ตอนที่ 63 ลำดับที่หนึ่งหินเชียนเปยสือ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 63 ลำดับที่หนึ่งหินเชียนเปยสือ

งานกวีสำนักศึกษาป้านชาน ณ หลินเจียงได้ปิดม่านลงแล้ว

งานกวีครานี้ได้กลายเป็นเรื่องตลก และค่อนข้างน่าสนใจยิ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งหนีตายเพราะหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง แต่เดิมเขาคิดจะทิ้งกวีหนึ่งบทไว้บนศิลาสายลม แต่เขาคิดมิถึงว่าสตรีในยุคนี้จะบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้

พวกนางกำลังแย่งชิงกันอย่างจริงจัง !

ฟู่เสี่ยวกวนมิสงสัยเลยว่าหากวิ่งได้ช้าจนถูกหญิงสาวกลุ่มนั้นล้อมรอบไว้ ในค่ำคืนนี้เขาอาจจะเกิดเรื่องราวที่สวยงามขึ้น แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาโดนบังคับ

นั่นทำให้เขารู้สึกเสียใจหลังจากที่วิ่งลงเขามา ซูม่อมิรู้ว่าในหัวของฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดอะไรอยู่ แค่รู้สึกว่าคนผู้นี้… ชั่วช้าอย่างแท้จริง !

นี่คือการไล่ตามดาราของยุคสมัยนี้ สำหรับหญิงสาวเหล่านั้นแล้ว บทกวีทั้งสองของฟู่เสี่ยวกวนกับหนังสือเล่มนั้น ได้เดินเข้าไปในหัวใจของพวกนาง พวกนางชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนมานานแล้ว แต่เพราะฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุนเป็นเวลานานและมิมีผู้ใดพบเห็นเขา

จนกระทั่งคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ณ สำนักศึกษาป้านชาน ยิ่งกระตุ้นความลุ่มหลงที่อยู่ก้นบึ้งในหัวใจของพวกนาง เป็นดังที่ชวูหลิงหลงได้กล่าวไว้ บุรุษผู้นั้นเป็นที่ช่วงชิง หญิงสาวผู้อื่นจะยังสนใจพวกเขาอยู่อีกหรือ ?

รูปลักษณ์หล่อเหลา เพียบพร้อมไปด้วยตำราและบทกวี อีกทั้งยังร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของหลินเจียงและยังมิมีพันธะหมั้นหมาย หากอยู่ในชาติที่แล้ว ก็มิแตกต่างไปจากฐานะขององค์ชาย เป็นเรื่องเข้าใจง่ายที่หญิงสาวจะมีความกระตือรือร้นช่วงชิงเขามาเป็นสามี

หากคว้ามาได้แล้วเล่า ?

สำหรับความรู้สึก หญิงสาวแทบทุกคนในโลกใบนี้มีความเข้าใจเรื่องความรู้สึกไม่ต่างจากจางเพ่ยเอ๋อร์เลยเลยแม้แต่น้อย สมรส ร่วมเตียง คลอดบุตร ก็มีความรู้สึกแล้ว

เพียงแค่การเรียงลำดับนั้นต่างกัน

หญิงสาวเหล่านั้นได้ไล่ตามฟู่เสี่ยวกวน และรู้สึกว่างานกวีนี้มิมีสิ่งใดน่าสนใจ ดังนั้นจึงได้แยกย้ายไปแล้ว

จึงเหลือเพียงบุรุษกลุ่มหนึ่งไว้ที่สำนักศึกษาป้านชาน งานกวีไม่เพียงแต่ต้องมีสุรา แต่ยังต้องมีสาวงามอีกด้วย บุรุษกลุ่มหนึ่งจึงประชันกลอนกันท่ามกลางแสงจันทรา ภาพในยามนี้จึงดูแปลกไปเล็กน้อย

จึงได้กลายเป็นการดื่มสุราและพูดคุยกัน

งานกวีในครานี้ เพราะฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียว จึงได้ว่างเปล่าเยี่ยงนี้

จนทำให้เหล่าบัณฑิตที่เตรียมตัวมาอย่างเนิ่นนานเดือดเป็นไฟ แต่มิมีหนทางที่จะทำอันใดได้

เจ้าดูฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น เพียงแค่โผล่หัวมา หญิงสาวมากมายก็ปรี่ไปหาอย่างไร้ยางอาย เหตุใดพวกนางจึงไม่คว้าข้ากัน?

นี่คือความอิจฉา หลังจากนั้นก็มีคนรู้สึกนับถือ รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นมีความสามารถ แน่นอนว่าย่อมมีคนอิจฉา แต่ก็ทำได้เพียงเก็บเอาไว้ในใจเท่านั้น

……

…..

งานกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์หลานถิงจี๋เมืองหลวงได้ติดประกาศ

การติดประกาศมิใช่การติดประกาศอื่นใด

รัชสมัยไท่เหอปีที่ 32 หลานถิงจี๋ได้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกหลายชิ้น ฝ่าบาทที่ได้เห็นเยี่ยงนั้นจึงพึงพอใจยิ่ง ตรัสว่าหลานถิงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักวรรณกรรม แหล่งรวมบทกวี หากสามารถทิ้งนามไว้ที่นี่ได้ ความรุ่งโรจน์ก็เทียบเท่ากับผู้ที่มีรายชื่อในการสอบหน้าพระที่นั่ง ต่อจากนั้นหากมีการจัดงานกวีขึ้นอีกที่หลานถิง รูปแบบของประกาศจะนำไปติดไว้นอกทะเลสาบเว่ยยางได้ ต้องใช้พื้นสีเหลืองและมีตัวอักษรสีแดง เพื่อประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้

เยี่ยงนั้น การติดประกาศของงานกวีหลานถิงจึงถือเป็นมติ

ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินยืนอยู่ที่ประกาศลำดับแรก มิมีชื่อของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง นี่มิสมเหตุสมผลเลย !

“ข้าจะไปถาม” หยูเวิ่นหวินมิเชื่อ บทกวีที่วิเศษเยี่ยงนั้น เหตุใดจะมิติดอันดับต้น ๆ กัน

หรือว่าเหล่านักปราชญ์ผู้ตรวจสอบเหล่านั้นมีตาหามีแววไม่กัน?

“หม่อมฉันไปด้วยเพคะ”

“ไป ! ”

เพื่อชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวน ในยามนี้พวกนางทั้งสองต่างก็มีความคิดเห็นตรงกันอย่างน่าประหลาด

พวกนางเดินเข้าไปยังชั้นหนึ่ง ทหารยามที่ประจำอยู่ตรงนั้นก็ขวางทางพวกนางไว้ “ทะเลสาบเว่ยยางเป็นสถานที่ต้องห้าม ห้ามคนนอกเข้า”

“ข้าคือองค์หญิงเก้า ! ”

ทหารยามชะงักไป ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “แม่นางกลับไปเถิด กล่าวตามตรง ว่าทุกปีนั้นจะมีคนแอบอ้างเป็นคนในราชวงศ์อยู่มากมาย หากเปลี่ยนตัวตนอื่นอาจจะดีกว่านี้ แม่นางจงเชื่อฟัง และออกไป เหล่านักปราชญ์เบื้องบนยังมิลงมา อย่าได้ไปรบกวนพวกท่าน”

หยูเวิ่นหวินผงะ “ข้าคือองค์หญิงเก้าตัวจริง ! ”

 “เยี่ยม ๆ พระองค์คือองค์หญิงเก้า เป็นพระมหากรุณาธิคุณของกระหม่อมยิ่ง หากเป็นราชวงศ์ก่อน เจ้าที่ปลอมตัวเป็นองค์หญิงคงได้ถูกบั่นคอเป็นแน่ พอได้แล้ว อย่ามาก่อความวุ่นวาย พวกข้ารู้แจ้งความคิดของพวกเจ้า ก็คงไม่พ้นจะเข้าไปคำนับเหล่าท่านนักปราชญ์ เพื่อขอจดหมายแนะนำล่ะสิ เจ้าดู ข้าที่มิได้ร่ำเรียนมายังรู้เลย”

หยูเวิ่นหวินกระทืบสองเท้าอย่างร้อนรน นี่มันซิ่วไฉพบทหาร[1]ชัด ๆ แต่เจ้าก็มิสามารถกล่าวว่าผู้อื่นผิด ๆ ได้

นางโกรธจนกระทืบเท้า ขบกรามแน่นและชี้ไปยังทหารยามผู้นั้น “ดี ดีมาก ข้าจะจำเจ้าเอาไว้”

ทหารยามผู้นั้นหน้าระรื่นและกล่าวขำ ๆ “ทุกปีข้าจะถูกพวกที่สวมรอยเป็นเชื้อพระวงศ์จำได้อยู่แล้ว ข้าจะบอกเจ้า ข้ามีนามว่าซุยมิ่ง เยี่ยงนี้เจ้าคงจะจำได้มากยิ่งขึ้น”

ทันใดนั้นก็มีคนลงมาจากชั้นสาม

ทั้งยังถือม้วนหนังสือมา

“นี่คือ ? ”

“โชคสวรรค์ฟ้าบันดาล พวกเจ้าช่างโชคดีเสียจริง ที่จะได้ร่วมเป็นสักขีพยานจารึกอักษรลงบนหินเชียนเปยสือด้วยสายตาตนเอง ! ”

ทั้งสองคนเดินไปถือม้วนหนังสือทั้งสองออกมา หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานหันมามองหน้ากัน จารึกอักษรหินเชียนเปยสือ ? หรือนั่นคือบทความที่เกี่ยวกับบทกวีนิรันดร์

หรือว่าจะ…?

ทั้งสองจับมือกันวิ่งออกมา ด้านนอกนั้นได้มีทหารยามคอยรักษาความสงบ และกันให้เหล่าบัณฑิตออกห่างไปเล็กน้อย

อาจารย์ชั้นหนึ่งและเจ้าหน้าที่กั๋วจื่อเจี้ยนที่ชั้นสองต่างก็เดินออกมา และยืนเรียงแถวเบื้องหน้ารายการลำดับที่หนึ่งของทะเลสาบเว่ยยาง

“จะทำอันใดกัน?” อันลิ่วเย่เอ่ยถาม

ความคิดที่มิดีในผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของเยี่ยนซีเหวิน แต่เมื่อเขาได้ลองขบคิดอย่างถี่ถ้วนก็รู้สึกว่ามิน่าจะเป็นไปได้

บทกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์ยากถึงเพียงไหน นี่คือสิ่งที่ทุกคนรับรู้กันถ้วนหน้า หรือว่าค่ำคืนนี้จะยังมีการทดสอบสัมภาษณ์กวีหินเชียนเปยสือกัน?

หลังจากผ่านไปได้ครึ่งก้านธูป นักปราชญ์ทั้งห้าท่านบนชั้นสามก็ได้มาถึง ณ ที่นี้

ผู้อำนวยการกั๋วจื่อเจี้ยนกวนเหวินซิ่วเดินมาถึงเวที ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ

“วันนี้เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ใช้ช่วงเวลาเทศกาลนี้ที่หลานถิงจี๋ไปกับพวกท่าน และได้เกิดบทกวีที่สวยงามขึ้นอย่างมากมายในช่วงเวลานี้ ทุกท่านก็คงจะได้เห็นกันแล้ว แต่ในตอนนี้ ทุกท่านและข้ากำลังจะเป็นพยานให้กับการกำเนิดของผลงานชิ้นเอกกัน!”

จิตใจเยี่ยนซีเหวินสั่นสะท้านและรู้สึกแย่ขึ้นเรื่อย ๆ

หยูเวิ่นหวินกุมมือของต่งชูหลานเอาไว้แน่น โดยที่ต่งชูหลานเองก็มิรู้ตัว นางมองไปทางผู้อำนวยการกวนเหวินซิ่ว ด้วยสีหน้าตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด

จารึกชื่อหินเชียนเปยสือ ช่างเป็นพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ ! นี่เป็นชื่อเสียงที่ดีเสียนี่กระไร !

“หลังจากได้ปรึกษาหารือกับนักปราชญ์ทั้งสี่ท่านเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ผลงานชิ้นเอกจะถูกเผยแพร่ในยามนี้ นี่เป็นนิมิตหมายยุครุ่งเรืองของวรรณกรรมในราชวงศ์หยูที่ยิ่งใหญ่ของข้า เป็นแบบอย่างให้แก่นักประพันธ์อย่างเรา ๆ โปรดอย่าได้บั่นทอนและดูถูกตนเอง จงรับชมและให้กำลังใจตนเอง ! ”

“ติดประกาศ !”

สิ้นเสียงของผู้อำนวยการกวนเหวินซิ่ว ทั้งสองคนที่ยืนอยู่บนที่สูงนั้นก็ได้ติดประกาศนี้

ประกาศแสนยิ่งใหญ่นี้มีเพียงบทกวีและนามของบุคคลผู้หนึ่ง

เยี่ยนซีเหวินรู้สึกเพียงว่าสมองอื้ออึ้งจนการมองเห็นเริ่มพร่ามัว สีหน้าของฟางเหวินซิงซีดลงทันพลัน และเหงื่อเย็นอาบท่วมร่างจนเสื้อผ้าเปียกโชก คนอื่น ๆ ที่เหลือนั้นมิอยากจะเชื่อ จนกระทั่งต้องกลั้นหายใจและอ้าปากค้าง

หยูเวิ่นหวินปิดปากเล็ก ต่งชูหลานกำหมัดเล็กไว้แน่น

ทำนองเพลงสายน้ำ จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด

จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด ถือถ้วยสุราถามฟ้าคราม…

……

…..

…..เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม!

หลายคนต่างร้องคลอเสียงต่ำ หลายคนเงยหน้ามองจันทรา หลายคนหลับตาและครุ่นคิด หลังจากนั้นก็เศร้าสลดกันถ้วนหน้า มีเพียงเสียงถอนหายใจยาวเหยียด

ถามใต้หล้า… ยังมีผู้ใดที่จะสามารถสร้างผลงานชิ้นเอกเยี่ยงนี้ได้อีกหรือไม่ !

เขามีนามว่าฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนผู้ประพันธ์ความฝันในหอแดง

เขาคือคนของหลินเจียง บิดาเป็นเศรษฐีที่ดินใหญ่ในหลินเจียง เขาจึงเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินไปโดยไปปริยาย

เขาเป็นเพียงซิ่วไฉเท่านั้น เขายังได้เขียนประพันธ์กวีไว้สองบท

……

…….

ผู้อำนวยการกวนเหวินซิ่วลูบเครายาวสีขาวก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครา

“หลังจากการลงคะแนน ทำนองเพลงสายน้ำบทนี้ ความหมายสูงส่ง การตัดสินใจอย่างยาวนาน ท่วงทำนองที่มิมีผู้ใดเปรียบได้ เป็นผลงานชิ้นเอกแห่งยุค! ดังนั้น คำนี้จะถูกจารึกไว้เป็นลำดับแรกในครบรอบหกสิบปีหินเชียนเปยสือ”

ฝูงชนกู่ร้อง

เทศกาลไหว้พระจันทร์จบลงแล้ว !

[1] ซิ่วไฉพบทหาร หมายถึง มีเหตุผลแต่พูดไม่ออก