ตอนที่ 92 มีอันตราย

แม่ครัวยอดเซียน

ตอนที่ 92 มีอันตราย Ink Stone_Romance

“ตรงนั้นมีวังอยู่แห่งหนึ่ง น่าจะเป็นจุดหมายของพวกเรา” หนานกงเวิ่นเทียนพูดขึ้นพลางชี้วังที่ปรากฏอยู่ตรงใจกลางอย่างเลือนลาง “ถ้าเป็นเช่นนั้นเรารีบเร่งฝีเท้ากันเถอะ” หนานกงเหลยเทียนกล่าว

“พวกเจ้าเดินกันไปก่อนเลย ข้าจะดูหลังให้เอง” หลิวหลีพูดจบก็เรียกเอ๋าเลี่ยออกมา พวกผักเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงที่เดิมทีจะเสนอความคิดเห็นต่าง ๆนานาต่างรีบพากันเดินทิ้งห่างออกไป

“อาเลี่ย เจ้าช่วยข้าหาหญ้าคืนวิญญาณหน่อย ข้าจะไปกับพวกเขาก่อน ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ข้ารู้สึกว่าวังแห่งนี้มีบางอย่างผิดปกติอย่างไรไม่รู้” หลิวหลีรู้สึกไม่ดีกับวังที่ปรากฏขึ้นมาเพียงเสี้ยวเดียวเท่าไหร่นัก แต่ก็บอกรายละเอียดได้ไม่แน่ชัด

“เจ้าไปเถอะ ข้าจะลองหาดู” เอ๋าเลี่ยพยักหน้าด้วยท่าทีเข้าอกเข้าใจ จุดประสงค์ที่หลิวหลีเข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อพลังบำเพ็ญ แต่เพื่อหาหญ้าคืนวิญญาณ

หลิวหลีกลับเข้าไปรวมกลุ่มตามเดิม บรรยากาศที่เงียบสงัดทำให้หลิวหลีรู้สึกว่ามีสิ่งไม่ชอบมาพากล แต่ผู้ร่วมทางข้างหน้าทั้งเก้าคนเหมือนกินผงร่าเริงเข้าไป ต่างพากันก้มหน้าก้มตาเดินตรงเข้าวังแห่งนั้นไป

พอใกล้จะถึงวังที่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ในใจหลิวหลีก็ยิ่งรู้สึกไม่สงบสุข เส้นเลือดเขียวในหัวปูดขึ้นมา มันผิดปกติ ผิดปกติมากจริง ๆ

“ทุกคนหยุดก่อน” หลิวหลีตะโกน

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ทุกคนมองดูวังที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ แล้วเกิดความสงสัยว่าทำไมต้องหยุดฝีเท้า

“ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีนัก ทุกคนอย่าเพิ่งเข้าไป” หลิวหลีบอกความคิดของตัวเองออกมา โดยเฉพาะพอยิ่งเข้าใกล้ประตู ก็ยิ่งรู้สึกรุนแรงมากขึ้น

“หลงหลิวหลี มีอะไรผิดปกติหรือ เจ้ากลัวว่าทุกคนที่นี่เข้าไปแล้วจะได้ของดีมากกว่าเจ้า แล้วจะไม่เชื่อฟังเจ้าใช่ไหม” จ้านอวิ๋นจิ่งมองดูวังที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับความรู้สึกเดือดดาล เขาไม่รู้สึกเกรงกลัวหลิวหลีอีกต่อไป ในหัวเขาคิดแต่ว่าจะได้ของบางอย่างจากภายในวังตรงหน้าจะได้อยู่เหนือหลิวหลี ทำให้เขากลับไปพูดจาร้ายกาจเหมือนเดิม

“ใช่ ข้าก็ไม่เห็นรู้สึกว่าจะมีปัญหาอะไร” หลินเสี่ยวเจียงพูดขึ้น

“พวกเจ้าไม่คิดว่ามันเงียบเกินไปจนน่ากลัวหรือ” หลิวหลีกล่าว เพราะรีบร้อนจะมา พลังเซียนของทุกคนจึงถูกใช้ไปมากกว่าครึ่ง หรือบางคนมากกว่านั้นด้วยซ้ำ สถานการณ์นี้ไม่ค่อยดีมากนัก

“ไม่มีอะไรหรอก บรรพชนคงไม่กลั่นแกล้งเราหรอก” จ้านอวิ๋นจุนคิดแล้วพูดขึ้น คนอื่นๆก็มีความคิดเช่นเดียวกัน

“ใช่ บรรพชนจะมากลั่นแกล้งลูกหลานของตัวเองได้อย่างไรกัน” หลินเสี่ยวเสี่ยวก็พูดเช่นเดียวกัน

“หลิวหลี หรือว่าเจ้าคิดมากไปเอง” ฮัวจิงหงมองไปที่วังแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น

หลิวหลีอธิบายไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นก็นึกถึงไข่มุกดวงจิตผสมที่เคยได้มาจากเมืองต้าเย่ ซึ่งสามารถมองทะลุภาพลวงตาได้ พอนึกได้ดังนั้น นางจึงหยิบไข่มุกดวงจิตผสมออกมา ภาพที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าหลิวหลีไม่ได้มีพลังเซียนที่หนาแน่น และพวกเขาไม่ได้พลังเซียนมากมายนักหนา แต่กำลังถูกป่าผืนนี้กลืนกิน วังที่ตรงหน้าก็ไม่ได้อลังการอย่างที่เห็น แต่เป็นสีดำทะมึน รอบบริเวณเต็มไปด้วยพลังแห่งความชั่วร้าย ยิ่งตื่นตระหนกเมื่อพบว่าวังกำลังเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ราวกับต้องการจะกลืนกินพวกเขาและสิ่งที่ยิ่งทำให้นางหวาดกลัวก็คือ มือของเจ้าโง่จ้านอวิ๋นจิ่งที่กำลังจะเอื้อมไปเปิดประตู

“ระวัง” หลิวหลีเก็บไข่มุกดวงจิตผสมเข้าไป แล้วโคจรเพลิงอัคคีไปที่เท้าตามที่เคยฝึกฝนกับเอ๋าเลี่ยมา รีบดึงตัวจ้านอวิ๋นจิ่งที่เอื้อมมือไปเปิดประตู แต่ก็สายไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจ้านอวิ๋นจิ่งไปเห็นอะไรเข้า ตัวเขาเหมือนร่างไร้วิญญาณ ราวเป็นตุ๊กตา

ภาพบรรยากาศรอบข้างหายไปอย่างรวดเร็ว ความมืดที่เข้าปกคลุมชวนให้ผวา

“ดูแลเขาให้ดี พวกเราไป” หลิวหลีโยนจ้านอวิ๋นจิ่งให้กับจ้านอวิ๋นจุนแล้วตะโกนขึ้น นางหยิบไข่มุกดวงจิตผสมออกมามองดูรอบ ๆตัวอีกครั้ง จึงสังเกตเห็นว่ามีสถานที่หนึ่งที่มีบรรยากาศแตกต่างกันออกไป

“ตามข้ามา” หลิวหลีเดินมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางนั้น ทุกคนก็ไม่รอช้ารีบเดินตามหลิวหลีไป รอจนทุกคนไปถึงตรงนั้น ภาพทิวทัศน์รอบข้างก็พังทลายลง หลิวหลีไม่กล้าประมาท จนกระทั่งเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ภาพที่ปรากฏผ่านไข่มุกดวงจิตผสมไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงหยุดเดิน

“อวิ๋นจิ่ง อวิ๋นจิ่ง เจ้าเป็นอะไรไป” หลิวหลียังไม่ทันได้หายใจ ก็ได้ยินเสียงตะโกนของจ้านอวิ๋นจุนดังขึ้น

“เป็นเพราะเจ้า ไม่เช่นนั้นอวิ๋นจิ่งก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะเจ้าบอกว่าอสูรเทพสามารถหาทางออกได้ อวิ๋นจิ่งเลยเป็นแบบนี้” จ้านอวิ๋นจุนตาแดงก่ำด้วยความโมโหตะโกนขึ้นพลางมองไปที่หลิวหลี

“จ้านอวิ๋นจุน หุบปาก ตอนที่หลิวหลีบอกว่ามันผิดปกติ พวกเจ้าสองพี่น้องก็ไม่สนใจ หลิวหลีบอกให้รอนางดูก่อน พวกเจ้าก็ไม่ฟัง อย่าลืมว่าหลิวหลีเป็นคนพาพวกเราออกมา น้องของเจ้าก็ได้หลิวหลีก็เป็นคนลากออกมา” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นจ้านอวิ๋นจุนเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้จึงตวาดกลับไปอย่างเหลืออด

“แต่ตอนนี้อวิ๋นจิ่งเป็นแบบนี้ ข้าควรต้องโทษใคร” จ้านอวิ๋นจุนเริ่มรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ทันใดนั้นเองเหงื่อก็แตกพลั่ก สีหน้าซีดเผือดราวโดนแรงกดดันอะไรบางอย่าง

“อาเลี่ย หยุดเดี๋ยวนี้” หลิวหลีตะโกน แรงกดดันนี้นางรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“เหอะ นางใช่คนที่เจ้าจะมาว่าได้หรือ ถ้าหากเป็นข้าล่ะก็ข้าคงจะโยนพวกเจ้าทั้งสองคนทิ้งไว้ตรงนั้นแล้ว” เอ๋าเลี่ยเก็บแรงกดดันแล้วเอ่ยขึ้นขณะมองจ้านอวิ๋นจุนด้วยสายตาเย็นชา

การปรากฏตัวของเอ๋าเลี่ย ทำให้หลายคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ จ้านอวิ๋นจุนเองก็โดนกดดันจนได้สติกลับมา เมื่อกี้เขาทำอะไรลงไป หัวเสียอย่างยิ่ง และทุกคนก็เป็นเช่นกัน พวกเขาโกรธแค้นหลิวหลี เพียงแต่ยังไม่ทันได้พูดเท่านั้น

“พวกเจ้าช่วยมีสติกันหน่อย พวกเจ้าโดนอิทธิพลพลังเซียนชั่วร้ายจากสถานที่แห่งนั้นมาไม่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะหลิวหลีพาพวกเจ้าออกมา พวกเจ้าก็รอให้พลังด้านลบพวกนั้นเข้าครอบงำร่างกายได้เลย หากถูกพลังเซียนชั่วร้ายเข้าควบคุมก็จะตกเป็นทาสพวกมัน เจ้าลองดูร่างกายของพวกเจ้าสิ” เอ๋าเลี่ยว่ากล่าวด้วยความโมโห

คนอื่นต่างพากันตกใจ รีบตรวจเช็คร่างกายของตัวเองดู ก็พบว่ามีพลังด้านลบไม่น้อยที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายตนเอง พวกเขาตกใจเสียจนเหงื่อโทรมร่าง

หลิวหลีตรวจสอบร่างกายของตัวเอง เหมือนจะไม่ได้ถูกพลังงานด้านลบเข้าครอบงำ

“อาเลี่ย เจ้ามาได้อย่างไร”

“หากข้ายังไม่มา เจ้าคงจะโดนพวกเขาจัดการไปแล้ว” เอ๋าเลี่ยกรอกตาใส่หลิวหลี

“ใช่แล้ว ทำไมข้าถึงไม่เป็นอะไร เสี่ยวเทียนก็ไม่เป็นอะไร” หลิวหลีมองดูคนที่ล้อมวงนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูร่างกาย

“เจ้ามีเพลิงอัคคี อีกทั้งยังเป็นร่างวิญญาณ เป็นผู้ปราบความชั่วร้ายทั้งปวง ส่วนเจ้าเด็กนั่นก็อาศัยบารมีของเจ้า กลายเป็นร่างวิญญาณ ทำพันธสัญญากับผู้ถือครองเพลิงบุปผาเหมันต์ได้ตั้งนานแล้ว ถึงจะเทียบเจ้าไม่ได้แต่ก็แข็งแกร่งกว่าคนพวกนั้นมาก” เอ๋าเลี่ยไม่ค่อยชอบหนานกงเวิ่นเทียนนัก ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อครู่เขารู้จักปกป้องหลิวหลี เขาก็ยังอยากให้หลิวหลีรอคนที่มีคุณสมบัติร่างกายแบบนี้คนต่อไปแทน

หลังจากทุกคนได้ลองโคจรพลังทั่วร่างดูแล้วก็พบว่าไม่สามารถกำจัดออกไปได้ทั้งหมด ยังคงมีบางส่วนตกค้างอยู่ในร่างกาย ทุกคนยิ้มขมขื่น คราวนี้เสียหายหนักเลย สูญเสียพลังเซียนไปยังไม่สามารถฟื้นฟูกลับมา แถมตอนนี้ก็ยังมีสิ่งปนเปื้อนตกค้างในร่างอีก

“อาเลี่ย พลังเซียนชั่วร้ายในตัวของพวกเขากำจัดออกไปได้ไหม?” หลิวหลีถาม ไม่ใช่เพราะต่อมความดีทำงาน แต่ถ้าให้นางเดินทางต่อคนเดียวนางคงไปได้ไม่ไกลแน่ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากคนอื่นที่เหลือ คนอื่นที่ได้ยินคำพูดของหลิวหลีก็รู้สึกละอายแก่ใจเป็นอย่างมาก

“คนพวกนี้ก็ไม่ลำบากนักหรอก เจ้าโคจรเพลิงอัคคีทั่วร่างพวกเขาก็สามารถกำจัดได้แล้ว สำหรับเรื่องฟื้นฟูพลังเซียน พวกเขาน่าจะมีหินวิญญาณกันทุกคน” แน่นอนเอ๋าเลี่ยย่อมรู้เจตนาของอีกฝ่าย นางก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา

“ก็ได้ ข้าจะใช้เพลิงวิญญาณไม้ช่วยพวกเขากำจัดมันออกไป” หลิวหลีพยักหน้า เพลิงบุปผาเหมันต์อาจจะทำให้เส้นชีพจรของพวกเขาแข็งตัวมากเกินไป พลังทำลายล้างของเพลิงอัสนีครามก็มีมากเกินไป เพลิงสุวรรณพรางก็ว่องไวเกินไปไม่ค่อยเหมาะนัก เพลิงวิญญาณไม้น่าจะเหมาะสมที่สุด

แน่นอนว่าคนแรกที่นางเริ่มช่วยก่อนคือหลงเทียนอี้ ไม่ว่าอย่างไรหลิวหลีก็ยังคงนับถือบรรพบุรุษของเผ่ามังหร หลงเทียนอี้เห็นนางเลือกช่วยตนเป็นคนแรก ก็เข้าใจในทันทีว่าหากไม่เพราะตนเป็นคนสกุลหลง นางก็คงจะสุ่มเอาหลิวหลีควบคุมการเผาไหม้ของเพลิงวิญญาณไม้ในตัวหลงเทียนอี้ พอพลังเซียนชั่วร้ายที่ตำแหน่งใดทนไม่ไหวก็เต้นระเร่าก็จะโดนเพลิงอัคคีของนางเผาไหม้โดยไร้ความปราณี เพลิงอัคคีของนางค่อนข้างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างกายของหลงเทียนอี้ค่อยๆเบาสบายลง หลิวหลีรามือแล้วถอนหายใจออกมา

หลิวหลีไม่ได้มองหลงเทียนอี้ ก็ไปช่วยหนานกงเหลยเทียนกำจัดพลังเซียนชั่วร้าย หลังจากวางมือลง พลังเซียนของหลิวหลีดูเหมือนจะไม่พอ นางจึงต้องนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ทุกคนก็ไม่พูดอะไร หลิวหลีก็ฟื้นฟูร่างกายไปกำจัดพลังเซียนชั่วร้ายให้พวกเขาไปด้วย เพียงแต่พอถึงตาของจ้านอวิ๋นจุนก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น คนอื่นๆไม่กล้าคัดค้านแต่พลังเซียนในร่างกายของจ้านอวิ๋นจุนกลับต่อต้านไม่ให้เพลิงอัคคีของหลิวหลีเข้าไป หลิวหลีขมวดคิ้ว คนสกุลจ้านช่างน่ารังเกียจ ไม่น่าคบเอาเสียเลย

จ้านอวิ๋นจุนพยายามบอกให้ตนเองปล่อยวาง ทำตัวสบายๆ อาจเป็นเพราะมีภาพจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับหลิวหลีค่อนข้างมาก ไม่ว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถปล่อยวางได้

“เจ้าเด็กนี่คงอยากตายสินะ” เอ๋าเลี่ยพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน จ้านอวิ๋นจุนเหงื่อเย็นไหลพลั่ก แต่ก็เริ่มจะปล่อยวางลงได้ หลิวหลีจึงสามารถใช้เพลิงอัคคีทำการกำจัดให้ได้

“อาเลี่ย คนนี้ควรจะต้องทำอย่างไร ทำไมเหมือนเสียวิญญาณไปแล้วเลย” หลิวหลีมองดูจ้านอวิ๋นจิ่ง นางไม่รู้ว่าควรจะเริ่มลงมือจากตรงไหน

“ทั้งตัวของเขามันถูกอุดทางเข้าไว้หมด เพลิงอัคคีของเจ้าเข้าไปไม่ได้ จำเป็นจะต้องใช้ยาบวกกับเพลิงอัคคีของเจ้าจึงจะสามารถกำจัดพลังเซียนออกไปได้” เอ๋าเลี่ยพูดขึ้นพลางมองดูคนผู้นั้นอย่างเวทนา ที่สำคัญคือไม่มียาอย่างไร

“ผู้อาวุโสได้โปรดช่วยเขาด้วย” เพื่อพี่น้องของเขาแล้ว เขายอมจะแยกแยะ จ้านอวิ๋นจุนคุกเข่าขอร้องเอ๋าเลี่ย

“เรื่องนี้ ข้าช่วยเขาไม่ได้จริงๆ” เอ๋าเลี่ยมองดูชายหนุ่มที่คุกเข่าขอร้องตน เขาไม่ได้ใจแข็งขนาดนั้น

“ไม่มีวิธีอะไรแล้วหรือ” จ้านอวิ๋นจุนบ่นพึมพำ

“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แค่แทบไม่มีเท่านั้น”

“ผู้อาวุโสโปรดกล่าวมาเถิด ถึงแม้จะเหลือความหวังเพียงแค่เสี้ยวเดียว ข้าก็จะขอลองดู”

“เช่นนั้นก็จะต้องถามหลิวหลีแล้วล่ะ”

“ข้าหรือ” หลิวหลีพูดขึ้นพลางเอามือชี้ไปที่ตัวเอง

“ใช่แล้ว เด็กนี่จำเป็นต้องใช้ยาเขียวทะลวงระดับ 7 นังหนูเป็นนักปรุงยาระดับ 6 ห่างจากระดับ 7 เพียงนิดเดียวเท่านั้น รวมกับเพลิงอัคคีก็น่าจะสามารถรักษาเด็กคนนี้ให้หายได้” เอ๋าเลี่ยพยักหน้าพูดขึ้น

หลิวหลีรู้สึกสับสน นางมักจะรู้สึกว่านางห่างจากนักปรุงยาระดับ 7 เพียงแค่แผ่นกระดาษบางๆกั้นเท่านั้น แต่ทำอย่างไรก็ทะลุออกไม่ได้สักที นางรู้สึกว่ายิ่งรีบร้อนแผ่นกระดาษนั้นก็ยิ่งหนาขึ้น นางทำได้แค่ปล่อยวาง ค่อยๆฝึกฝน

“หลิวหลี ข้ารู้ว่าก่อนหน้านี้เป็นความผิดของข้า เจ้าโปรดเห็นแก่ที่เรามีสายเลือดสกุลจ้านเหมือนกัน ได้โปรดช่วยอวิ๋นจิ่งด้วย” จ้านอวิ๋นจิ่งพุ่งเป้าหมายไปที่หลิวหลี เพียงแต่เหมือนคำพูดของเขาจะสร้างปัญหามากกว่าเดิม

“ใครบอกเจ้าว่าข้าเป็นคนสกุลจ้าน” หลิวหลีกัดฟันพูดประโยคนี้ออกมา ไม่รู้หรืออย่างไรว่านางพยายามหลีกเลี่ยงสายเลือดนี้มากขนาดไหน

“หลิวหลี เห็นแก่ที่เราเข้ามาในแดนลี้ลับนี้ด้วยกันเถอะนะ ได้โปรดช่วยอวิ๋นจิ่งด้วย” จ้านอวิ๋นจวินทันทีที่รู้ว่าตัวเองพูดผิดไป ก็รีบแก้ทันควัน

“ข้าบอกได้เพียงว่าข้าจะลองดู เจ้าต้องรู้ว่าข้าเป็นเพียงนักปรุงยาระดับ 6 ถึงแม้จะห่างจากระดับ 7 ไม่มาก แต่ข้าก็ยังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้อยู่ดี” หลิวหลีถอนหายใจแล้วพูดขึ้น พลางมองดูจ้านอวิ๋นจุนที่รู้สึกด้อยค่าจนแทบจมดินจากคนที่เคยหยิ่งยโสขนาดนั้น ก็ได้ พวกเขาเพียงแค่หยิ่งทะนงเท่านั้น แต่ไม่ใช่คนจิตใจเลวร้ายอะไร หลิวหลีก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรใหญ่โตกับพวกเขานักหรอก แต่ต่อให้ถึงมี มันก็เป็นเรื่องของคนรุ่นก่อนไม่ได้ส่งผลต่อคนรุ่นหลัง

“เจ้าได้โปรดลองดูหน่อยเถอะนะ ถึงแม้ว่าจะทำไม่สำเร็จ ก็ไม่เป็นไร” จ้านอวิ๋นจุนพูดด้วยท่าทีร้อนรน เขายอมรับความจริงขึ้นทำให้สภาวะจิตใจยกระดับขึ้นไม่น้อย

………………………………………………………