ตอนที่ 111 ท่านย่ามาแล้ว

ปฏิญญาค่าแค้น

หลังจากส่งขี้เมาทั้งสองกลับไปเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันจึงขึ้นไปเปลี่ยนชุดในรถม้าแล้วถึงพากันกลับบ้าน 

 

 

หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบตลอดทั้งทาง ส่วนหลินหลันไม่รู้เลยว่าตนเองได้ทำลายแผนการของใครบางคนไป และไม่รู้ด้วยว่าที่ใครบางคนปั้นหน้าเคร่งขรึมเป็นเพราะความผิดหวังเสียใจ แล้วยังกล่าวหาว่าใครบางคนกำลังไม่พึงพอใจที่นางมีความสามารถในการดื่มถึงเพียงนี้ ท้ายที่สุดจึงทำเป็นไม่สนใจใยดีเขา ซึ่งนั่นจึงตามมาด้วยบรรยากาศชวนให้รู้สึกอึดอัดสำหรับทั้งสองคน 

 

 

หยินหลิ่วและเหวินซานซึ่งนั่งอยู่ด้านนอกของรถม้าต่างมองหน้ากันเลิกลัก เหตุใดด้านในถึงไม่มีเสียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย 

 

 

เมื่อรถม้าขับเคลื่อนมาถึงปะตูทางเข้าจวน หรูอี้ก็รีบออกมาให้การต้อนรับในทันที 

 

 

“เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เหตุใดพวกท่านถึงเพิ่งกลับมาเอาปานนี้ เหล่าไท่ไทมาแล้วเจ้าค่ะ เหล่าเหยียให้เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายรีบไปยังโถงหนิงเฮ๋อเจ้าค่ะ” หรูอี๋กล่าวด้วยความร้อนใจ 

 

 

หลินหลันรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจในสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่นัก เป็นเหล่าไท่ไทคนไหนกัน 

 

 

สีหน้าของหลี่หมิงอวินดูไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด “เหล่าไท่ไทมาถึงเมื่อไหร่หรือ” 

 

 

“ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วเจ้าค่ะ ตงจึไปหาเอ้อร์เส้าเหยียที่โรงเตี๊ยมอี้เซียงจูแล้ว ทว่าอาจจะคลาดกันไปกระมังเจ้าคะ!” 

 

 

หลี่หมิงอวินดึงมือหลินหลัน “ชุดนี้มีกลิ่นสุรา รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ” 

 

 

“นี่! เหล่าไท่ไทเป็นใครหรือ ทำไมเจ้าต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย” หลินหลันเห็นเขามีท่าทีเร่งรีบขนาดนี้ นางเองก็รู้สึกเร่งรีบตามไปด้วย คงไม่ใช่ว่ายังไม่ทันกำจัดแม่มดชราไปได้ ก็ดันมีแม่มดชราอีกตนโผล่มาหรอกนะ 

 

 

“ไว้ระหว่างทางจะเล่าให้ฟัง” หลี่หมิงอวินดึงนางเดินขาขวิดมุ่งไปยังเรือนหลั้วเซี๋ยจาย 

 

 

“เหล่าไท่ไทคือท่านยาของข้า ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนกระทั่งตอนนี้เคยพบเจอนางรวมๆ แล้วทั้งหมดสามครั้งเห็นจะได้ ครั้งแรกตอนที่ข้ายังแบเบาะ ดังนั้นจำอะไรไม่ได้หรอก อีกครั้งหนึ่งเป็นตอนสามขวบ และอีกครั้งเป็นตอนเจ็ดขวบ เท่าที่ข้าพอจำได้คือท่านยาไม่เอ็นดูข้า ปฏิบัติต่อท่านแม่ของข้าอย่างไร้เยื่อใยมาก นับตั้งแต่ท่านพ่อเข้าเป็นขุนนางหลวงระดับสูง ท่านแม่ส่งจดหมายไปหลายครั้งว่าต้องการรับนางมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน ทว่านางก็ปฏิเสธด้วยเหตุผลต่างๆ นานาอยู่ทุกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้นึกอย่างไรขึ้นมาถึงได้มาปักกิ่งกระทันหันเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจำเป็นต้องระมัดระวังเอาไว้ให้มากถึงจะเป็นการดี นางมิได้น้อยหน้าไปกว่าแม่มดชรานั่นเลยล่ะ…” หลี่หมิงอวินอธิบายด้วยคำพูดง่ายๆ แต่ได้ใจความเพื่อบอกถึงความเป็นมาเป็นไปของเหล่าไท่ไท่ผู้นี้ให้กระจ่างชัดแจ้ง 

 

 

หลินหลันลำดับความคิดโดยเร็วไว ข้อแรก แม่มดชราไม่ชอบท่านแม่ของหมิงอวิน ก็เลยไม่ชอบหมิงอวินตามไปด้วย นี่ก็หมายความได้ว่าจะไม่ชอบนางไปด้วย ข้อที่สอง ต่อให้ท่านยาผู้นี้จะไม่ชอบหมิงอวินสักเพียงใด แต่ก็เป็นท่านยาโดยสายเลือดของหมิงอวิน ซึ่งคนโบราณให้ความสำคัญเรื่องการกตัญญูเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ทันระมัดระวังจนเป็นการไม่ให้ความเคารพผู้อาวุโสกว่าแม้เพียงครั้งเดียวก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนอกตัญญูทันที ซึ่งต่างจากแม่มดชราที่เป็นเพียงแม่เลี้ยงคนหนึ่ง ซึ่งเดิมทีนางเองก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้ในประเด็นนี้ ข้อสาม และเป็นประเด็นที่สำคัญมากที่สุดเสียด้วย เหตุใดเหล่าไท่ไทถึงมาเยือนกะทันหันเช่นนี้ มาด้วยจุดประสงค์อันใด อย่างไรก็ตามด้วยทั้งสามข้อนี้สรุปได้อย่างเดียวว่า นางต้องระมัดระวังตัวเข้าไว้ 

 

 

ทั้งสองรีบอาบน้ำอาบท่าโดยเร็วและเปลี่ยนชุดกันเป็นที่เรียบร้อย ทว่ากลิ่นเหล้าบนเรือนร่างยังคงไม่เลือนหายไปแต่อย่างใด กลิ่นเหล้าบนเรือนร่างหลี่หมิงอวินไม่ถือว่าเป็นปัญหา เป็นบุรุษ คงเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องออกไปสังสรรค์ ปัญหาอยู่ที่กลิ่นเหล้าบนเรือนร่างของหลินหลันซึ่งมันสาหัสสากรรณ์กว่าเขามาก… 

 

 

หลินหลันลูบใบหน้าเล็กๆ ของนางก่อนจะมองไปยังหลี่หมิงอวินอย่างสลด “แล้วแบบนี้ข้าจะพบพวกเขาได้หรือ” คนลิขิตหรือจะสู้ฟ้าลิขิต ใครจะรู้ว่าท่านยาของหมิงอวินจะมาถึงวันนี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ไร้ซึ่งวี่แววข่าวคราวใดๆ หากรู้แต่แรกก็จะไม่ดื่มมากมายขนาดนี้ หญิงชรานั่นจะเห็นนางอยู่ในสายตาได้อย่างไร หากสร้างความประทับใจในการพบกันครั้งแรกด้วยการที่หลานสะใภ้เป็นขี้เมา 

 

 

หลี่หมิงอวินปวดสมองเสียยิ่งกว่านาง 

 

 

อวี้หลงเกิดความคิดอะไรบางอย่างจึงกล่าวขึ้น “หรือไม่ แต่งแต้มน้ำหอมลงไปบนเรือนร่างที่มีกลิ่นสุราดีไหมเจ้าคะ ข้าน้อยจำได้ว่าในรายการของขวัญมีน้ำหอมซึ่งมาจากซีหยางหนึ่งขวดเจ้าค่ะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวขึ้นทันควัน “รีบไปนำมา” 

 

 

หลินหลันกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “น่าจะใช้ไม่ได้ผลหรอก กลิ่นเหล้าแรงขนาดนี้จะกลบกลิ่นเข้าไปได้อย่างไร ยิ่งใส่น้ำหอมลงไปไม่เท่ากับว่าต้องการปกปิดกลิ่นอะไรบางอย่างหรือ” 

 

 

หลี่หมิงอวินรู้สึกจนปัญญาไปชั่วขณะ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามป๋ายฮุ่ย “ในบ้านมีสุราอยู่บ้างไหม” 

 

 

ป๋ายฮุ่ยตกตะลึงไปเล็กน้อย “ในห้องครัวมีเหล้าที่ไว้ทำอาหารเจ้าค่ะ” 

 

 

“ไปหยิบมา” 

 

 

หลินหลันงุนงง “จะเอาเหล้ามาทำอะไร” 

 

 

หลี่หมิงอวินวางมือลงบนบ่าทั้งสองข้างของนางและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “ข้าขอดื่มเข้าไปอีกหน่อย แล้วแสร้งทำเป็นกึ่งเมา ถึงตอนนั้นเจ้าก็บอกว่าข้าทำเหล้าหกเลอะตัวเจ้า ข้าทำอะไรไม่เหมาะสมอย่างมากๆ ก็ถูกตำหนิไม่กี่ประโยค แต่เจ้าจะทำผิดพลาดไม่ได้แม่แต่นิดเดียว ถึงตอนนั้นเจ้าพยายามพูดให้น้อยเข้าไว้ เรื่องทั้งหมดให้ข้าเป็นคนจัดการเอง” 

 

 

หลินหลันพยักหน้ารับทราบ ดูเหมือนคงมีแค่วิธีนี้วิธีเดียวที่ยังสามารถทำให้ดูกลมกลืนไปได้ 

 

 

ป๋ายฮุ่ยกึ่งวิ่งกึ่งเดินตลอดทางเพื่อไปหยิบสุรามาให้โดยเร็วไว 

 

 

หลี่หมิงอวินเปิดฝาขวดออกแล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยกขวดสุราขึ้นดื่มไปกว่าครึ่งขวด 

 

 

“หมิงอวิน เจ้าดื่มน้อยๆ หน่อย…” หลินหลันกล่าวด้วยความเป็นห่วง “อย่าเมาขึ้นมาจริงๆ ล่ะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินสะบัดศีรษะแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มอย่างสง่างามสุขุม 

 

 

“ข้าล่ะเกรงว่าเจ้าจะเมาขึ้นมาจริงๆ แล้วประเดี๋ยวดันพูดจาเลอะเลือนออกมา!” หลินหลันเอ่ยบ่น 

 

 

หลี่หมิงอวินกอดนางอย่างหลวมๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแสนนุ่มนวล “หากจะเมาก็ต้องกลับมาแล้วค่อยเมา เจ้าวางใจได้” 

 

 

อ้อมกอดของเขาที่มอบให้เสมือนกับการโอบกอดพอเป็นมารยาทเมื่อพบเจอหน้ากันของคนในยุคสมัยปัจจุบันที่ทำกัน โดยมีการรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม ทว่าการสูดดมกลิ่นสุราที่ไม่แน่ชัดว่ามาจากเรือนร่างของใครกันแน่ ผนวกกับการได้รับแรงกระตุ้นจากฤทธิ์สุรา และยังได้ฟังคำพูดที่อ่อนโยนอันแสนมีเสน่ห์ดังกล่าว การเต้นของหัวใจของนางก็ระรัวขึ้นจนไม่เป็นจังหวะ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็รู้สึกถึงความร้อนผ่าว 

 

 

ทางด้านโถงหนิงเฮ๋อกำลังครึกครื้นน่าดู นอกเสียจากอนุภรรยาหลิว ทุกคนต่างก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ณ ที่แห่งนี้ 

 

 

หญิงชราเรียกหมิงเจ๋อและหลั้วเหยียนให้เข้าไปนั่งพูดคุยข้างๆ นาง มองดูสามีภรรยาอีกคู่นี้ภายใต้รอยยิ้มที่แทบจะฉีกไปถึงใบหู 

 

 

ขณะที่หมิงจูรู้สึกไม่พึงพอใจอยู่เล็กน้อย ผู้เป็นย่าไม่แม้แต่จะมองมาที่นางเลยสักนิด เมื่อครั้งอยู่ที่บ้านเก่าท่านยาไม่ได้ทำเช่นนี้ต่อนาง กลับปฏิบัติต่อนางอย่างรักใครเอ็นดูมากด้วยซ้ำไป เมื่อนางตระหนักขึ้นมาได้ว่าท่านย่าอาจจะกังวลอะไรบางอย่างอยู่ ทว่าถึงจะตระหนักขึ้นมาได้เช่นนี้แต่นั่นก็ส่งผลให้นางรู้สึกน้อยใจไปกันใหญ่ ชั่วชีวิตนี้ นางเป็นได้เพียงบุตรสาวร่วมสายเลือดแท้ๆ ที่ต้องคอยหลบอยู่ในสถานะลับๆ อย่างไร้ซึ่งแสงสว่างงั้นหรือ 

 

 

หลี่จิ้งเสียนนั่งหัวเราะอยู่ด้านข้าง และค่อยแอบมองไปยังนางอวี๋พี่สะใภ้คนโตที่กำลังพูดคุยกับนางฮาน การมาของท่านแม่และพี่สะใภ้ในครั้งนี้ เขาไม่รู้ล่วงหน้าเลยแม้แต่น้อย กระทั่งท่านแม่ของเขาเข้ามาถึงในบ้านแล้วถึงได้รับทราบ ตอนนั้น เขากำลังอยู่ในห้องของอนุภรรยาหลิว ใช้เวลานานพบตัวกว่าเขาจะรวบรวมสติกลับคืนมาหลังจากอาการตระหนกตกใจ เดิมทียังคิดว่าตนเองหูฟาดไปแล้วด้วยซ้ำ ส่วนผู้ที่ไปรับมาเป็นคนที่นางฮานจัดแจงส่งไป เมื่อครู่นางฮานเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคที่ว่า…ตระเตรียมห้องไว้ให้ตั้งเนิ่นนานแล้ว… เห็นได้ว่าการมายังเมืองหลวงของผู้เป็นแม่ในครั้งนี้เป็นความคิดของนางฮาน นางฮานวางแผนจะทำอะไรกันแน่ หลี่จิ้งเสียนคำนึงถึงหลิวอี๋เหนียงเป็นอันดับแรก นางฮานคิดจะเล่นงานหลิวอี๋เหนียงงั้นหรือ 

 

 

“เหตุใดหมิงอวินถึงยังไม่มา มิใช่สั่งให้คนไปเร่งเร้าแล้วหรอกหรือ” นางฮานมองประตูทางเข้า กล่วขึ้นด้วยน้ำเสียงดัดจริตภายใต้ท่าทีสีหน้าราวกับแม่ผู้ใจดีกำลังรอคอยลูกรักกลับบ้าน 

 

 

หญิงชราที่กำลังหัวเราะอย่างสุขใจ เมื่อได้ยินประโยคนี้รอยยิ้มเมื่อครู่ก็หุบลงไปชั่วขณะ “ตอนนี้หมิงอวินเป็นถึงขุนนางแล้ว ดังนั้นเรื่องออกไปพบปะสังคมน่าจะมากกว่าท่านพ่อของเขาเสียแล้ว” 

 

 

นางฮานฉีกยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “นานๆ ทีหมิงอวินเขาก็ได้ออกไปข้างนอกน่ะเจ้าค่ะ วันนี้เป็นวันหยุดของเขาพอดี คงพาภรรยาออกไปเดินเล่นกระมัง!” 

 

 

หญิงชราแสยะยิ้มและไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรอีก ใบหน้าของนางแสดงสีหน้าไม่ยินดียินร้าย 

 

 

“โอ้ หมิงอวินก็ช่างรู้จักเอาใจภรรยาน่าดูนะเจ้าคะ” นางอวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ 

 

 

“นั่นน่ะสิ เรื่องพวกนี้หมิงเจ๋อสู้หมิงอวินเขาไม่ได้จริงๆ ” นางฮานกล่าว 

 

 

หญิงชรากลับเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยคอย่างไม่แยแส “เป็นสะใภ้ก็ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของตระกูลนั้นๆ และค่อยเชื่อฟังสามี ประเด็นนี้ ข้ากลับคิดว่าภรรยาของหมิงเจ๋อทำได้ดีอย่างมาก” 

 

 

ติงหลั้วเหยียนรู้สึกอับอายต่อคำชมที่ได้รับ ด้วยปกติแล้วนางก็มักจะออกไปข้างนอกเพื่อกลับบ้านของท่านแม่ หรือไม่ก็เพื่อพบปะสังสรรค์กับสหายคนสนิทของนางเป็นประจำ เพียงแต่วันนี้นางดันอยู่บ้านพอดีก็เท่านั้นเอง 

 

 

หลี่จิ้งเสียนส่งเสียงหัวเราะแล้วกล่าวขึ้น “ภรรยาของหมิงอวินเป็นหมอ ผู้คนมากมายมักเรียนเชิญนางไปตรวจอาการเจ็บไข้น่ะขอรับ” หลี่จิ้งเสียนอดไม่ได้ที่จะแก้ต่างให้หลินหลัน ในคำพูดของนางฮานแต่ละประโยคล้วนแฝงเอาไว้ซึ่งการให้ร้าย เมื่อท่านแม่ได้ฟังแล้วจะมีรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาได้หรือ แม้ท่านแม่ของเขาภูมิหลังเป็นคนยากจนแร้นแค้น ทว่าเรื่องการให้ความเคารพบรรพบุรุษนางเห็นความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และเคร่งครัดในกฎระเบียบเป็นอย่างมาก ตอนที่เขาเอ่ยว่าจะหย่าร้างแล้วแต่งงานใหม่ ท่านแม่ของเขาเกือบจะตัดสัมพันธ์ความเป็นแม่ลูกไปเสียแล้ว ไม่ยอมพูดจากับเขาอยู่หลายปี กระทั่งเขาได้เป็นขุนนางในเมืองหลวงและช่วยให้พี่ชายคนโตได้รับประโยชน์ไปด้วยไม่น้อย ครอบครัวหลี่ที่อยู่ในชนบทถึงได้ค่อยๆ ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ ถึงตอนนั้นนางถึงค่อยๆ แสดงทีท่าใจอ่อนต่อเขา ดังนั้น สิ่งที่ผู้เป็นแม่เขาเกลียดที่สุดคือผู้ที่ไม่รู้จักเคารพกฎระเบียบ และนางฮานรับรู้ถึงประเด็นนี้อีกทั้งยังดึงมันมาใช้ประโยชน์ได้ดีมากเสียด้วย 

 

 

นางอวี๋กล่าวอย่างสนอกสนใจ “ที่แท้ภรรยาของหมิงอวินเป็นหมอด้วยหรือ เช่นนั้นก็ดีเยี่ยมไปเลย วันหน้าวันหลังมีคนในบ้านปวดหัวตัวร้อนไม่สบายก็ไม่ต้องไปเรียนเชิญหมอจากข้างนี้มาแล้วสินะ” 

 

 

หมิงจูซึ่งอยู่ด้านข้างเป็นคนเดียวที่ถูกมองข้าม สภาพอารมณ์และจิตใจของนางย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตามคนที่ถูกมองข้ามยังมีอีกคน นั่นก็คือหลานสาวของทางด้านครอบครัวนางอวี๋ ที่มีนามว่าอวี๋เหลียน ทว่าอวี๋เหลียนหาได้รู้สึกสภาพอารมณ์ย่ำแย่ไม่ นางกลับรู้สึกตื่นตาตื่นใจ คอยกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้านในโถงหนิงเฮ๋อที่ดูงดงามวิจิตรโอ่อ่า และมองไปที่แต่ละคน กระทั่งเสื้อผ้าไหมผ้าแพรที่บรรดาสาวใช้สวมใส่อยู่ด้วยความตื่นตาตื่นใจ ในชนบท มีเพียงครอบครัวของผู้ร่ำรวยมั่งคั่งเท่านั้นถึงจะได้สวมใสชุดที่ทำจากผ้าไหมผ้าแพร 

 

 

อวี๋เหลียนไม่เคยแม้แต่ใฝ่ฝันด้วยซ้ำว่าตนเองจะมีวันที่ได้เข้ามายังเมืองหลวง พี่สาวน้องสาวในครอบครัวมีกันตั้งหลายคน ทว่าท่านป้ากลับเลือกพานางติดตามมาด้วย ก่อนจากมา ผู้เป็นแม่ของนางได้เผยถึงความตั้งใจในการเดินทางครั้งนี้กับนาง โดยบอกว่าต้องการหาคู่ครองที่ดีในเมืองหลวงให้แก่นาง นางรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก น้องเขยของท่านป้าเป็นถึงราชเลขากรมพระคลัง ซึ่งเป็นขุนนางระดับสูงเชียวนะ! ไม่ว่าจะจับคู่ให้กับผู้ใด อย่างก็ต้องดีกว่าคนในหมู่บ้านชนบทกระมัง! อวี๋เหลียนรู้สึกเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังอย่างยิ่ง 

 

 

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยส่งเสียงหัวเราะกันอยู่ เสียงของสาวใช้จากด้านนอกก็ลอยเข้ามา “เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนายมาแล้วเจ้าค่า” 

 

 

ทันในนั้นภายในห้องก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบสงบ ทุกต่างจับจ้องไปยังทิศทางที่มีผ้าม่านสีแดงห้อยอยู่ ทันทีที่ม่านประตูขยับไหว ก็ปรากฏเรือนร่างของหลี่หมิงอวินซึ่งสวมใส่ชุดคลุมผ้าฝ้ายสีดำเดินเข้ามาพร้อมกับหลินหลันในชุดกระโปรงยาวสีกลีบบัว 

 

 

หลี่หมิงอวินเดินขึ้นไปเบื้องหน้า สะบัดชายชุดแล้วลุกเข่าลงน้อมคาราวะผู้เป็นย่า โดยมีหลินหลันทำตามเช่นเดียวกันอย่างนอบน้อม 

 

 

“หลานไม่ทราบว่าวันนี้ท่านย่าจะมายังเมืองหลวง จึงมิได้มาให้การต้อนรับ อีกทั้งยังไม่สามารถมาทันช่วงเวลาฉิ่งอานได้ หลานขออภัยท่านย่าด้วยขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าว 

 

 

หญิงชราอดตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อยมิได้เมื่อเห็นรูปลักษณ์อันแสนหล่อเหลาและสง่างามของหมิงอวิน อีกทั้งอากัปกิริยานี้ ช่างละม้ายคล้ายคลึงตอนจิ้งเสียนยังเยาว์วัยยิ่งนัก! ดวงตาของนางจึงอ่อนโยนลงแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด รีบลุกขึ้นเถอะ!” 

 

 

หลินหลันกล่าวอย่างสุภาพเรียบร้อย “หลานสะใภ้ขอคาราวะท่านย่าเจ้าค่ะ” 

 

 

หญิงชราได้รับรู้เกี่ยวกับที่มาที่ไปของหลินหลันจากจดหมายของนางฮานก่อนหน้าแล้ว ก็แค่หญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่ง ถึงแม้นางจะเกิดในครอบครัวที่ยากจนแต่ถือว่าเป็นครอบครัวที่มีความรู้ คำว่าครอบครัวที่ยากจนค่นแค้นเป็นช่องว่างระหว่างกลางที่ยังคงไม่อาจเลือนหาย ต่อให้นิสัยใจคอและกิริยามารยาทดีงามเพียงใด ก็มิสู้ผู้ที่มีการศึกษาชนชั้นสูงได้ ดังนั้นนางจึงไม่ชื่นชอบหลินหลันเท่าไหร่นัก ผนวกกับคำพูดที่นางฮานเอ่ยขึ้นมาเมื่อครู่ ทำให้รู้สึกว่าเป็นการยากที่จะอบรมสั่งสอนสาวชาวบ้านให้รู้จักเชื่อฟัง ไม่ว่าจะเป็นหมอหรือไม่ แต่เมื่อใดก็ตามที่แต่งงานแล้วก็ควรมีความซื่อสัตย์ คอยรับใช้สามีและลูกๆ ในบ้าน แต่นี่เป็นครั้งแรกของการพบปะกัน นางจึงไม่มีกระจิตกระใจที่จะเอ่ยพร่ำสอนออกไป ทำเพียงกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “ลุกขึ้นเถอะ!” 

 

 

หลินหลันได้ยินน้ำเสียงของหญิงชราที่มันช่างฟังดูแตกต่างจากการเอ่ยพูดต่อหมิงอวินเมื่อครู่ลิบลับ กับคนหนึ่งอ่อนโยนนุ่มนวล กับอีกคนเรียบเฉย แสดงถึงการแบ่งแยกอย่างเห็นได้ชัด! หลินหลันพร่ำเตือนตนเองไว้ นางค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วยืนอย่างมีระเบียบเรียบร้อยอยู่ด้านข้างหมิงอวิน 

 

 

หมิงเจ๋อขมวดคิ้วพลางสูดจมูกฝึดฝัด “กลิ่นเหล้าแรงชะมัด” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนตวัดสายตามองไปยังหมิงเจ๋อที่กำลังปากมาก แล้วจึงมองไปยังใบหน้าแดงกล่ำของหมิงอวิน “หมิงอวิน วันนี้พวกเจ้าไปไหนมากันหรือ” เขากล่าวถามอย่างใจเย็น 

 

 

หลี่หมิงอวินยกสองมือขึ้นประสานระดับหน้าอกขณะกล่าวตอบ “ตอนเช้าลูกไปเยี่ยมเยียนสหาย ส่วนหลินหลันไปจวนท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนขอรับ ด้วยภรรยาท่านแม่ทัพคะนึงถึงนางและเชื้อเชิญมาหลายครั้งหลายคราวมากแล้วขอรับ ส่วนช่วงบ่ายลูกกับหลินหลันไปยังจวนจิ้งปั๋วโหว์ด้วยกันขอรับ บุตรชายของจิ้งปั๋วโหว์มีอาการท้องอืดเล็กน้อยจึงให้หลินหลันไปช่วยตรวจให้ขอรับ หลังจากนั้นท่านจิ้งปั๋วโหว์ก็เชื้อเชิญให้อยู่พูดคุยด้วยกันก่อน ลูกไม่อาจปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงอยู่ดื่มด้วยกันขอรับ” 

 

 

หลินหลันพอรู้อยู่บ้างว่าหลี่หมิงอวินมีความสามารถในการสร้างเรื่อง แต่คาดไม่ถึงว่าจะสร้างเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมขนาดนี้ เริ่มด้วยการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ตัวติดกันอยู่ตลอดทั้งวัน และต่อด้วยการหยิบยกบุคคลผู้มีอำนาจทั้งสองท่านขึ้นมาและยังเป็นการยกระดับคุณค่าในตัวนางต่อหน้าหญิงชราอีกด้วย 

 

 

หญิงชรามองหลินหลันด้วยนัยน์ตาที่เปลี่ยนไป หญิงสาวที่เป็นเพียงชาวบ้านผู้หนึ่ง จะถึงขั้นได้รับความโปรดปรานจากผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ระดับสูงเช่นนี้ได้เชียวหรือ 

 

 

หมิงจูยกมือขึ้นปิดจมูก “พี่สะใภ้รอง เหตุใดกลิ่นสุราบนตัวท่านถึงแรงยิ่งกว่าท่านพี่รองเสียอีก”