ตอนที่ 127 ทุกท่าน มีผู้ใดจะคัดค้านอีกหรือไม่ ?

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 127 ทุกท่าน มีผู้ใดจะคัดค้านอีกหรือไม่ ?

ภายในตำหนักไท่เสวียน ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

หลังสนทนากับเยี่ยนเทียนซานจบ

เวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูปได้

ลำแสงมากมายจากฟากฟ้าก็พุ่งลงมา ก่อนจะกลายเป็นร่างคน และเดินเข้าไปด้านในตำหนักไท่เสวียนอย่างรีบร้อน

มินานผู้อาวุโสที่มีตบะบารมีระดับแดนเทวาทั้งหมดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน รวมทั้งเจ้ายอดเขาทั้งเจ็ด ก็มารวมตัวกันอยู่ภายในตำหนักไท่เสวียน

นักพรตฉางเสวียนที่นั่งอยู่ด้านบนสุด กวาดตามองทุกคนก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีข่าวดีจะมาบอกทุกท่าน พรุ่งนี้ท่านบรรพจารย์เย่จะไปเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยนแล้ว ! ”

เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้ยินเช่นนั้นต่างก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง

‘ข่าวดี ? ’

‘ท่านบรรพจารย์เย่จะไปเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยนเนี่ยนะ ! ’

‘เฮอะ ! ’

‘นี่มันใช่ข่าวดีที่ไหนกัน ! ’

‘หรือว่าศิษย์พี่ฉางเสวียนจะมิอยากให้ท่านบรรพจารย์เย่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนแล้วงั้นหรือ ? ’

‘ใช่แล้ว วันนี้ศิษย์พี่ฉางเสวียนไปคาราวะท่านบรรพจารย์เย่มานี่นา’

‘หรือว่าท่านบรรพจารย์เย่จะทำอะไรเขา ? ’

‘เช่นนั้นเมื่อเขารู้ว่าท่านบรรพจารย์เย่จะไปเมืองหลวง ถึงได้ดีใจปานนี้’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’

‘แต่ว่าท่านบรรพจารย์เย่มิใช่เป็นเพียงบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แต่ที่ผ่านมายังได้มอบวาสนามากมายแก่พวกเราด้วย’

‘รวมทั้งคืนนั้นหากมิได้ภาพไท่เสวียนฉางชิงที่ท่านบรรพจารย์เย่มอบให้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราคงจะสูญสิ้นไปแล้ว’

‘เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ศิษย์พี่ฉางเสวียน ถึงกลับโกรธเคืองท่านบรรพจารย์เย่เชียวหรือ’

‘ช่างเห็นแก่ตัวจริง ๆ!’

‘จิตใจคับแคบยิ่งนัก ! ’

‘เขาช่างมิคู่ควรที่จะเป็นเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราเลย ! ’

ตอนนั้นเองนักพรตหยวนเจี้ยนที่มีนิสัยมุทะลุก็มีสีหน้าเข้มขึ้น พลันเดินออกมาจากกลุ่ม

เขาเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงเย็นกับนักพรตฉางเสวียนที่กำลังยิ้มเต็มหน้า “ศิษย์พี่ฉางเสวียน ข้ารู้สึกว่าท่านมีจิตใจคับแคบเกินไปหน่อยนะขอรับ ! ”

ทุกคนเมื่อได้ยินต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

นักพรตฉางเสวียน “……”

‘จิตใจคับแคบงั้นหรือ?’

รอยยิ้มบนใบหน้าของนักพรตฉางเสวียนแข็งค้างภายในพริบตา คิ้วขมวดมุ่น

“ศิษย์น้องหยวนเจี้ยน เจ้าหมายความเช่นไร ? ”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถามนักพรตหยวนเจี้ยนอย่างสงสัย

สิ้นเสียง นักพรตจิ่วจวีก็ก้าวออกมา ด้วยใบหน้าเย็นชาเช่นเดียวกัน

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านบรรพจารย์เย่เป็นถึงบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเรา ต่อให้เขามิได้มอบโชคและวาสนาให้พวกเรา พวกเราก็ควรจะให้ความเคารพ”

นักพรตจิ่วจวีมองนักพรตฉางเสวียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มุมปากกระตุกก่อนเอ่ยต่อว่า “แต่ท่านบรรพจารย์ยังอุตส่าห์มอบวาสนาให้แก่พวกเรามากมายเช่นนี้”

นักพรตชิงเย่ก้าวออกมา พร้อมกับเอ่ยสนับสนุน “ข้าคิดว่าที่พวกเขาทั้งสองพูดมานั้นถูกต้องแล้ว การที่ท่านบรรพจารย์เย่ไปเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยน ถือว่าเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน พวกเราควรรั้งเขาเอาไว้จึงจะถูก”

“ถูกต้อง ศิษย์พี่ชิงเย่พูดมีเหตุผล พวกเราเห็นด้วยว่ามิควรให้ท่านบรรพจารย์เย่ออกจากเมืองเสี่ยวฉือ”

“การที่ศิษย์พี่ฉางเสวียนดีใจต่อการจากไปของท่านบรรพจารย์เย่เช่นนี้ ข้าเห็นว่าท่านนั้นมีจิตใจคับแคบ มิควรจะเป็นเจ้าสำนักของพวกเราต่อไปอีก”

“ถูกต้อง เปลี่ยนคนเลย ข้าเองก็ทนมาพอแล้ว ! ”

“ในเมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า พวกเรามาเลือกเจ้าสำนักคนใหม่กันเถิด”

ทันใดนั้น ตำหนักไท่เสวียนก็เต็มไปด้วยความโกลาหล

นักพรตฉางเสวียนที่นั่งอยู่ด้านบน รู้สึกราวกับเกิดเสียงวิ๊งขึ้นในโสตประสาท

‘นี่ข้าทำสิ่งใดผิดกัน ? ’

‘เหตุใดต้องเปลี่ยนเจ้าสำนักด้วย ? ’

นักพรตฉางเสวียนคลึงหว่างคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและกล่าวว่า “ทุกท่าน นี่พวกเจ้าเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่ ? ”

ผู้อาวุโสท่านหนึ่งตะโกนก้องขึ้น “ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านบรรพจารย์เย่จะไปแล้ว แต่ท่านกลับมิมีท่าทีทุกข์ร้อนใด ๆ ยิ่งกว่านั้นยังเรียกพวกเรามารวมกันที่นี่ หรือว่าต้องการให้พวกข้าจัดงานเลี้ยงฉลองให้ท่านหรือเยี่ยงไรกัน ? ”

นักพรตฉางเสวียนได้ยินเช่นนั้นก็มิรู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ท่านบรรพจารย์เย่เพียงแค่ไปพักที่เมืองหลวงมิกี่วันเท่านั้น”

นักพรตฉางเสวียนถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าแค่ต้องการให้พวกเจ้าไปคอยดูแลท่านบรรพจารย์เย่ และป้องกันหากมีคนไปรบกวนเขาระหว่างทางไปเมืองหลวงก็เท่านั้น”

“เอ่อ…”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

มินานก็มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ฉางเสวียนให้ข้าไปเถิด ข้ากล้าเอาหัวของข้าเป็นประกัน”

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ข้าว่าข้าเหมาะสมที่สุด”

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ข้าเพิ่งได้หยกวิญญาณชั้นยอดมาชิ้นหนึ่ง หากท่านให้ข้าไป ข้าจะยอมมอบหยกวิญญาณชิ้นนี้ให้ท่าน”

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ข้ายอมมอบคันฉ่องโบราณให้ ท่านให้ข้าไปเถิด ! ”

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ข้ายอมคุกเข่าให้ท่าน ท่านให้ข้าไปเถอะ ! ”

“……”

ขณะเดียวกัน

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง

เจ้าสำนักจื่อชิง สวีฉิงเทียน กำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางห้องโถง

ด้านล่างของเขาเป็นเหล่าผู้อาวุโสระดับแดนเทวา

“เจ้าสำนัก ท่านเรียกพวกเรามาพบเวลานี้ มิทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือขอรับ ? ”

ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าซูบผอมคนหนึ่งก็ได้เอ่ยขึ้น

สวีฉิงเทียนปรายตามองทุกคน คิดใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนท่านนั้น จะไปเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยน ข้าจึงอยากจะส่งคนไปยังเมืองหลวง”

‘ท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ? ’

‘จะไปเมืองหลวง ? ’

‘แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเยี่ยงไรกัน ? ’

มินาน ก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งลุกขึ้นถามออกมาจริง ๆ “ท่านเจ้าสำนัก บรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เกี่ยวข้องอันใดกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเรางั้นหรือ ? ”

“อีกทั้งพวกเราล้วนมีตบะบารอยู่ในขั้นแดนเทวา สำหรับมนุษย์ธรรมดาก็มิต่างอันใดกับเทพ และการที่จะไปเมืองหลวงเพื่อคนที่มิมีความเกี่ยวข้องใด ๆ ข้าเห็นว่ามิคุ้มค่าเลย”

คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้น ก็สบตากันเล็กน้อย ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

“หุบปาก ! ”

สวีฉิงเทียนมีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที ร่างกายพลันระเบิดพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา

“ถูกต้อง หากเป็นเมื่อก่อนท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมิได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเรา แต่บัดนี้มันต่างไปแล้ว”

สวีฉิงเทียนเอ่ยขึ้น

“ท่านเจ้าสำนัก หรือว่าการประลองระหว่างสองสำนักครั้งนี้ ท่านเข้าไปเกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้มาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เข้าใจอะไรได้รวดเร็วก็ถามออกไปตรง ๆ

สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกวาดตามองทุกคน

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเพ่งสมาธิแล้วหยิบภาพอักษรพู่กันที่เย่ฉางชิงมอบให้เขาออกมา

“ทุกท่านโปรดดูนี่”

สวีฉิงเทียนค่อย ๆ เอ่ยขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ภาพอักษรพู่กันออกต่อหน้าทุกคนอย่างระมัดระวัง

‘กลิ่นบุปผาทั่วห้องมอมเมาแขกเหรื่อ กระบี่คมกวัดแกว่งไปทั่วทั้งสิบสี่แคว้น ! ’

“ฟิ้ว ! ”

หลังจากภาพค่อย ๆ คลี่ออก ทันทีที่อักษรตัวแรกปรากฏสู่สายตาของทุกคน

ทันใดนั้นก็มีไอกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกไปทางนอกห้องโถงทันที

ขณะเดียวกันเจตจำนงกระบี่มหาศาลก็ปะทุขึ้น ปกคลุมห้องโถงนั้นเอาไว้ภายในพริบตา

“ไอกระบี่นี่น่ากลัวยิ่งนัก ! ”

“ท่านเจ้าสำนัก สมบัติล้ำค่าในมือท่านชิ้นนี้มาจากไหนกัน เหตุใดจึงแฝงไอกระบี่ที่น่ากลัวเอาไว้ถึงเพียงนี้ ! ”

ชั่วพริบตาเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ทุกคนพากันสูดหายใจเข้าด้วยความหวาดหวั่น ความเย็นแผ่ซานขึ้นจากปลายเท้าจนถึงศีรษะ

“ทุกท่านจงตั้งสมาธิให้ดี หลับตาลง มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิได้เตือนพวกเจ้าก่อนนะ”

สวีฉิงเทียนเอ่ยออกมาเรียบ ๆ ก่อนจะคลี่ภาพอักษรพู่กันต่อ

เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงรีบตั้งสมาธิ และหลับตาแน่นทันที

“ฟิ้ว ! ”

“ฟิ้ว ! ”

“ฟิ้ว ! ”

มิกี่อึดใจต่อมา ทุกคนในที่นั้นต่างรู้สึกได้ถึงไอกระบี่อันน่ากลัวบนศีรษะ และกำลังส่งเสียงดังกึกก้องมิหยุด เจตจำนงกระบี่มหาศาลปกคลุมไปทั่วห้องโถงราวกับคลื่นซัดสาด ก่อนจะปกคลุมทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง

วินาทีนั้นเองทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงก็เกิดการสั่นสะเทือน

เมื่อมองออกไปก็พบว่ามีลำแสงกระบี่อันยิ่งใหญ่กำลังทะยานขึ้นฟ้า

ขณะเดียวกันกระบี่โบราณที่ถูกเก็บมาเนิ่นนานที่หอซ่อนกระบี่ รวมถึงแดนฝังกระบี่ตามที่ต่าง ๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ต่างก็ปลดผนึกได้เองและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับมีชีวิต

ทันใดนั้นลำแสงกระบี่มหาศาลสายหนึ่งก็ทะยานขึ้นฟ้า

กระบี่โบราณมากมายได้กลายร่างเป็นมังกรกระบี่ตัวหนึ่ง บินโฉบอยู่รอบลำแสงกระบี่

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นงดงามราวกับปาฏิหาริย์

จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม

สวีฉิงเทียนที่อยู่ด้านในห้องโถง รวมถึงผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ต่างก็พากันลืมตาขึ้นอย่างหวาดผวา

สวีฉิงเทียนที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง กวาดตามองทุกคน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ว่า “ยังมีผู้ใดคัดค้านอีกหรือไม่ ? ”

“ท่านเจ้าสำนัก ข้าจะยอมเป็นคนไปเมืองหลวง คอยติดตามดูแลท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเอง”

“ศิษย์พี่จ้าว เมื่อครู่ท่านเป็นคนแรกที่สงสัยท่านเจ้าสำนักมิใช่หรือไร”

“เพ้อเจ้อ เจ้าต่างหาก ! ”

“……”