ตอนที่ 128 โลกบำเพ็ญเพียรของจงหยวนสั่นสะเทือน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 128 โลกบำเพ็ญเพียรของจงหยวนสั่นสะเทือน

เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นลำแสงกระบี่อันงดงามทะยานขึ้นฟ้า ก่อเกิดเป็นปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์

ภาพอันงดงามที่ปรากฏขึ้น

แม้แต่ผู้ที่อยู่ห่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงไปหลายสิบลี้ก็ยังสามารถมองเห็นได้ลาง ๆ

และห่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงออกไป 20 ลี้ มีเมืองโบราณแห่งหนึ่งตั้งอยู่

ภายในเมืองโบราณแห่งนี้

มีศิษย์นอกสำนักของสำนักบำเพ็ญเพียรอื่นแฝงตัวอยู่ที่นี่ รวมถึงศิษย์และผู้อาวุโสจากสำนักต่าง ๆ ที่เดินทางผ่านมาอยู่ด้วย

หลังจากที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเกิดปรากฏการณ์มีลำแสงกระบี่อันงดงามทะยานขึ้นฟ้า

ผ่านไปมินาน เมืองโบราณแห่งนี้ก็เกิดความแตกตื่น จนสั่นสะเทือนไปทั่ว

“ลำแสงกระบี่อันงดงามเช่นนี้ทะยานขึ้นฟ้า หรือว่ามีผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงบรรลุขั้นสูงสุด จะขึ้นสวรรค์ไปเป็นเซียนแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เป็นไปได้ ลำแสงกระบี่อันงดงามเช่นนี้ ราวกับปาฏิหาริย์ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ”

“ไม่ มิใช่แค่เป็นไปได้ จะต้องมีผู้ที่บรรลุเป็นเซียนอย่างแน่นอน จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้”

“ก็มิแน่ ข้าว่าอาจจะมีผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง บังเอิญไปปลดผนึกกระบี่เซียนเล่มหนึ่งเข้า จึงทำให้เกิดลำแสงกระบี่อันงดงามทะยานขึ้นฟ้าเช่นนี้ก็เป็นได้”

“พี่เต้า ที่ท่านพูดมามีเหตุผลยิ่งนัก”

“……”

ภายในเมืองโบราณ

ระหว่างที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา

ก็เริ่มมีคนทำลายยันต์เพื่อถ่ายทอดเสียง และนำเรื่องนี้แจ้งให้แก่สำนักของตนเอง

บางคนใช้วิธีเขียนอักษรมิกี่บรรทัดลงในกระดาษยันต์ จากนั้นก็เผากระดาษยันต์ทิ้งเพื่อเป็นการส่งข่าว

มินานสำนักบำเพ็ญเพียรทั่วทั้งจงหยวนก็เกิดการสั่นสะเทือนไปทั่ว

เวลานี้กลางลานบำเพ็ญเพียรของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง

ในตอนที่สวีฉิงเทียนเดินนำเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงมาถึงนั้น บนลานกว้างก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายแล้ว

ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก จู่ ๆ ก็เกิดลำแสงกระบี่อันงดงามขึ้นที่สำนักตัวเองเช่นนี้

‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’

‘เหตุใดดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเราจึงถูกปกคลุมไปด้วยจิตกระบี่มหาศาลเช่นนี้ได้’

‘ที่สำคัญที่สุดก็คือ’

‘ภายในยังแฝงเอาไว้ด้วยเจตนาแท้จริงของกระบี่อันบริสุทธิ์มากมายอีกด้วย ต่อไปหากบำเพ็ญเพียรอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ยากนักที่จะมิก้าวหน้า’

‘น่าเหลือเชื่อ ! ’

‘ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ’

“ท่านเจ้าสำนักมาแล้ว ! ”

เมื่อมีคนสังเกตเห็นกลุ่มของเจ้าสำนักจื่อชิง จึงได้ตะโกนขึ้นทันที

“ข้าน้อยคาราวะท่านเจ้าสำนัก ! ”

หลังจากทุกคนได้สติ ต่างก็หันไปโค้งคำนับให้แก่สวีฉิงเทียนอย่างนอบน้อม

สวีฉิงเทียนเดินนำเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง มายังเวทีกลางลานด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

เขาหันไปมองลำแสงกระบี่อันงดงามด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองทุกคน

“ทุกคนได้เห็นสิ่งที่ควรเห็น และสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ควรสัมผัสแล้วใช่หรือไม่ ? ”

สวีฉิงเทียนเอ่ยด้วยเสียงทรงอำนาจ

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็สบตากันด้วยวามรู้สึกฉงนมิน้อย

‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ! ’

มินานก็มีศิษย์สายตรงผู้หนึ่ง รวบรวมความกล้าเอ่ยถามสวีฉิงเทียนว่า “ท่านเจ้าสำนัก ลำแสงกระบี่อันงดงามมาจากที่ใดกันหรือขอรับ เหตุใดเวลานี้ทั่วทั้งสำนักของเราจึงถูกปกคลุมไปด้วยจิตกระบี่ รวมทั้งเจตนาที่แท้จริงของกระบี่เช่นนี้หรือขอรับ ? ”

สวีฉิงเทียนยกมุมปากโค้งขึ้น ด้วยท่าทางภาคภูมิใจ

เขาปรายตามองเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงที่เคลือบแคลงสงสัยในตัวเขาก่อนหน้านี้ ก่อนจะกวาดตามองทุกคนในลาน

“นี่เป็นโชคและวาสนาที่ผู้อาวุโสท่านหนึ่ง มอบให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเรา”

สวีฉิงเทียนเอ่ยตามความจริง “ท่านผู้นั้นได้ผสานเจตนาที่แท้จริงของกระบี่มากมายเอาไว้ในภาพอักษรพู่กัน เมื่อครู่ขณะที่ข้าเปิดภาพนั้นออก เจตนาแท้จริงของกระบี่ที่แฝงอยู่ภายในก็ได้ขานรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเรา จึงทำให้เกิดภาพอันน่าตกตะลึงเมื่อครู่”

ความจริงแล้วการที่ภาพอักษรพู่กันที่เย่ฉางชิงมอบให้ ได้ขานรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง เป็นสิ่งที่เขาคาดมิถึงจริง ๆ

ที่สำคัญที่สุดก็คือ

เวลานี้มิเพียงมีลำแสงกระบี่อันงดงามทะยานขึ้นฟ้า จนทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วเท่านั้น แต่ยังทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงกลายเป็นสำนักกระบี่ที่ไร้เทียมทานอีกด้วย

‘นี่เป็นโชคที่ได้รับเยี่ยงนั้นหรือ ! ’

‘โชคอันยิ่งใหญ่ที่เพียงพอจะทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง เจริญรุ่งเรืองไปได้อีกอย่างน้อยนับแสนปี ! ’

“ท่านเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นผู้ใดกันหรือขอรับ ? ”

มินานก็มีศิษย์คนหนึ่งก้าวออกมา พลางถามต่อด้วยความสงสัย

สวีฉิงเทียนได้ยินดังนั้นก็มีท่าทีอ่อนลง ดวงตาเป็นประกายขึ้น

“ความเก่งกาจของผู้อาวุโสท่านนี้ แม้แต่ข้าเองก็มิอาจจินตนาการได้ พวกเจ้าจำไว้เพียงว่าวันหน้ามิว่าพวกเจ้าจะประสบความสำเร็จในวิถีกระบี่เพียงใด ต้องซาบซึ้งและจงสำนึกในบุญคุณของผู้อาวุท่านนี้เอาไว้ให้มาก”

สวีฉิงเทียนเอ่ยสั่งสอนด้วยเสียงหนักแน่น

“โชคและวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่ผู้อาวุโสท่านนี้มอบให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเรา เพียงพอจะทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเจริญรุ่งเรืองไปได้อีกนับแสนปี หรืออาจจะมากกว่านั้น”

ขณะนั้นก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ตามความเห็นของข้าเราควรจะสร้างรูปปั้นทองคำของผู้อาวุโสท่านนั้นบนลานบำเพ็ญเพียรแห่งนี้ เพื่อให้ศิษย์ทั้งหลายจะได้เคารพบูชาผู้อาวุโสท่านนี้ และสำนึกในบุญคุณนี้อีกด้วย”

“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง ! ”

“ใช้แล้ว มิว่าจะด้วยเหตุผลใด เราควรจะทำเช่นนั้น”

สิ่งเสียงเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงต่างก็ลุกขึ้นยืน เพื่อสนับสนุนความคิดนี้

“ทุกท่านใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องนี้ข้าได้ไตร่ตรองตลอดทางที่กลับมาแล้ว”

สวีฉิงเทียนเองก็ได้พยักหน้าเห็นด้วย “ตอนนี้ชิง เสวี่ยกำลังเข้าฌานอยู่ รอนางออกจากฌานเมื่อใด เรื่องนี้ให้นางเป็นคนจัดการก็แล้วกัน”

“ท่านเจ้าสำนัก เหตุใดถึงให้ผู้สืบทอดหญิงเป็นคนจัดการเล่าขอรับ ? ”

ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย

สวีฉิงเทียนถอนหายใจออกมา ปรายตามองอินฉางเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “เพราะชิง เสวี่ยเคยได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโสท่านนี้มาแล้วน่ะสิ”

“ห๊ะ ! ”

ทันใดนั้นทุกคนที่ได้ยินต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที การที่บุคคลที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ให้การชี้แนะผู้สืบทอดหญิง เท่านี้ก็เพียงพอที่จะบรรยายถึงความสามารถของนางได้แล้ว

หากเป็นเช่นนี้แสดงว่าภายภาคหน้าความสำเร็จของผู้สืบทอดหญิงคงยากที่จะประมาณได้ ย่อมต้องอยู่เหนือผู้สืบทอดอย่างอินฉางเฟิงอยู่แล้ว

มินานทุกคนต่างก็มีความคิดไปในทางเดียวกัน

ก่อนที่สายตาแปลกประหลาดเหล่านั้น จะจับจ้องมองมายังอินฉางเฟิงเป็นตาเดียว

อินฉางเฟิง “……”

ตอนนั้นเองจู่ ๆ สวีฉิงเทียนก็รับรู้ถึงบางอย่าง

เขาเพ่งสมาธิก่อนจะพบว่ายันต์ถ่ายทอดเสียงของสำนักต่าง ๆ ที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติต่างก็เปล่งแสงออกมา

‘ตาเฒ่าพวกนี้จมูกไวเสียจริง’

“ทุกท่าน ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการ คงต้องขอตัวก่อน”

สวีฉิงเทียนเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนที่ร่างจะหายวับไปในอากาศทันที

มินานเขาก็ได้ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ในตำหนักโบราณก่อนหน้านี้

“เหล่าสวี เกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเจ้างั้นหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางออกมา

หลังจากเขาผสานยันต์ชิ้นหนึ่งเข้ากับยันต์ถ่ายทอดเสียง เสียงของเจ้าสำนักหยินหยาง ต้วนฉางเต๋อ ก็ดังขึ้นมาทันที

“พี่ต้วน ท่านพูดถึงเรื่องอันใดงั้นหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยถามขึ้น

“เฮอะ เหล่าสวี เจ้ายังจะเสแสร้งอีกเยี่ยงนั้นหรือ ข้าอยู่ถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางยังมองเห็นลำแสงกระบี่อันงดงามนั่นเลย รีบบอกมานี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ? ”

ต้วนฉางเต๋อเอ่ยเร่ง

“พี่ต้วน ท่านหมายถึงลำแสงกระบี่นั่นเยี่ยงนั้นหรือ”

สวีฉิงเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า “ด้านล่างของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงได้มีการผนึกยอดกระบี่โบราณเอาไว้เล่มหนึ่ง แต่มิรู้ด้วยเหตุใดจู่ ๆ กระบี่เล่มนั้นกลับปลดผนึกเสียเอง”

“เหล่าสวี ดวงเจ้านี่ดีมิน้อยเลย อีกสองวันข้าจะไปดูที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของพวกเจ้าด้วยตาตัวเอง”

หลังสนทนากับเจ้าสำนักหยินหยางเสร็จแล้ว สวีฉิงเทียนจึงหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงทั้งหมดในแหวนเก็บสมบัติออกมา

ขณะเดียวกัน

ณ เมืองเสี่ยวฉือ

หลังจากจัดแจงที่พักให้แก่เยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนปิงซินเรียบร้อยแล้ว

เย่ฉางชิงก็กุมแหวนเก็บสมบัติของเยี่ยนปิงซินเอาไว้ในมือ อยากกลับห้องตัวเองเต็มแก่แล้ว