ตอนที่ 110 แผนการล้มเหลว

ปฏิญญาค่าแค้น

เห็นทีว่าการแพทย์ ณ เมืองหลวงแห่งนี้จะมีความเจริญไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีงานสำหรับหมอพเนจรเท่าไหร่นัก หลินหลันเดินไปมาจนทั้งสองขาปวดเมื่อย ได้ให้การตรวจรักษาผู้ป่วยไปเพียงสองรายเท่านั้นเอง นางจึงได้แต่เดินคอตกกลับไปหาหลี่หมิงอวินที่ร้านน้ำชา 

 

 

หลี่หมิงอวินเห็นหน้าตาเศร้าเหงาหงอยก็รู้ได้ทันทีว่ากิจการไม่เป็นที่ตอบรับเท่าไหร่นัก จึงได้แต่กล่าวปลอบใจ “หน้าที่หมออย่างเจ้ามิใช่เพื่อขจัดอาการเจ็บป่วยของบรรดาประชาชนหรอกหรือ ในเมื่อตอนนี้ทุกคนต่างก็ร่างกายแข็งแรงไร้โรคภัย ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วมิใช่หรือ” 

 

 

หลินหลันมุ่ยปากแล้วกล่าวโอดครวญ “ดีตรงไหนกัน ไม่มีคนป่วย งั้นหมอก็ไม่มีงานทำแล้วน่ะสิ ร้านยาก็คงต้องปิดกิจการตามไปด้วย” 

 

 

หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้า “เจ้ามิได้ขาดแคลนเงินทองสักหน่อย ทำไว้เป็นงานอดิเรกแก้เบื่อก็พอ” 

 

 

จู่ๆ หลินหลันก็นึกถึงไข่มุกราตรีเม็ดโตอันล้ำค่าจำนวนยี่สิบเม็ด และอัญมณีล้ำค่าหลากสี ตลอดจนเงินจำนวนสองแสนเหลี่ยง…ทว่านางกลับไม่รู้สึกว่าของเหล่านี้เป็นของของนางเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อมันมิใช่เงินทองที่นางหาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตนเองจะให้ถือมันอย่างสบายใจได้อย่างไรกัน 

 

 

“วันหลังข้าจะต้องมีเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน แถมยังมากกว่าเงินที่เจ้ามีด้วย” หลินหลันกล่าวด้วยอารมณ์แห่งความทะเยอทะยาน 

 

 

หลี่หมิงอวินอมยิ้มและกล่าวอย่างอ่อนโยน “งั้นก็เท่ากับข้าได้รับอนิสงค์ไปด้วยมิใช่หรือ” 

 

 

หลินหลันยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย “เจ้าผิดแล้ว ของของเจ้าคือของของข้า ส่วนของของข้าก็คือของของข้า” 

 

 

ดวงตาของหลี่หมิงอวินหยุดนิ่งไปฉับพลันหลังจากนั้นก็ฉายความทะเล้นซึ่งแฝงเอาไว้ด้วยอารมณ์อ่อนโยน “แค่เจ้าเป็นของข้าก็พอ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม 

 

 

หลินหลันตวัดสายตามองเขาอย่างเอาเรื่อง เช้าวันนี้เขายังเยาะเย้ยนางอยู่เลย ตอนนี้ยังมีหน้ามาแสร้งทำหวานเยิ้มใส่อีก 

 

 

เวลาเริ่มตกเย็นมากแล้ว หลินหลันนั่งดื่มน้ำชาอยู่สักประเดี๋ยว หลังจากนั้นทั้งสองพากันมุ่งไปยังโรงเตี๊ยมอี้เซียงจู โดยในส่วนที่ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นที่ร้านยาก็เป็นอันล้มเลิกไป 

 

 

ทันทีที่มาถึงโรงเตี๊ยมอี้เซียงจู หลินหลันมองเห็นเหวินซานที่ควบรถม้ามารอยู่ที่นี้ โดยมีหยินหลิ่วอยู่ด้วยเช่นกัน 

 

 

“เหตุใดพวกเขาถึงมาแต่หัววันขนาดนี้ล่ะ” หลินหลันประหลาดใจ มิใช่สั่งการเหวินซานไว้แล้วว่าค่อยมาตอนช่วงหลังหนึ่งทุ่มไปแล้วหรอกหรือ 

 

 

หลี่หมิงอวินมองไปที่นาง “เจ้าคงจะไม่สวมใส่ชุดเช่นนี้ขึ้นไปหรอกนะ!” 

 

 

หลินหลันก้มมองดูชุดที่ตนเองสวมใส่ “เหตุใดจะไม่ได้ แบบนี้ก็สบายดีออก” 

 

 

หยินหลิ่วเข้ามาทักทาย “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เสื้อผ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนะเจ้าคะ” 

 

 

หลินหลันนำกล่องยาและกระดิ่งมอบให้นาง “ไม่เป็นไร ข้าสวมใส่ชุดนี้ก็ดีอยู่แล้ว” 

 

 

หยินหลิ่วชายตามองไปยังนายน้อยของตน ขณะที่ผู้เป็นนายน้อยได้แต่ถูๆ ปลายจมูกแล้วเบนสายตาหนีไป 

 

 

“พี่หลี่ เหตุใดถึงเพิ่งมาล่ะ…” เฉินจื่ออวี้ชะโงกหน้าออกมาทางบานหน้าต่างของห้องรับรองส่วนตัวชั้นดีพลางเอ่ยทักทาย 

 

 

หลินหลันตีลงไปที่ท่อนแขนของหลี่หมิงอวิน “ยังมัวมองอะไรอยู่ได้ แขกมาถึงกันหมดแล้ว” 

 

 

ก่อนหน้านี้ที่เฉินจื่อวี้ชะโงกหน้าลงไปมองผ่านหน้าต่าง เห็นเพียงหลี่หมิงอวินพาคุณชายร่างผอมบางตัวน้อยๆ มาด้วย นั่นทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา มิใช่บอกว่าจะพาหลินหลันมาด้วยหรอกหรือ แล้วยังมอบหมายภารกิจให้พวกเขาไว้แล้วด้วย 

 

 

“จื่ออวี้ เจ้าบอกว่าอีกประเดี๋ยวพวกเราต้องยั่วยุให้พี่หลี่ดื่มสุรา แต่หากนั่นเป็นการทำให้พี่สะใภ้โมโหขึ้นมาจะทำอย่างไร” หนิงซิ่งกล่าวอย่างเป็นกังวล 

 

 

เฉินจื่ออวี้กระตุกยิ้มมุมปาก “ข้าว่าแผนการของพี่หลี่ล้มเหลวแล้วล่ะ พี่สะใภ้มาด้วยเสียที่ไหน” 

 

 

ทางด้านหนิงซิ่งกลับรู้สึกดีใจ “งั้นก็ดีไปเลย มีสตรีอยู่ด้วยแล้วพวกเราจะดื่มสุรากันอย่างสนุกสนานได้อย่างไร” 

 

 

เฉินจื่ออวี้ตวัดสายตามองไปที่เขา “ครั้งนี้พี่หลี่เชิญพวกเรามาให้เป็นผู้ช่วย ส่วนเรื่องดื่มสุราเมื่อไหร่ก็ดื่มได้ทั้งนั้น” 

 

 

หนิงซิ่งกล่าวหน้าสลด “กว่าข้าจะกลับมาได้ทั้งทีมันมิใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ” 

 

 

“เอ้! ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่หลี่ต้องมอมเหล้าตัวเองแล้วยังต้องเป็นต่อหน้าพี่สะใภ้เท่านั้นด้วยหรือ” หนิงซิ่งสมองทึ่มทื่อ กับเรื่องความรักพวกนี้ยิ่งแล้วใหญ่ซึ่งเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้เลย 

 

 

“ชูว์…หยุดพูดได้แล้ว พี่หลี่มาแล้ว” เฉินจื่ออวี้สะกิดหนิงซิ่ง 

 

 

หลินหลันเดินตามหลี่หมิงอวินเข้ามาในห้องโอ่อ่าแห่งนี้ ไม่ทันรอให้หลี่หมิงอวินเอ่ยปากขึ้น หนิงซิ่งก็บ่นขึ้นมาเสียงดังทันที “พี่ใหญ่ มิใช่บอกว่าจะพาพี่สะใภ้มาด้วยหรอกหรือ เหตุใดถึงพาเด็กน้อยหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้มาเสียได้” 

 

 

เฉินจื่ออวี้หรี่ตามองเจ้าของเรือนร่างเล็กเยาว์วัยที่ยืนอยู่ข้างกายหลี่หมิงอวิน ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นตา ทันใดนั้นนัยน์ตาของเขาก็ลุกวาวสว่างไสว “พี่สะใภ้?” 

 

 

หนิงซิ่งหามองออกไม่ เขาถลึงตาใส่เฉินจื่ออวี้ “เจ้ายังไม่ทันดื่มเลย! ถึงกับเมาจนตายลายแล้วหรือ ในนี้มีพี่สะใภ้อยู่ด้วยที่ไหนกัน” 

 

 

เฉินจื่ออวี้ถลึงตาใส่เขากลับคืน “เจ้านี่มันช่างมีตาแต่หามีแววไม่” 

 

 

หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อน “นางออกมาด้วยชุดนี้มันสะดวกสบายดีน่ะ” 

 

 

หลินหลันก้าวเดินไปเบื้องหน้าก่อนจะแสดงทีท่าคาราวะเฉกเช่นบุรุษเขาทำกัน “หลินหลันคาราวะท่านพี่ทั้งสองท่าน” 

 

 

หนิงซิ่งมองอย่างมึนงงด้วยความตระหนกตกใจ และกล่าวขึ้นอย่างเหลือเชื่อ “พี่สะใภ้ ท่านแต่งกายเช่นนี้ ช่างดูเสมือนบุรุษเสียยิ่งกว่าบุรุษอย่างพวกเราเสียอีก ข้ามองไม่ออกเลยจริงๆ …” 

 

 

หลินหลันหน้าเสียไปชั่วขณะ อะไรที่ว่าดูเสมือนบุรุษเสียยิ่งกว่าบุรุษงั้นหรือ นางเป็นสตรีทั้งแท่ง ถึงกับมองไม่ออกขนาดนั้นเชียว? สรุปแล้วนี่มันเป็นคำชมหรือคำตำหนิกันแน่ 

 

 

เฉินจื่ออวี้เตะเข้าไปที่เท้าของหนิงซิ่งซึ่งอยู่บริเวณใต้โต๊ะอย่างแรงหนึ่งที หนิงซิ่งถึงได้รู้ว่าตนเองพูดไม่เหมาะสมออกไป เขาจึงรีบเอ่ยเสริมทันควัน “ข้า…ความหมายของข้าคือพี่สะใภ้จะแต่งเป็นหญิงหรือชาย ก็ดูรูปลักษณ์งดงาม จนทำให้ต้าเกอดูหมองไปเลยขอรับ” 

 

 

หลี่หมิงอวินจ้องเขม็งใส่เขา “ไม่รู้จักพูดก็พูดให้มันน้อยๆ ประโยคเข้าไว้” 

 

 

หนิงซิ่งถึงกับทำอะไรไม่ถูก เขารีบลุกขึ้นแล้วขยับเก้าอี้ให้ผู้เป็นพี่สะใภ้ “พี่สะใภ้ เชิญนั่ง” 

 

 

เมื่อคนพร้อมหน้าพร้อมตา อาหารก็เริ่มทยอยเข้ามาจัดวางบนโต๊ะ หลินหลันนั่งเงียบๆ ฟังพวกเขาพูดคุยกัน 

 

 

“พี่ใหญ่ ในที่สุดตอนนี้ท่านก็ได้โด่งดังระเบิดระเบ้อแล้วสินะ!” 

 

 

“พี่ใหญ่บอกแล้วไงว่าเจ้าไม่รู้จักพูดก็ช่วยพูดให้มันน้อยๆ ประโยคหน่อย เพิ่งดังระเบิดระเบ้อตอนนี้เสียที่ไหนกัน พี่ใหญ่ของพวกเราโด่งดังมาตั้งเนิ่นนานแล้วเหอะ” เฉินจื่ออวี้มักชอบขัดคอหนิงซิ่งเช่นนี้ 

 

 

ซึ่งหนิงซิ่งก็คุ้นชินกับอะไรเช่นนี้เสียแล้วจึงไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เขาถือถ้วยสุราขึ้นมาต้องการคาราวะหลี่หมิงอวิน “สุราจอกนี้ถือว่าเป็นการแสดงความยินดีต่อพี่ใหญ่สอบเป็นขุนขางได้และเข้าสู่สำนักฮ่านหลินนะขอรับ” 

 

 

เฉินจื่ออวี้รีบกล่าวสนับสนุนทันควัน “อืม…สุรานี่ยังไงก็ต้องดื่มนะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินกลับมองไปยังสีหน้าของหลินหลัน หลินหลันแอบพึงพอใจที่พ่อหนุ่มนี่ยังจดจำสิ่งที่นางตักเตือนไว้เมื่อครั้งก่อนได้เป็นอย่างดี นางจึงเผยรอยยิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย 

 

 

หลี่หมิงอวินถึงได้ถือถ้วยสุราขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินมาว่าเจ้าก็เลื่อนขั้นแล้วเช่นกัน เจ้าหนุ่มน้อยไม่ธรรดาเลย! มา พี่ใหญ่ก็คาราวะเจ้าหนึ่งจอก” 

 

 

“เอ้…ไม่ได้ๆ สุราแก้วนี้หนิงซิ่งคาราวะเจ้า หากเจ้าจะคาราวะกลับคืนก็ต้องเติมถ้วยใหม่ให้เต็มๆ ถึงจะถูก” 

 

 

หลี่หมิงอวินทำทีท่าอย่างจนปัญญา “ตกลง งั้นดื่มแก้วนี้ให้หมดก่อนแล้วกัน” 

 

 

สุราสองถ้วยไหลลงท้องเขาไปเป็นที่เรียบร้อย ทันใดนั้นสีหน้าของหลี่หมิงอวินก็เริ่มแดงระเรื่อ เฉินจื่ออวี้กล่าวขึ้นอีกครั้ง “สุราในมื้ออาหารนี้ถือว่าเป็นเหล้ามงคลย้อนหลังของพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ไปด้วยเลยแล้วกัน ดังนั้น ถ้วยนี้ เราพี่น้องขอคาราวะให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ ขอให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพรช” 

 

 

หลี่หมิงอวินรีบออกตัวรับแทนหลินหลันในทันทีทันใด “พี่สะใภ้เจ้าดื่มสุราไม่เป็น ให้นาง เอ่อ…เป็นอันรับทราบไว้ก็พอ” 

 

 

เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จะได้อย่างไรกัน นี่เป็นเหล้ามงคล คงต้องกลั้นใจดื่มเข้าไปสักหนึ่งอึกนะขอรับ” 

 

 

หลี่หมิงอวินมองไปยังหลินหลันอย่างลำบากใจ 

 

 

หลินหลันก็มองมายังหลี่หมิงอวินอย่างลำบากใจไม่แพ้กัน 

 

 

หลี่หมิงอวินกัดฟัน แสดงออกอย่างวีรบุรุษผู้กล้าหาญ “พี่สะใภ้เจ้ารับรู้ไว้ก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือข้าดื่มแทนนางเอง” 

 

 

เฉินจื่ออวี้กล่าว “นั่นก็ไม่ได้ หากเจ้าต้องการดื่มแทนล่ะก็ ตามข้อปฏิบัติเก่าแก่ของพวกเรา เจ้าต้องดื่มสามถ้วย” 

 

 

“ใช่เลยๆ จะละเลยธรรมเนียมปฏิบัติไปไม่ได้นะขอรับ” หนิงซิ่งยุยงส่งเสริมขึ้นอีกแรง 

 

 

หลินหลันแอบตำหนิอยู่ในใจ มีธรรมเนียมปฏิบัติไร้สาระเช่นนี้ที่ไหนกัน ขืนดื่มต่อไปเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวหมิงอวินคงได้เมาหัวราน้ำเป็นแน่ 

 

 

“ท่านพี่เฉิน ท่านคิดจะยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเช่นนี้ งั้นท่านก็ควรดื่มสองถ้วยมิใช่หรือเจ้าคะ” หลินหลันยิ้มหวานขณะมองไปยังเฉินจื่ออวี้ “มิเช่นนั้น เท่ากับท่านคาราวะแค่ถ้วยเดียวในขณะที่พวกเรากลับต้องดื่มกันสองถ้วย เช่นนี้แล้วเหมือนว่าจะไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมปฏิบัติเช่นกันนะเจ้าคะ” 

 

 

เฉินจื่ออวี้ตกตะลึง พี่สะใภ้ท่านนี้ใจกล้าไม่เบา! มิใช่อีกประเดี๋ยวดื่มเข้าไปแก้วเดียวก็เมาล้มพับไปแล้วหรอกนะ เช่นนั้นแผนการของพี่ใหญ่มิเท่ากับสูญเปล่าหรอกหรือ เฉินจื่ออวี้แอบส่งสายตามองดูสีหน้าของหลี่หมิงอวิน หลี่หมิงอวินกะพริบตาส่งสัญญาณให้ หลังจากนั้นจึงกล่าวตกลง “ที่พี่สะใภ้เจ้าพูดก็ถูก” 

 

 

เฉินจื่ออวี้ที่มั่นใจในศักยภาพการดื่มของตนเอง จึงกล่าวออกไปอย่างสุขสำราญใจ “ตกลง สองถ้วยก็สองถ้วย ข้าขอคาราวะจอกนี้ก่อนแล้วกัน” 

 

 

หลินหลันจิบเข้าไปหนึ่งอึกแล้วรู้สึกว่าสุราชั้นดีนี้รสชาตกลมกล่อมและให้ความรู้สึกสดชื่น ตอนนั้นเองนางจึงยกมันกระดกหมดในรวดเดียว 

 

 

หลี่หมิงอวินถือโอกาสส่งสายตาเป็นสัญญาให้ทั้งสองคนนั่นกล่าวยุยงขึ้นมา “พี่สะใภ้ช่างเป็นสตรีผู้กล้าหาญเสียจริง อีกทั้งยังดื่มเก่งเสียด้วย” 

 

 

หนิงซิ่งเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์คึกคักขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากนั้นเขาจึงกล่าวชักชวนให้ดื่มสุราไปด้วยกัน 

 

 

หลินหลันรู้ดีว่าหมิงอวินดื่มสุราไม่เก่ง จึงกลายเป็นว่านางต้องการจะดื่มแทนหมิงอวิน “พวกท่านคงรู้กันอยู่แล้วว่าหมิงอวินดื่มสุราไม่เก่ง จอกนี้ข้าดื่มแทนเขาเลยแล้วกัน แต่อย่างไรก็ตาม ข้าเป็นสตรีส่วนท่านเป็นบุรุษ การที่ท่านกับข้าใช้ถ้วยขนาดเดียวกันมันออกจะไม่เหมาะสมไปหน่อยหรือไม่” 

 

 

หนิงซิ่งกำลังรู้สึกว่าการดื่มในถ้วยขนาดเล็กนี่มันไม่ซะใจอยู่พอดี เขาจึงตะโกนบอกบริกรในร้านให้เปลี่ยนเอาถ้วยขนาดใหญ่ขึ้นมาแทน 

 

 

การพบปะกันในวันนี้ หลี่หมิงอวินมีสองจุดประสงค์ โดยจุดประสงค์แรกคือ การที่เขาและหลินหลันได้อยู่ด้วยกันจนได้ น้องชายทั้งสองท่านนี้ช่วยเหลือเข้าไว้ไม่น้อยทีเดียว มื้อนี้จึงถือเป็นการเลี้ยงขอบคุณ และจุดประสงค์ที่สองคือ เขาอยากหาโอกาสขึ้นไปอยู่บนเตียงนอน ทว่าหลินหลันเคยเตือนเขาไว้แล้วว่าไม่อนุญาตให้เขาดื่มสุรา ดังนั้น ก็ให้นางมาด้วยเลยแล้วกัน เดิมทีคิดไว้ว่าตนเองจะดื่มแค่พอให้ตนเองรู้สึกกรึ่มๆ ทว่าตอนนี้เขาชักเปลี่ยนใจเสียแล้ว ทำให้คนอื่นเมามายหรือจะสู้ทำให้หลินหลันเมามายเองเสียเลย เขามองดูหลินหลันชนถ้วยแล้วถ้วยเล่า มุมปากของหลี่หมิงอวินก็ค่อยๆ ยกยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นทีว่าเป้าหมายที่เขาตั้งไว้จะคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกทีแล้ว ตอนนี้เขาได้แต่แอบส่งกำลังใจให้น้องชายทั้งสองสู้ต่อไป 

 

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนแนวโน้มสถานการณ์ในตอนนี้มันออกจะกลับตาลปัตรไปเล็กน้อยเสียแล้ว 

 

 

ด้วยความที่หลินหลันใช้ถ้วยขนาดเล็กในการดื่ม ขณะที่เฉินจื่ออวี้และหนิงซิ่งใช้ถ้วยขนาดใหญ่ในการดื่ม หลังจากดื่มกันไปสักพัก สีหน้าของหลินหลันหาได้มีความเปลี่ยนแปลงไม่ ขณะที่ทางด้านเฉินจื่ออวี้เห็นได้ชัดว่านัยน์ตาของเขาเริ่มหวานเยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนหนิงซิ่งก็เริ่มพูดจาไร้สาระไปเรื่อย 

 

 

หลี่หมิงอวินจงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงบางเบาแสดงความเป็นห่วงเป็นใย “หลินหลัน เจ้าไหวหรือไม่ ไม่ไหวก็หยุดดื่มได้แล้ว พวกเขาไม่ว่าอะไรเจ้าได้หรอก” 

 

 

หลินหลันเลิกคิ้วอย่างไม่สะทกสะท้าน “ผู้ชนะในศึกชิงบัลลังค์ครั้งนี้จะเป็นผู้ใดยังไม่รู้เลยนะ!” 

 

 

หลี่หมิงอวินรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเฉียบพลัน แอบกังวลใจแทนน้องชายทั้งสองคนนี้ขึ้นมาเสียแล้ว 

 

 

การดื่มสุรามาจนถึงช่วงปลายๆ ยิ่งเมาก็ยิ่งต้องการดื่ม จะห้ามไม่ให้ดื่มคงไม่ทันการณ์เสียแล้ว หนิงซิ่งไม่เชื่อด้วยว่าตนอีกจะดื่มไม่สู้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเฉินจื่ออวี้อีกคน สองพี่น้องผนึกกำลังกันดื่มแล้วมีหรือจะสู้หญิงสาวคนเดียวไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นวันหน้าวันหลังจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้ 

 

 

“ข้าขอเป็นถ้วยใบใหญ่ด้วย พวกท่านจะได้ไม่เอ่ยว่าข้าไม่ยุติธรรม” หลินหลันกล่าว 

 

 

หลี่หมิงอวินถึงกับเผยสีหน้างุนงงอย่างเหลือเชื่อ “หลินหลัน เจ้าไม่เป็นไรนะ?” 

 

 

หนิงซิ่งได้ยินเช่นนั้น ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมไปกันใหญ่ ได้สิ๊! เปลี่ยนเป็นถ้วยใหญ่แล้ว ครานี้หากครั้งนี้ยังดื่มล้มเจ้าไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกข้าว่าหนิงซิ่ง 

 

 

สิบห้านาทีต่อมา หลินหลันมองดูพวกเขาทั้งสองโดยคนหนึ่งฟุบลงกับตนไป อีกคนค่อยไหลลงไปนอนกองอยู่บนพื้นข้างโต๊ะ นางปรบมืออย่างภูมิใจและกล่าวขึ้นภายใต้สีหน้าอาการสบายๆ “นี่เรียกว่าแผนการชักนำศัตรูให้ติดกับดักแล้วหมดทางหนีทีไล่ จากนั้นค่อยโจมตีทีละคน อย่าคิดว่าสตรีจะดื่มเป็นแค่น้ำหวานเท่านั้น ข้าล่ะนึกถึงตอนแรกที่ข้ากับบรรดาศิษย์พี่แอบดื่มสุราโบราณชั้นดีของท่านอาจารย์ พวกเขาห้าคนยังดื่มสู้ข้าคนเดียวไม่ได้เลย…” 

 

 

หลี่หมิงอวินถึงกับเหงื่อตก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้นที่ศิษย์พี่ของหลินหลันอยากแอบบอกเขาว่าอะไรคือสิ่งที่หลินหลันเก่งกาจมากที่สุด…หรือว่าก็คือการดื่มสุรานี่น่ะหรือ ไม่ผิดแน่ ใบหน้านางไม่แดงเลยสักนิด จังหวะลมหายใจยังคงปกติไม่แปรเปลี่ยน แถมยังดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ… 

 

 

พอหันไปมองดูเฉินจื่ออวี้กับหนิงซิ่งสองคนนั้นที่ตกอยู่ในอาการเมามายจนหมดสภาพ หลี่หมิงอวินครุ่นคิดอย่างเป็นจริงเป็นจัง คงต้องโทษทีเขาไม่รู้จักศัตรูดีพอ แต่ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งสามารถดื่มได้มากขนาดนี้ 

 

 

“เอ๋ ทำไมเจ้าถึงมองข้าเช่นนี้ วันนี้ข้าดื่มก็เพื่อปกป้องเจ้านั่นแหละ” หลินหลันกล่าวอย่างขึงขัง นางรู้อยู่ว่าเป็นหญิงเป็นนางดื่มสุรามันดูไม่ดีนัก โดยเฉพาะการดื่มจนเมามาย ทว่าเรื่องการดื่มสุรานางคอแข็งใช่ย่อย จึงไม่เคยลิ้มรสว่าการดื่มจนเมามายมันเป็นเช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นนางทำเช่นนี้ก็เพื่อปกป้องหมิงอวิน ทว่าหมิงอวินกลับมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาดชอบกล หลินหลันอดรู้สึกกังวลใจมิได้ 

 

 

หลี่หมิงอวินแอบผิดหวังอยู่ลึกๆ ได้แต่ถอนหายใจเฮือกยาวอย่างเงียบๆ เห็นทีว่าค่ำคืนนี้คงต้องนอนที่เดิมอีกแล้วสินะ