ตอนที่ 65 นางมาอีกแล้ว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 65 นางมาอีกแล้ว

จันทราในฤดูใบไม้ร่วงไร้ขอบเขตส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าสีดำยามรัตติกาล สายลมแห่งแม่น้ำเย็นยะเยือกพัดผ่านร่างของหญิงสาว

จางเพ่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ริมแม่น้ำ ชุดสีขาวปลิวพลิ้วไหว เส้นผมสีดำลอยไปตามแรงลม คราบน้ำตาบนใบหน้ายังคงมิได้เช็ดไป นัยน์ตาของนางแดงก่ำหลังจากผ่านการร้องไห้ออกมา

นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ นึกถึงเทพธิดาที่พระราชวังกวงฮ่านผู้นั้น ดวงจันทร์ในยามนี้ส่องสว่างยิ่ง แต่นั่นเพื่ออูกังอย่างนั้นหรือ?

เทพธิดาผู้นั้นอยากจะยืนหยัดเคียงข้างอูกัง ผู้คนมากมายในเมืองหลินเจียงอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา อีกทั้งยังมีคู่รักมากมายที่กำลังกล่าวความในใจภายใต้แสงจันทร์

วังพระจันทร์หนาวเหน็บ แต่ผู้คนต่างคึกคัก

ความรุ่งโรจน์นั้นเป็นของพวกเขา แต่ข้ามิมีสิ่งใดเลย

นางไม่อาจยินยอมสมรสกับชีหยวนหมิงได้ และไม่อาจทนรับชื่อเสียงที่เสื่อมเสีย ซึ่งเป็นผลที่ตามมาจากการที่ตระกูลชีจะออกมาประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้เรื่องนี้

นางกลัวกระบี่ของฟู่เสี่ยวกวน แต่ท้ายที่สุดนางก็มิเคยเอ่ยชื่อฉีซื่อออกไป

เยี่ยงไรนางก็เป็นเพียงเด็กสาวที่อายุได้เพียง 15 ปี นางมิสามารถแบกรับปัญหาที่ตกมาใส่ร่างอย่างกะทันหันได้ ดังนั้น ในค่ำคืนนี้นางจึงแต่งหน้าไว้สวยอย่างมาก และมายังริมแม่น้ำนี้แต่เพียงผู้เดียว

เมื่อมองย้อนกลับไป แสงไฟที่ร่ายรำไปตลอดสายน้ำด้วยแรงลม นางยิ้มอย่างเศร้าสร้อย และสุดท้ายนางก็กระโดดลงไปในแม่น้ำแยงซี

ฟู่เสี่ยวกวน โลกหน้า… ไว้เจอกันใหม่ !

……

…..

มิว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหลานถิงจี๋ที่เมืองหลวงในเทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือเรื่องการสิ้นใจของจางเพ่ยเอ๋อร์แห่งจวนจาง ฟู่เสี่ยวกวนก็มิรู้ทั้งสิ้น

หลายวันมานี้เขาได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนปลาอีกเช่นเคย

ตื่นเช้าในทุกวัน รำมวยออกวิ่ง และเพิ่มฝึกกระบี่ขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง

เขามิมีกระบี่ จึงใช้เพียงกระบี่ของซูม่อ เยี่ยงนั้นจึงทำให้ซูม่อบ่นเล็กน้อยและคิดว่าเขาควรมีกระบี่เป็นของตนเองได้แล้ว

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับทำเพียงหัวเราะ หลังจากนั้นก็ยังคงเป็นดังเดิม

ทานอาหาร นั่งสมาธิ และเขียนความฝันในหอแดง บางคราก็ไปพูดคุยกับฟู่ต้ากวน และทานข้าวกับฟู่ต้ากวนและฉีซื่อ

ยามที่ทานข้าวด้วยกันสีหน้าของฉีซื่อจะมิเป็นธรรมชาติยิ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นกับร้านสุราชีชื่อได้แพร่กระจายไปทั่วหลินเจียงแต่เนิ่น ๆ แล้ว นางย่อมทราบดี จนถึงขั้นสะดุ้งตื่นในยามดึก นึกไปถึงว่าเรื่องนั้นถูกเปิดเผยออกมา หากฟู่ต้ากวนรู้เข้า เรื่องที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คงเป็นเขียนจดหมายหย่าแล้วไล่นางออกจากจวน

ผ่านช่วงเวลาตื่นตระหนกไปหลายวัน ภายในจวนก็กลับมาเป็นปกติ ถึงขั้นยามที่ทานข้าวด้วยกันฟู่เสี่ยวกวนยังกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่าแม่รองต้องบำรุงเยอะ ๆ และออกกำลังกายด้วย ดูเหมือนว่า จางเพ่ยเอ๋อร์จะมิได้กล่าวเรื่องนั้นออกไป นางจึงสบายใจได้ในที่สุด

ฟู่เสี่ยวกวนออกไปข้างนอกเป็นครั้งคราว มิได้ไปเดินเล่น แต่ไปที่ร้านขายกระจกของหยู๋จงถานที่ซีฝาง หลังจากพูดคุยกันสองคนและนายช่างอีกสองสามท่าน ภายในเวลาไม่กี่วันนี้เครื่องแก้วเหล่านั้นน่าจะทำออกมาได้แล้ว

เขาได้ไปสำนักศึกษาหลินเจียง รับทราบว่าอาจารย์ฉินได้ไปเมืองหลวงแล้ว ในใจก็ตระหนักขึ้นมาว่ามิรู้เมื่อใดที่สงครามทางเหนือจะปะทุขึ้น

คุณชายจวนเสียนชินอ๋องมาจวนฟู่สองครา มิมีเรื่องอันใดพิเศษ กล่าวตามคำพูดของหยูหงอี้ ก็คือข้าอยากดูว่าเจ้านั้นแตกต่างที่ตรงไหนกัน

ทั้งสองพูดคุยและดื่มชา ในตอนท้ายยามที่หยูหงอี้จะออกไปก็มักจะส่ายหน้าเสมอ “ข้ามิเข้าใจว่าเหตุใดองค์หญิงเก้าถึงได้ชอบเจ้ากัน!”

นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมาตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก เขายังอยากจะปรึกษาหยูหงอี้อีกเล็กน้อย เข้าใจว่าพระราชบุตรเขยนี้ไม่น่าสนุกเสียนิดเดียว ดังนั้นเขาจึงกล่าวติดตลกกับคุณชายว่าจะฝากส่งสาสน์ไปให้กับองค์หญิงเก้าได้หรือไม่ กล่าวว่าข้าเป็นเพียงชนชั้นรากหญ้า พระองค์ช่วยมองหม่อมฉันเป็นเศษมูล แล้วปล่อยกันไปได้หรือไม่

“หยาบคาย ! ”

หยูหงอี้มิได้เขียนจดหมายถึงหยูเวิ่นหวิน และในวันนี้ หยูหงอี้ก็กลับมาอีก เขามองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาที่แปลกไปเล็กน้อย

รัชสมัยเซวียนลี่ที่ 8 เดือนแปดวันที่ 21 ยามเย็น

ผ่านพ้นเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปได้ 8 วัน

“เสด็จพ่อบอกให้ข้ามาเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงที่หอวั่งเจียงโหลวในคืนพรุ่งนี้”

มือที่กำลังรินน้ำชาของฟู่เสี่ยวกวนหยุดค้างกลางอากาศ และประหลาดใจเล็กน้อย “วันคล้ายวันประสูติเสียนชินอ๋องหรือ ?”

หยูหงอี้ส่ายหน้า ฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวขึ้นมาอีกครา “ที่จวนมีงานฉลองอันใดเยี่ยงนั้นหรือ? เจ้าต้องบอกข้าสิ คงจะไปมือเปล่ามิได้หรอก”

“องค์หญิงเก้า… ประพาสมาอีกแล้ว ! ”

บัดซบ มือที่กำลังจับกาน้ำชาของฟู่เสี่ยวกวนสั่นทันพลัน ตื่นตกใจอย่างแท้จริง นี่ต้องการจะทำอันใดกัน มิเช่นนั้นพรุ่งนี้ต้องรีบหนีไปเสีย ไปเรือนซีซานดีไหม

“เจ้าอย่าได้คิดหลบหนี ยังมีกงกงในวังเป็นผู้ที่ติดตามฝ่าบาทมาด้วย”

“มิใช่ พระองค์จะพากงกงมาทำอันใดกัน?” ฟู่เสี่ยวกวนวางกาน้ำชาลงโดยพลัน

“กงกงย่อมมาเพื่อประกาศราชโองการ ได้ยินมาว่ามีรางวัลมากมายสำหรับเจ้า”

จบสิ้นแล้ว องค์หญิงเก้าผู้นี้ต้องการบังคับขู่เข็ญกันหรือ? แต่ข้ายังมิทันได้เตรียมพร้อมดีเลย จะทำเยี่ยงไรดี ?

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนและเดินวนไปวนมา “แตงที่ฝืนเด็ดมักไม่หวาน องค์หญิงกระทำเยี่ยงนี้ ข้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม”

หยูหงอี้หัวเราะขึ้นมา “หรือว่าเจ้ายังคิดจะต่อต้านราชโองการเยี่ยงนั้นหรือ ?”

 “องค์ฮ่องเต้เป็นบุคคลที่มีเหตุมีผล เมื่อมีงานใหญ่ข้ามักจะไปที่เมืองหลวงเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อถกปัญหา”

“เจ้า…” หยูหงอี้ชี้ไปที่ฟู่เสี่ยวกวนแล้วส่ายหน้า และเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าบอกข้ามาว่าองค์หญิงเก้ามีรูปลักษณ์เยี่ยงไร ?”

ฟู่เสี่ยวกวนนึกย้อนไปยังคราที่แล้วที่ได้พบกันที่หอวั่งเจียงโหลว หยูเวิ่นหวินผู้นั้นงดงามอย่างแท้จริง ความงามของนางและต่งชูหลานมิเหมือนกัน ความงามของต่งชูหลานนั้นนุ่มนวลและมีเสน่ห์ ราวกับสุราที่เก็บเอาไว้ในห้องใต้ดิน

แต่ความงามของหยูเวิ่นหวินร้อนแรงราวกับความอบอุ่น ราวกับเตาไฟในช่วงฤดูหนาว

หากสามารถโอบกอดเตาไฟและดื่มสุราไปด้วยได้ นั่นคงเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมยิ่ง

แต่ประการแรก หยูเวิ่นหวินเป็นองค์หญิง ประการที่สองยังมีเรื่องการสื่อสาร ระหว่างเขาและหยูเวิ่นหวินยังขาดการสื่อสารและความเข้าใจอีกมาก ทั้งยังมิมีขั้นพื้นฐานของความรู้สึก

แต่สถานการณ์ในยามนี้ก็คือ เตาไฟนี้กำลังจะละลายเขาโดยตรง แล้วจะทำเยี่ยงไรกับสุราเลิศรสกัน?

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนมิมีคำตอบ หยูหงอี้จึงเอ่ยถามอีกครา “เจ้ารู้สึกว่าองค์หญิงเก้ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมกับเจ้ารึ ? ”

“เป็นข้าที่มิเหมาะสมกับนาง!”

“เรื่องนี้ข้าคงช่วยเหลือเจ้ามิได้ ความเข้าใจส่วนบุคคลที่ข้ามีต่อองค์หญิงเก้า เพื่อเจ้าแล้ว นางจึงมาหลินเจียงเป็นครั้งที่สามแล้ว การตัดสินใจของนางน่ากลัวว่าหากนางตัดสินใจไปแล้ว นั่นยิ่งยากที่จะแก้ไขแล้ว หากเจ้ายังมิอยากโดนเฉือน ในความคิดข้า… ตามนางไปจะดีกว่า”

ละทิ้งความรู้สึก มีเพียงแค่ความต้องการ ในฐานะที่ฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดแบบสมัยใหม่ ย่อมมิกีดกันเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ที่เขาเป็นเดือดเป็นร้อนคือฐานะราชบุตรเขย อีกทั้งเขายังมีความรู้สึกให้กับต่งชูหลานอย่างมาก แต่หากได้เป็นพระราชบุตรเขยจริง ก็มิมีอีกแล้วต่งชูหลาน นั่นเป็นเรื่องที่เขามิอาจจะยอมรับได้

“ยังมีองค์หญิงพระองค์ใดที่อภิเษกสมรสกับบุคคลที่ฐานะต่ำกว่าบ้าง ? ”

“เจ้าคิดอันใดกัน ? เจ้าจะอาศัยสิ่งใดกัน ? เจ้ามิใช่องค์ชายที่หล่อเหลา และยิ่งมิใช่องค์รัชทายาทหรือเชื้อสายราชวงศ์ของรัฐอื่น องค์หญิงจะอภิเษกสมรสกับผู้ที่ฐานะต่ำกว่าเยี่ยงไร?”

เยี่ยงนั้นก็หมดหนทางแล้ว หรือไม่ข้าจะหนีไปทั้งอย่างนี้… นี่มันมิสมจริงอย่างเห็นได้ชัด แต่วันนั้นข้าได้กล่าวถึงปัญหาของทางตระกูลข้าไปอย่างชัดเจนแล้ว หรือว่าพระสนมซั่งจะไม่ตระหนักถึงเรื่องความกตัญญูกัน?

เหมือนว่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตามราชวงศ์หยูให้ความสำคัญกับความกตัญญู นี่เป็นรากฐานของมารยาทและศีลธรรม ต่อให้เป็นฝ่าบาทก็มิอาจล่วงเกินหรือแย่งชิงผู้กตัญญูกตเวทีได้

เยี่ยงนั้นแล้วปัญหามันอยู่ที่ใดกัน ?

หรือว่า… พวกนางรู้แล้วว่าฉีซื่อกำลังจะคลอด ?

มีเพียงสิ่งนี้ที่พอจะเป็นไปได้ !

กำจัดทารกในท้องของฉีซื่อ? เกิดความคิดนี้ขึ้นมาในหัวของฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็ปฏิเสธไปอย่างว่องไว อย่างไรเสียนี่ก็คือเลือดเชื้อของบิดา ตัวเขายังมิเลือดเย็นถึงเพียงนั้น

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็พบว่ายามที่เผชิญหน้ากับองค์ฮ่องเต้ ตัวเองนั้นไร้พลังจะขัดขืนเพียงใด

นั่นทำให้เขาไม่สบายใจอย่างมาก และยิ่งมุ่งมั่นที่จะสร้างปราสาทที่ยากจะพิชิตได้ในหมู่บ้านเซี่ยชุนสักหนึ่งหลัง และจะต้องสร้างปืนไฟและปืนใหญ่ออกมาให้จงได้

จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนที่เอาแต่เดินไปเดินมาอย่างเงียบ ๆ ในใจของหยูหงอี้มีสิ่งที่ยังแก้ไม่ได้อีกมากมาย รอจนกระทั่งฉีซื่อคลอด จวนฟู่ก็จะมีอนาคต ด้วยนิสัยของเด็กคนนี้ เขาเหมาะสมที่จะเป็นพระราชบุตรเขยตรงไหนกัน ? แล้วเหตุใดเขาถึงต้องมาพัวพันถึงเพียงนี้ ?

หยูหงอี้ส่ายหน้า “ข้ามาลา โปรดจำด้วยว่าคืนพรุ่งนี้เจ้าต้องมาเข้าร่วมงาน ! ”