ตอนที่ 64 เกิด ณ หลินเจียง มีชื่อเสียง ณ เว่ยยาง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 64 เกิด ณ หลินเจียง มีชื่อเสียง ณ เว่ยยาง

ในคืนวันไหว้พระจันทร์ วันที่สิบห้าเดือนแปด ณ หลานถิง ทะเลสาบเว่ยยาง เมืองหลวง ปรากฏกวีสุดแสนงดงามบทหนึ่งขึ้น และถูกจารึกลงบนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง เรื่องราวนี้แพร่กระจายไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

กวีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งกวีในเทศกาลไหว้พระจันทร์และสลักลงบนหินเชียนเปยสือนี้ ไม่ได้มีมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ในวันนี้กลับปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งนี้คือเรื่องราวยุควรรณกรรมที่ไม่อาจลืมเลือนได้

คล้ายกับหินก้อนใหญ่ตกลงมายังกลางทะเลสาบ ทำให้เมืองหลวงเกิดคลื่นลูกใหญ่มหึมา

หลังปรากฏกวีบนนี้ขึ้นเพียงครึ่งโมงยาม เซวี๋ยเฟยเฟยนางโลมผู้เลื่องชื่อ ณ เรือหงซิ่วจาวแห่งแม่น้ำฉินหวายก็ได้นำไปขับร้องเป็นคนแรก

ได้ยินมาว่าทำนองเพลงสายน้ำนี้ อาจารย์หูฉินหูได้ทำการปรับแต่งดนตรีเสียใหม่ อาจารย์หูนั้นรักในสุรา มิได้แต่งทำนองเพลงใหม่มาหลายสิบปีแล้ว แต่เมื่อเขาได้ฟังกวีบทนี้ก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป บทเพลงที่ขับร้องกันมานับร้อยปี บัดนี้ถูกนำมาปรับแต่งให้ไพเราะจับใจ แม้จะไม่เหมือนเช่นเคยแต่พวกเขาก็จำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมนัก แขกบนเรือหงซิ่วจาวเมื่อได้ฟังบทเพลงไพเราะเพียงนี้ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าอาจารย์หูนั้นไม่ได้แก่ไปตามอายุเสียเลย

เยี่ยนเสี่ยวโหลวบุตรสาวในภรรยาคนที่สามของเยี่ยนซือเต้าเสนาบดีสมัยปัจจุบันก็อยู่ที่นี่ด้วย นางและฉินรั่วเสวียหลานของฉินปิ่งจงเดินทางมาด้วยกัน เนื่องจากฉินปิ่งจงกล่าวว่าที่หลานถิงจี๋นั้นไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ ถึงให้พวกนางฟังเพลงอยู่ที่นี่

เยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้นเดิมทีประสงค์จะไปหลานถิงจี๋ แต่พี่ชายของนาง เยี่ยนซีเหวินมิให้นางเดินทางไป หาใช่เพราะพี่น้องทั้งสองความสัมพันธ์ไม่ดี แต่เป็นเพราะเยี่ยนซีเหวินเอ่ยว่าหลานถิงจี๋เป็นสถานที่ของผู้มีความรู้ความสามารถ นางเป็นเพียงสตรีธรรมดาไม่เหมาะสมที่จะเดินทางไป เยี่ยนเสี่ยวโหลวอายุเพียง 14 ปี นางไม่มีอำนาจใดมากพอจึงทำได้เพียงติดตามพี่ชายมายังหงซิ่วจาวแห่งนี้

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ในปีนี้ หลานถิงจี๋จะปรากฏบทกวีบนหินเชียนเปยสือ อีกทั้งยังถูกสลักในบรรทัดที่หนึ่ง !

คาดว่าบัดนั้น ณ หลานถิงจี๋ผู้คนคงล้วนตื่นตาตื่นใจ อีกทั้งผู้ประพันธ์กวีบทนั้นคาดว่าคงเป็นดุจดาวจรัสแสง

เยี่ยนเสี่ยวโหลวผิดหวังเล็กน้อย หากนางได้เห็นภาพนั้นด้วยตนเองคงดีไม่น้อย

เมื่อทำนองเพลงแห่งสายน้ำถูกบรรเลงขึ้น ณ เรือหงซิ่วจาว เมื่อเซวี๋ยเฟยเฟยขับร้องมันออกมา เยี่ยนเสี่ยวโหลวก็รับรู้ได้ทันทีว่าบทเพลงนี้คือผลงานชิ้นเอกแห่งยุคสมัย !

ใครกันที่เป็นผู้ประพันธ์ ?

พี่ชายของนางงั้นหรือ ?

เมืองหลวงนี้มีผู้มากความสามารถมากมายจนมิอาจคาดเดาได้

กระทั่งบทสุดท้ายที่ว่าเพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ร่วมกันชมจันทร์งามจบลง บรรยากาศเงียบไปหลายวินาที กระทั่งสวีหวินกุยที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง ก็เอ่ยถามว่า “ขอบังอาจถามแม่นาง กวีบทนี้ผู้ใดคือผู้ประพันธ์กัน ? ”

เซวี๋ยเฟยเฟยมิได้ตอบออกมา อาจารย์หูฉินหูก้าวเดินออกมา

ใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แม้อายุถึงสามสิบหกปีแล้วแต่ยังคงความงดงามไว้ดังเดิม อีกทั้งยังสง่ากว่าเดิมเสียด้วย

นางหลงใหลในเสียงเพลงมา 30 ปีเต็ม มีความชำนาญในเครื่องดนตรีทุกประเภท บทเพลงทั้งหลายในแคว้นนี้มิมีใครเทียบได้ ดังนั้นจึงได้รับการยกย่องให้เป็นอาจารย์

นางมิได้แต่งทำนองเพลงมานานหลายปี แต่บทกวีในวันนี้ทำให้นางกลับมาแต่ทำนองเพลงอีกครั้งหนึ่ง

บัดนี้นางยืนอยู่บนเวทีมองไปยังผู้คนทั้งหลาย “กวีบทนี้เกิด ณ หลินเจียง มีชื่อเสียง ณ เว่ยยาง ได้รับการยอมรับและจารึกลงบนหินเชียนเปยสือให้พวกเราได้ชื่นชม”

เกิด ณ หลินเจียง ?

มีชื่อเสียง ณ เว่ยยาง ?

หากเป็นเยี่ยงนี้หมายความว่ากวีบทนี้ถูกประพันธ์ขึ้นที่เมืองหลินเจียงงั้นหรือ ?

สวีหวินกุยขมวดคิ้วขึ้น เขามิชอบที่แห่งนั้นเอาเสียเลยจริง ๆ

ฉินรั่วเสวียดวงตาเบิกกว้าง นางดึงชายเสื้อของฉินเฉิงเย่แล้วเอ่ยว่า “เป็นเขาใช่หรือไม่ ? ”

เขาคือผู้ใด ? เยี่ยนเสี่ยวโหลวประหลาดใจยิ่งนัก นางมองมายังฉินเฉิงเย่

“จะเป็นไปได้อย่างไร เขาผู้นั้นอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุน ไม่รู้ว่ากลับมาแล้วหรือไม่”

อาจารย์หูที่ยืนอยู่บนเวทีนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยว่า “ผู้ประพันธ์กวีบทนี้ อาจารย์ฉินได้เรียกเขาว่าเป็นมิตรสหาย เขาผู้นั้นปรุงสุราเทียนฉุน อีกทั้งสุราเทียนเซียงที่ใช้ดื่มด่ำบนเรือข้า เขาผู้นี้ยังเป็นผู้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่าความฝันในหอแดง ! ”

ฉินรั่วเสวียอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นางมองไปยังฉินเฉิงเย่ ซึ่งบัดนี้เขาก็ตกตะลึงเช่นกัน ในใจเขาคิดว่าเจ้านั่นมีความสามารถถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

เยี่ยนเสี่ยวโหลวเข้าใจแล้วว่าเขาคือผู้ใด ในใจนางยินดียิ่งนัก

สวีหวินกุยขมวดคิ้วแล้วค่อย ๆ คลายความรู้สึกนั้นออกไป จากนั้นก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มตามลำพัง

 “อีกทั้งในวันนี้ เขาได้ประพันธ์กวีบทหนึ่งมอบให้แก่แม่นางต่งชูหลาน ซึ่งแม่นางต่งชูหลานได้เป็นผู้นำกวีบทนี้มอบสู่หอหลานถิง และได้รับความชื่นชมจากนักปราชญ์ทั้งห้า พวกท่านมีความเห็นเดียวกันว่าควรสลักไว้ในหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง กวีบทนี้งดงามที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาผู้นี้……เป็นผู้มากความสามารถเหนือผู้ใด”

“ลำดับต่อไปขอเชิญแม่นางเซวี๋ยเฟยเฟยขับร้องบรรเลงเพลงคิ้วแข็งโค้ง”

เมื่ออาจารย์หูกลับลงมา ทำนองเพลงก็เริ่มบรรเลงขึ้น ผู้คนต่างพากันมองหน้าด้วยความประหลาดใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวีหวินกุย เขารู้สึกว่าเป็นเพียงความฝัน ช่างไม่น่าเชื่อเสียจริง

น้องสาวของเขา หยุนชิง ได้จากไปเป็นเวลา 10 ปีแล้ว บัดนี้บุตรชายของนางได้เติบใหญ่ แม้จะดำเนินชีวิตอยู่ในหลินเจียง หากแต่มีชื่อเสียงโด่งดังมายังเมืองหลวง

เขาจะเป็นอย่างไรบ้างกัน ?

จะสง่างามเหมือนหยุนชิงหรือไม่ ?

หากเมื่อครานั้นบิดาของตนไม่ตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนั้น หยุนชิงอาจไม่จากไปทั้งอายุน้อยเพียงนี้ใช่หรือไม่ ?

สายน้ำไม่มีวันไหลกลับ

เมื่อหันหลังกลับ กลายเป็นเพียงความฝันในหอแดง

……

……

อาจารย์หูนั่งอยู่ที่ท้ายเรือซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งผู้คน

ท้ายเรือมีของฝากมากมาย เทียนหอมถูกจุดขึ้นอีกทั้งเตาอั้งโล่นั้นก็มีแสงไฟสว่างจ้าขึ้นมา

นางจุดไฟเผากระดาษเงินกระดาษทองลงไป แสงไฟลุกโชนส่องกระทบมายังใบหน้า

“ลูกชายของเจ้าเติบใหญ่แล้ว”

“เพียงเวลาไม่กี่เดือน เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเนื่องจากเจ้าคอยปกป้องเขา สิ่งนี้ข้ารู้ดี”

“เขามีชื่อเสียงและความสามารถมากมาย ทั้งประพันธ์กวีและเขียนหนังสือ ล้วนได้รับความนิยมไปแพร่หลาย เดิมทีข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดฟู่ต้ากวนจึงมีบุตรชายที่มากความสามารถเช่นนั้น แต่เมื่อครุ่นคิดดูอีกทีจึงเข้าใจว่าคงเป็นเพราะเจ้า”

“เวลา 10 ปีผ่านไปไวเหลือเกิน นึกถึงกวีที่เจ้าประพันธ์ให้ข้าล้วนไพเราะเสนาะหู หลังจากที่เจ้าจากไป ข้าเองก็มิอยากประพันธ์เพลงขึ้นมาอีก กระทั่งค่ำคืนนี้ บุตรชายของเจ้านั้นประพันธ์กวีที่งดงามยิ่ง ข้าพอใจนักและนำมาเผาให้แก่เจ้าด้วย หวังว่าเจ้าเองจะถูกใจเช่นกัน”

“ประตูที่วัดฟูจื่อนั้นใกล้พังทลายลงแล้ว แต่ต้นพุทราด้านในนั้นยังคงสูงสง่า ลูกพุทรายังหวานหอม อีกไม่นานก็คงสุกแล้ว แต่ข้าเพียงผู้เดียวคงมิกล้าปีนขึ้นไป ทำได้เพียงแค่มอง ช่างน่าเสียดายยิ่ง”

“ข้าได้ยินมาว่าบุตรชายของเจ้านั้นชอบพอแม่นางต่งชูหลาน เจ้าจงดูเถิด เขาไม่ต่างไปจากบิดาแม้แต่น้อย บุตรชายเจ้าหากเดินทางไปสอบคัดเลือกเป็นขุนนางคงมิใช่เรื่องยาก แต่เขากลับเป็นเหมือนบิดา ชื่อของพวกเขามีความหมายว่าข้าราชการ หากแต่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กันเลย กลายเป็นความรักระหว่างตระกูลพ่อค้าและตระกูลขุนนางอีกครั้งหนึ่ง หากเจ้ารับรู้จงช่วยให้เขาตัดใจเสีย หรือไม่……ก็จงไปเข้าฝันต่อแม่นางต่ง ข้าคาดว่านางคงตัดสินใจเยี่ยงเจ้า จงให้นางหนีตามกันไปเถิด”

“เอาละ วันนี้ข้าคุยกับเจ้าเพียงเท่านี้ วันนี้ข้าดีใจมากไปเสียหน่อย อาจพูดพร่ำมากมาย เจ้าจงอย่าโมโหดังที่ผ่านมา”

อาจารย์หูนำกระดาษเผาเสียจนหมด จากนั้นปัดฝุ่นผงในมือ เขาหยิบขวดสุราเปิดออกยกดื่ม นี่คือยอดสุราซีซานเทียนฉุน

นางนั่งอยู่ที่ท้ายเรือบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สายตาสอดส่องทอดยาวไปยังดวงจันทร์ แววตาเปลี่ยนไปเป็นเศร้าหมองแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำทุ้มว่า “หยุนชิง เจ้าหารู้ไม่ว่าข้ารักเจ้าเพียงใด ! ”

“หลังจากที่เจ้าจากไปพร้อมกับฟู่ต้ากวน ข้าเองก็หมดเรี่ยวแรง และไม่รู้ว่าควรจะทำเยี่ยงไร อีกทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงยอมแต่งงานกับเขา ? ข้า……ไม่ดีตรงไหนงั้นหรือ ? ”