับพริกไทยและเกลือ ผัดเกลือ พริกไทย ส้มกับนกขมิ้นหนึ่งกำมือ…
ผู้คนที่อยู่ภายในบ้านอดไม่ได้ที่จะท่องในใจ ราวกับเห็นอาหารสีสันสดใส ทั้งกรอบและน่าทานวางอยู่ตรงหน้า
ดูแล้วน่าทานยิ่งนัก…
“ทุกคนอดหลับอดนอนมาทั้งคืนแล้ว เมื่อคืนถึงเช้าวันนี้ก็กินแต่อาหารง่ายๆ ไปบอกห้องครัวให้ทำตามรายการอาหารนั่นเพิ่มอีกชุด” เฉินเซ่ากล่าว
ระหว่างที่นายน้อยโจวหกน้อมทักทายในช่วงเช้า ก็มองเห็นสาวใช้สี่คนของเรือนพ่อแม่ถูกลากออกไปทั้งน้ำตา
“ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี” สีหน้าของนายใหญ่โจวบึ้งตึง
“เหตุใดผู้หญิงคนนี้ถึงเป็นเช่นนี้” ฮูหยินโจวยังคงขมวดคิ้วกล่าว
นายน้อยโจวหกคำนับแล้วคุกเข่าลง
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” เขาถามทั้งๆ ที่มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
“คาดไม่ถึงว่านังบ้านั่นจะให้ฮูหยินเฉินไล่สาวใช้เหล่านี้กลับมา” ฮูหยินโจวกล่าว “นางทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร”
นางไม่ควรทำอย่างนั้นหรือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำเช่นนี้
พ่อบ้านเฉาไม่ได้เล่าให้นายใหญ่โจวและฮูหยินฟังอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ตนถูกแม่นางเจียวเหนียงและสาวใช้กลั่นแกล้ง ทว่า เขากลับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่นายน้อยโจวหกและท่านชายฉินฟัง
ผู้หญิงคนนี้ช่างใจแคบนัก!
นายน้อยโจวหกกำหมัดแน่นโดยวางอยู่ตัก
“ข้าจะไปหานางตอนนี้ หากโกรธเคืองก็ให้มาลงที่ข้า เหตุใดถึงมารังแกคนของตระกูลโจวเรา” เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนทันที
นายใหญ่โจวขมวดคิ้วและดุให้เขานั่งลง
“ไม่ใช่ตอนนี้” เขากล่าว “อาการป่วยของนายใหญ่เฉินสำคัญที่สุด”
นายน้อยโจวหกนั่งลงอีกครั้ง ใบหน้าของเขาตึงเครียด
ในเวลานี้มีคนสี่คนเดินเข้ามาคุกเข่า เป็นแม่นมสองคนและสาวใช้สองคน
“ไปปรนนิบัติแม่นางเจียวเหนียง ต้องเคารพนอบน้อมและรู้จักหน้าที่ขอตน สั่งให้ทำอะไรก็ทำเช่นนั้น ไม่สั่งก็ไม่ต้องทำ” ฮูหยินโจวกล่าว
“เจ้าค่ะ” ทั้งสี่คนตอบและถอยออกไป จากนั้นพ่อบ้านก็พาออกไป
ปั้นฉินอุ้มตะกร้าเสื้อผ้าเดินออกจากประตูอย่างกินแรงเล็กน้อย ด้านหน้ามีสาวใช้สองเดินมาอย่างเร่งรีบจนเกือบจะชน
“ไอหยา ดูทางด้วยสิ” พวกนางพูดอย่างไม่พอใจ
ปั้นฉินรีบหลีกทางให้และก้มศีรษะขอโทษ
“พี่สาว ทำไมปรนนิบัติแม่นางเฉิงถึงลำบากเช่นนี้”
“ท่านแม่ซ้งและคนอื่นๆ เป็นคนของฮูหยินและมีหน้ามีตา นางบอกให้ไล่ก็ถูกไล่ออกมาทันที
ตุ้บ! สาวใช้ทั้งสองตกใจและเมื่อหันกลับไปมองก็เห็นตะกร้าของสาวใช้นั่นตกลงพื้น
“พี่สาว พวกเจ้า แม่นางที่พวกเจ้ากำลังพูดถึงคือ…” ปั้นฉินถามด้วยเสียงสั่น น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
สาวใช้ทั้งสองมองไปที่นาง สาวใช้คนหนึ่งจำหน้านางได้จึงกระซิบกับอีกคน
“ในตอนนั้นนายน้อยถามนางว่าจะกลับหรือไม่ นางก็ตามกลับมาจริงๆ และบอกอีกว่าตนเป็นคนของตระกูลโจวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“หา คือนางเองหรือ ไม่รู้ว่าตอนนั้นเหล่าฮูหยินซื้อนางไว้ทำไม”
“นางคิดอะไรอยู่ นางย่อมรู้ดี”
ปั้นฉินได้ยินเสียงกระซิบนั่น เหมือนกับว่าตั้งใจให้นางได้ยิน
ศีรษะของปั้นฉินก้มต่ำลงอย่างไม่สบายใจ
“เร็วเข้า ขออย่าโชคร้ายเหมือนท่านแม่และคนอื่นๆ เลย”
“ใช่ ข้าไม่อยากถูกไล่กลับเมืองส่านโจว”
ทั้งสองเดินจับมือกันแล้วจากไป
ปั้นฉินเดินตามสองถึงสามก้าวด้วยน้ำตา แล้วหยุดเดินและมองดูสองสาวเดินจากไป
“ปรนนิบัตินายหญิงไม่ลำบากเลย” นางพูดพึมพำ “นางพูดง่ายมาก เพียง เพียงพวกเจ้าดีกับนาง นางก็จะดีกับพวกเจ้าเช่นกัน…”
สุดท้ายนางก็ทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าทั้งน้ำตา ในช่องทางที่แคบ เงายิ่งอยู่ยิ่งมีขนาดเล็กลง
เนื่องจากไม่เคยทำอาหารที่แปลกใหม่มาก่อน ภายในห้องครัวของตระกูลเฉินจึงยุ่งวุ่นวายอยู่พักใหญ่ ยังดีที่ต้นฤดูหนาวมีนกขมิ้นจำนวนมาก จึงติดตามบ่าวทั้งหลายไปจับนกขมิ้นมาได้หนึ่งกระสอบใหญ่และลองทำเมนูนั้นสามถึงสี่ครั้งถึงจะนำไปให้แก่เฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงชิมแล้วส่ายหัว
“นายหญิง รสชาติไม่ถูกต้องหรือจ้าคะ” สาวใช้ถามอย่างรีบร้อน
“เดิมทีข้าคิดว่านี่คือตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ฝีมือการทำอาหารต้องดีเยี่ยมเป็นแน่แท้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวจริงๆ แล้วเป็นเพียงตระกูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ถึงขั้นทำอาหารเลิศรสได้”
นางพูดเพียงเท่านี้ ก็มองไปที่สาวใช้แล้วโค้งมุมปากขึ้น
“ยังสู้ของบ้านเจ้าไม่ได้เลย” นางกล่าว
สาวใช้หัวเราะเสียงดัง
“นายหญิง บ้านข้าไม่ใช่บ้านของท่านหรือเจ้าคะ” นางยิ้มกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงรู้ว่านางฟังเข้าใจ โค้งมุมปากขึ้นอีกครั้งโดยไม่พูดต่อ นางค่อยๆ กินข้าวต้มและหัวไชเท้าฝอยจนหมดถึงจะวางถ้วยชามกับตะเกียบลง
บนโต๊ะเตี้ย ผัดนกขมิ้นไม่ถูกแตะเลย
“ไปเอานกขมิ้นมาอีกสองสามตัว”
หมอหลวงหลี่พูดพร้อมกับชี้ไปที่จานเปล่า เด็กน้อยที่อยู่ข้างๆ ถือนกเคี้ยวด้วยมือข้างถนัดอย่างมีความสุข
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ แล้วรีบเดินออกไป เพิ่งจะเดินออกไป ก็รีบเดินกลับเข้ามา
“แม่นางเฉิงมาแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยความดีใจ
หมอหลวงหลี่หยุดกิน รีบเช็ดมือแล้วลุกขึ้นเตะเด็กน้อย จนท้ายที่สุดเด็กน้อยทนไม่ไหวจึงดูดนิ้วแล้วเดินตาม
“ท่านพ่อขอรับ ท่านพ่อขอรับ” เฉินเซ่าตะโกนอยู่ข้างเตียงด้วยเสียงสั่นเครือ “แม่นางเฉิงมาแล้วขอรับ”
นายใหญ่เฉินลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ สายตาคู่นั่นขุ่นมัวและหันไปมองผู้หญิงในชุดสีเรียบซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ข้างเตียง
ภายในห้องมืดทืบ ทว่า ผู้หญิงในชุดสีเรียบกลับสะดุดตาเป็นพิเศษ
นางนั่งคุกเข่าอย่างเงียบๆ หน้านิ่ง เหมือนตอนวันนั้นตรงม่านของรถม้า
“แม่นาง…” นายใหญ่เฉินยันตัวเองเพื่อจะลุกขึ้น “โรคของข้าจะรักษาหายได้หรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“รักษาให้หายได้” นางกล่าว “เพียงแต่ว่า”
เมื่อฟังนางพูดถึงคำว่าเพียงแต่ว่า หัวใจของคนที่อยู่ในห้องแทบจะหลุดออกมา
แม่นางคนนี้ทำอะไรก็ช้า พูดก็ช้า ทำให้ทุกคนร้อนอกร้อนใจนัก!
“ครั้งนี้แพงกว่าครั้งก่อนอยู่บ้าง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
……………………………………………….