ตอนที่ 93 ยาระดับล่างก็คือยาเสีย

แม่ครัวยอดเซียน

ตอนที่ 93 ยาระดับล่างก็คือยาเสีย Ink Stone_Romance

“นางฟ้า เจ้าช่วยอวิ๋นจิ่งหน่อยเถอะ เขาก็ไม่ใช่คนที่เลวร้าย” ฮัวจิงเฟยอ้อนวอนแทนจ้านอวิ๋นจิ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ มองดูจ้านอวิ๋นจิ่งที่ยังไม่ได้สติ กับจ้านอวิ๋นจุนที่ลดทิฐิ ทำให้พวกเขาต่างก็รู้สึกใจอ่อน

“ใช่ น้องหลิวหลี เจ้าช่วยเขาหน่อยเถอะนะ” หลงเทียนอี้กล่าว เดิมทีทั้งห้าเผ่าใหญ่ก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน ถึงมีก็เป็นแค่เรื่องของคนรุ่นก่อนแล้ว

“หลิวหลี เจ้าช่วยเขาเถอะนะ” ในฐานะที่หลินเสี่ยวเสี่ยวเป็นผู้หญิงจึงมีใจอ่อนมากเป็นพิเศษ

หลิวหลีทำหน้าไม่ถูก นางยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่ช่วย ทำไมทุกคนถึงคิดว่านางจะไม่ช่วยล่ะ นางพูดไม่ชัดเจนหรือสื่อความหมายไม่รู้เรื่อง เกิดรู้สึกไม่ค่อยอยากจะช่วย รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

“พอได้แล้ว พวกเจ้าถือดีอย่างไร ถึงมาบังคับให้หลิวหลีต้องช่วยจ้านอวิ๋นจิ่ง หลิวหลีบอกแล้วหรือว่าจะไม่ช่วย พวกเจ้าไม่ได้ยินที่หลิวหลีบอกหรือ นางเป็นแค่นักปรุงยาระดับ 6 ยังคงติดอยู่จนไม่ถึงระดับ 7 สักที นางก็บอกแล้วว่านางจะพยายามอย่างเต็มที่ จ้านอวิ๋นจุนก็บอกแล้วให้นางพยายามอย่างเต็มที่ก็พอ พวกเจ้าถือดีอย่างไรมายัดเยียดให้หลิวหลีต้องรักษาเขาด้วย” คำพูดของหนานกงเวิ่นเทียนทำให้ทุกคนก้มหน้านิ่งไป

พวกเขาแค่ทนเห็นจ้านอวิ๋นจิ่งด่วนจากไปไม่ได้ หลิวหลีสามารถช่วยเขาได้ ขอให้หลิวหลีช่วยก็ผิดด้วยหรือ หลิวหลีไม่ใช่นักปรุงยาหรอกหรือ

“เหอะๆ เจ้าเด็กสกุลหนานกงพูดได้ไม่เลวเลย พวกเจ้าถือดีอย่างไรมาบังคับให้คู่พันธสัญญาของข้าต้องช่วยเขา พวกเจ้าดูเหมือนจะมาหลอกใช้ผิดคนแล้วล่ะมั้ง คู่พันธสัญญาของข้าก็บอกไปแล้วว่านางจะพยายาม แต่พวกเจ้ากลับบังคับให้นางช่วยให้เขาฟื้นให้ได้ พวกเจ้าถือดีอย่างไรถึงกล้ามาสั่งให้นางต้องทำแบบนั้น พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าน้องสียพลังเซียนไปเท่าไหร่เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า จะต้องฟื้นฟูพลังกี่ครั้ง แล้วลืมไปแล้วใช่ไหมว่านางก็ต้องได้รับการฟื้นฟูพลังเช่นกัน ดังนั้นการที่นางจะช่วยหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กกับการตัดสินใจของพวกเจ้า” เอ๋าเลี่ยใช้สายตาที่ดุดันมองดูคนกลุ่มนั้นที่ไม่รู้ไปเอาความกล้ามาจากไหน

ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบมากขึ้น ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร

“พอได้แล้ว ถ้าพวกเจ้าจะไปก็ไป ถ้าไม่ไปก็อยู่ให้ห่างจากข้าหน่อย ข้าช่วยพวกเจ้าก็เพียงเพราะเราเป็นเพื่อนร่วมทางกัน แต่จากการยัดเยียดเมื่อครู่ ดูแล้วเหมือนพวกเจ้าจะไม่ได้เห็นว่าข้าเป็นเพื่อน ข้าก็จะบอกพวกเจ้าให้ ข้าเป็นนักปรุงยา ข้าคงนิสัยดีเกินไปจนพวกเจ้าลืมไปแล้วใช่ไหมว่านักปรุงยาอยู่ในสถานะเช่นไร” หลิวหลีคร้านจะพูดกับคนพวกนี้ ไม่มีใครสามารถเป็นเพื่อนแท้ที่จริงใจได้เลยสักคน ยังดีที่มีเสี่ยวเทียนคอยปลอบโยนนาง

หลังได้ฟังคำพูดของหลิวหลี ทุกคนต่างก็หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย พวกเขาเกือบลืมไปแล้วจริงๆว่านักปรุงยาเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพเป็นอย่างมาก มีสถานะที่สูงส่ง พวกเขาถึงขนาดชักสีหน้าใส่นักปรุงยาผู้ถูกเลือก ดูความโง่ของพวกเขาสิ แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ไปไหน เพียงแต่ฟังคำสั่งของหลิวหลีถอยห่างจากนางเท่านั้น

หลิวหลีนำหินวิญญาณจำนวนมากออกมาฟื้นฟูร่างกาย หากว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมถึงปรุงยาไปก็เสียแรงเปล่า พอหลิวหลีฟื้นฟูจนถึงขั้นสุดยอด การช่วยเหลือเมื่อครู่ นางสูญเสียพลังเซียนแล้วก็ฟื้นฟูพลังใหม่ ทำแบบนั้นซ้ำไปมา ทำให้นางรู้สึกว่าพลังเซียนของนางแข็งแกร่งขึ้นมาก

หลังจากนำพืชศักดิ์สิทธิ์ที่จำเป็นต้องใช้และหม้อปรุงยาออกมา หลิวหลีหายใจเข้าลึก มีเพลิงวิญญาณไม้ปรากฏขึ้นในมือขวา นางจัดการพืชศักดิ์สิทธิ์ตามขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ ท่าทีอ่อนโยน สกัดยาส่วนสำคัญออกมา คนที่ยืนดูจากไกลๆต่างก็รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก มิน่าอายุน้อยขนาดนี้ก็ได้เป็นถึงนักปรุงยาระดับ 6 ไม่ใช่อยู่ดีๆก็จะเป็นได้ ขนาดนักปรุงยาที่ช่ำชองอาจจะจัดการกับพืชศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่งดงามเท่ากับหลิวหลี

หลังจากจัดการกับพืชศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดแล้ว หลิวหลีก็นำเพลิงวิญญาณไม้ใส่เข้าไปในเตาปรุงยา นำวัตถุดิบใส่ลงไปในอุณหภูมิที่ต้องการ นางปรับอุณหภูมิอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งใส่อย่างสุดท้ายเข้าไป นางจึงใช้เพลิงวิญญาณไม้เผาไหม้ทั้งเตา ปรับเปลี่ยนอุณหภูมิบ้างเป็นพักๆ แต่พลังเซียนในตัวของหลิวหลีเหมือนจะเหือดแห้งไป นั่นคือชีวิตคนๆนึง หลิวหลีเตือนตัวเองเช่นนี้ นางเอาพลังเซียนมาจากมิติ ปรุงยาสำเร็จได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นหลิวหลีก็หมดแรงล้มพับลง หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้เข้าไปรบกวนหลิวหลีปรุงยา จนสุดท้ายเห็นหลิวหลีมีท่าทีผิดปกติถึงรีบเข้าไปประคองนางเอาไว้

มองหลิวหลีที่เป็นลมสลบลงไป คนที่ยืนมองอยู่ไกลๆก็ยิ่งรู้สึกผิด พวกเขาทำอะไรลงไป

เอ๋าเลี่ยมองดูหม้อปรุงยา แล้วพลันเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ศักยภาพของเด็กคนนี้เหลือล้นจริงๆ เพียงแต่ตามมาตรฐานของหลิวหลีแล้วล่ะก็ เอ๋าเลี่ยมองดูจ้านอวิ๋นจุนที่สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวังอยู่ด้านข้าง สายตาของเขาทำให้จ้านอวิ๋นจุนถึงกับขนลุกซู่ ท่านเอ๋าเลี่ยส่งสายตาแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน

ผ่านไปสักพักใหญ่หลิวหลีถึงได้ค่อยๆรู้สึกตัว ตั้งแต่ฝึกบำเพ็ญมา นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าเท่าการปรุงยาเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ทำให้นางเหนื่อยจนแทบไม่อยากขยับนิ้ว นางลืมตาขึ้นก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ ช่างน่ามองจริงๆ

“เสี่ยวเทียน ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นไร” หลิวหลีเห็นว่าหนานกงเวิ่นเทียนเป็นห่วงตน ในใจก็รู้สึกอบอุ่น พอคิดจะลุกก็พบว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้ คงจะเหนื่อยมากเกินไปจริงๆ

หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ไม่ปล่อยมือ เขาอุ้มหลิวหลีไว้อย่างนั้น หลิวหลีรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย นางก็อายุตั้ง 20 กว่าแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อย อุ้มไว้แบบนี้มันจะดีหรือ

“อะแฮ่ม เจ้าเด็กหนานกง หลิวหลีฟื้นแล้ว เจ้าควรปล่อยมือให้นางนั่งสมาธิฟื้นฟูร่างกายเถอะ” เอ๋าเลี่ยย่อมเห็นท่าทางอึดอัดใจของหลิวหลี เอาเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพลอดรัก ปล่อยนางฟื้นฟูร่างกายจึงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด หนานกงเวิ่นเทียนจึงปล่อยนางอย่างไม่เต็มใจนัก หลิวหลีพยายามยันกายลุกขึ้น แล้วหยิบหินวิญญาณออกมาฟื้นฟูร่างกาย 1 กอง ตอนนี้พลังเซียนในเส้นลมปราณนางขาดแคลน จำเป็นต้องเพิ่มพลังเซียน ร่างกายของหลิวหลีซึมซับพลังเซียนอย่างกระหาย ปราณก่อนกำเนิดภายในร่างกายอ่อนเพลียเล็กน้อย หลังจากพลังเซียนค่อย ๆ เข้าไปในร่างกายแล้วก็ได้คายพลังเซียนบริสุทธิ์ออกมา หลิวหลีค่อยๆฟื้นฟูทีละนิด ยังดีที่ไม่มีผลร้ายตามมา เมื่อแน่ใจว่าตัวเองฟื้นฟูร่างกายเรียบร้อยแล้ว หลิวหลีจึงลืมตาขึ้นมาก็นึกถึงยาที่ตัวเองปรุงเอาไว้ก่อนหน้านี้ แย่แล้ว…ลืมไปเลยว่าปรุงออกมาสำเร็จหรือเปล่า

หลิวหลีเปิดเตาปรุงยา สีหน้าไม่สู้ดีนัก นี่นางปรุงอะไรออกมาเนี่ย ตัวเองฝืนมากเกินไปจริงๆสินะ

“หลิวหลี ทำสำเร็จไหม” จ้านอวิ๋นจุนถามอย่างร้อนรน หลิวหลีหมดแรงล้มลงไปแน่นอนว่าเขาก็เห็น หลิวหลีฟื้นแล้ว ถึงแม้เขาจะร้อนใจมากเพียงใด แต่ก็ยังไม่อยากจะไปรบกวน ตอนนี้หลิวหลีเปิดเตา จ้านอวิ๋นจุนจึงถามอย่างอดไม่ได้

“พังแล้ว” หลิวหลีพูดด้วยความเสียดาย คงจะต้องทำอีกรอบ นางนำยาออกมา จ้านอวิ๋นจุนถึงกับเบิกตากว้าง นี่คือยาเสียเหรอเนี่ยหรือว่านางอยากจะแกล้งเขา ไม่อยากจะรักษาให้กับอวิ๋นจิ่ง

“หลิวหลี เจ้าคิดจะปรุงยาขึ้นใหม่หรือ” จ้านอวิ๋นจุนเก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วถามขึ้น

“ใช่สิ นั่นเป็นยาคุณภาพระดับล่าง เป็นยาเสีย เจ้ารอข้าสักเดี๋ยวนะข้าจะลองปรุงใหม่อีกครั้ง” หลิวหลีล้างเตาปรุงยาไปพลางตอบคำถามจ้านอวิ๋นจุนไป

จ้านอวิ๋นจุนเหมือนได้ฟังเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อ ยาระดับ 7 คุณภาพระดับล่างเป็นยาเสีย นี่เป็นความแตกต่างระหว่างผู้ถูกเลือกกับคนธรรมดาใช่หรือไม่

“เหอะๆ เจ้าเด็กสกุลจ้าน ให้น้องของเจ้ากินมันเข้าไปเถอะ ขืนรอให้นางปรุงยาที่นางคิดว่าเป็นยาที่สำเร็จออกมา พวกเจ้าคงถึงเวลาออกจากแดนลี้ลับนี้กันแล้ว” เอ๋าเลี่ยพูดพลางหัวเราะไม่ได้ ถ้ารอให้หลิวหลีปรุงยาที่นางพอใจออกมา คนกลุ่มนี้คงจะต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่โดยไม่ได้อะไรกลับไป

จ้านอวิ๋นจุนกล่าวขอบคุณเอ๋าเลี่ย จากนั้นรีบเอายาให้จ้านอวิ๋นจิ่งกิน ส่วนหลิวหลีเหมือนมีอะไรจะพูด แต่พอเห็นเขากินยาเข้าไปแล้วก็ปิดปากเงียบ แล้วทั้งหกคนที่เหลือที่อยู่ไม่ไกลเหมือนได้รับองค์ความรู้ใหม่

“หลิวหลีปรุงยาคุณภาพระดับ 7 ออกมาได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เป็นนักปรุงยาระดับ 7 แล้วสิ” หลิวเสี่ยวเจียงพูดด้วยความตื่นเต้น

“ยาคุณภาพระดับล่างถือว่าเป็นยาเสีย ไม่เป็นไร นางฟ้า ข้าไม่รังเกียจ เจ้ามียาที่เสียแล้วอยู่เท่าไหร่ เอามันมาปาใส่ข้าให้ตายได้เลย” ฮัวจิงเฟยพูดด้วยท่าทีเกินจริง แต่พูดสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจออกมา

“นี่เป็นข้อแตกต่างระหว่างผู้ถูกเลือกกับพวกเราจริงๆ” หนานกงเหลยเทียนพูด ดูสิดู ว่าเขาเห็นอะไรมา เมื่อครู่เวิ่นเทียนเข้าข้างหลงหลิวหลี ทั้งยังอุ้มนางไว้ในอ้อมกอดแบบไม่ยอมปล่อยมืออีก ถ้าบอกว่าพวกเขาไม่มีอะไรกัน ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ เพียงแต่คนที่น้องชายไปชอบนั้นเอาชนะได้ยากเหลือเกิน!

“ใช่ดังนั้นพวกเราต่างหากที่เป็นพวกไม่รู้ความ” คำพูดของหลินเสี่ยวเจียง ทำให้ทุกคนนึกไปถึงความโง่เขลาของตัวเอง

“ใช่ คนอย่างพวกเรามีสิทธิ์อะไรไปบอกให้ผู้ที่ถูกเลือกทำนั่นทำนี่” ฮัวจิงหงพูดเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจในคำพูดของตัวเอง พวกเขากินอะไรเข้าไป ถึงขนาดกล้าออกคำสั่งกับผู้ถูกเลือก คงต้องพิจารณาตัวเองกันแล้ว

ทุกคนต่างก็นิ่งไป ส่วนอีกฝ่ายทันทีที่กินยา หลิวหลีก็ทำตามขั้นตอนที่เอ๋าเลี่ยบอก ใช้เพลิงวิญญาณไม้เริ่มกำจัดพลังเซียนชั่วร้ายออกก่อน ประสิทธิภาพของยาคือขับพลังเซียนชั่วร้ายในร่างกายให้ออกมา ส่วนเพลิงอัคคีของหลิวหลีเริ่มจากด้านนอก ถือเป็นการใช้สองวิธีการในครั้งเดียว จ้านอวิ๋นจิ่งค่อยๆเริ่มขยับตัว จนกระทั่งมั่นใจว่าภายในร่างกายของจ้านอวิ๋นจิ่งไม่มีพลังชั่วร้ายหลงเหลืออยู่แล้ว แต่หลิวหลีก็ยังไม่วางใจจึงโคจรเพลิงวิญญาณไม้หนึ่งรอบ หลิวหลีถึงยอมวางมือแล้วหลบไปฟื้นฟูพลังเซียน

“ป้อนยาให้เขาอีกเม็ดหนึ่ง หลังจากนี้ก็อยู่ที่ตัวเขาเองแล้ว” เอ๋าเลี่ยพูดสั่งการ จ้านอวิ๋นจุนรีบป้อนยาให้กับจ้านอวิ๋นจิ่งอีกหนึ่งเม็ด มองหลิวหลีที่กำลังฟื้นฟูร่างกายอยู่ด้วยใบหน้าที่แสดงความขอบคุณ ถ้านางไม่ใช่คนที่ใจกว้าง นางก็เป็นคนที่มีใจเมตตา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จ้านอวิ๋นจิ่งก็ฟื้นจากความมืด เขารู้สึกว่าเขาถูกความมืดกดทับไว้นานเหลือเกิน นานจนเขารู้สึกว่าตัวเองถูกกดทับจนแทบจะขาดอากาศหายใจ ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่ามีใครยัดอะไรให้เขา กลิ่นไอความสดชื่นทำให้เขารู้สึกหายใจคล่องขึ้นมาก อีกทั้งยังมีความอบอุ่นที่ถาโถมเข้ามาจากด้านนอก ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกเหน็บหนาวขนาดนั้น

จ้านอวิ๋นจิ่งลืมตาขึ้น รู้สึกเวลาผ่านไปช้าและยาวนานเหลือเกิน

“อวิ๋นจิ่ง เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” จ้านอวิ๋นจุนที่เฝ้าดูอยู่ข้างๆเห็นจ้านอวิ๋นจิ่งลืมตาก็รีบถามขึ้น

“อวิ๋นจุน ข้าเป็นอะไรไป ที่นี่คือที่ไหน” จ้านอวิ๋นจิ่งจำอะไรไม่ค่อยได้ คิดไม่ออกว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่

“ฟื้นแล้วหรือ ฟื้นแล้วก็ลองโคจรพลังดู ดูว่ามีตรงไหนติดขัดอีกไหม” เสียงของหลิวหลีดังลอยมาจากข้างๆ

“หลงหลิวหลี” จ้านอวิ๋นจิ่งหันหน้ากลับมาก็เห็นใบหน้าสดใสของหลิวหลี ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมองเห็นความรำคาญใจแฝงอยู่ จากนั้นความทรงจำของเขาก็ย้อนกลับไปตอนที่เขาเปิดประตูในตอนนั้น

“อวิ๋นจุน รีบหนีไป ในนั้นมีปีศาจมากมาย มีอารมณ์ด้านลบจำนวนมากด้วย” จ้านอวิ๋นจิ่งพูดพลางรีบร้อนดึงจ้านอวิ๋นจุน

“อวิ๋นจิ่ง พวกเราปลอดภัยแล้ว พวกเราได้รับการช่วยเหลือแล้ว” จ้านอวิ๋นจุนพูดขณะมองดูจ้านอวิ๋นจิ่งที่ดึงเขาอย่างร้อนใจ

“อวิ๋นจิ่ง หลงหลิวหลีเป็นคนช่วยเจ้า เจ้าจะต้องขอบคุณนาง นางเป็นคนช่วยเจ้าออกมาจากประตูนั้น นางปรุงยาแล้วก็ใช้เพลิงอัคคีช่วยชีวิตเจ้า” สองอย่างที่เขาพูดทำให้จ้านอวิ๋นจิ่งอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลงหลิวหลีที่มองเขาด้วยความไม่พอใจจะเป็นคนช่วยตน ปรุงยาช่วยตนเอง อีกทั้งยังใช้เพลิงอัคคีช่วยตนอีก

“หลงหลิวหลี บุญคุณในครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย” จ้านอวิ๋นจิ่งพูดอย่างจริงใจ

“ไม่จำเป็นหรอก เจ้าลองเดินพลังดูว่ามีตรงไหนติดขัดอีกหรือไม่” พอมองดูใบหน้าที่จริงใจของจ้านอวิ๋นจิ่ง หลิวหลีก็รู้สึกพิกล ทำไมถึงไม่ค่อยคุ้นชินกับท่าทีที่อ่อนโยนของจ้านอวิ๋นจิ่งเลยนะ

คราวนี้จ้านอวิ๋นจิ่งฟังคำนางอย่างว่าง่าย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพลังบำเพ็ญเพียรของตนเอง เขาค่อนข้างให้ความสนใจ จ้านอวิ๋นจิ่งโคจรเคล็ดวิชาไป 9 รอบ โดยไม่มีจุดติดขัดเลย

“ไม่มี ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว” จ้านอวิ๋นจิ่งกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เจ้าก็กินยาที่เหลือต่อแล้วกัน” หลิวหลีพยักหน้า แล้วบ่นพึมพำว่า “ยาเสียก็คือยาเสีย คุณภาพของยาแย่เกินไป รสชาติก็ไม่ได้เรื่อง ยังไม่ทันได้ปรับอะไรเลยก็กินเข้าไปแล้วหรือ อีกทั้งยังไม่ขมเสียจนทำให้อาการหนักขึ้นด้วย”

ฟังเสียงบ่นพึมพำของหลิวหลี เอ๋าเลี่ยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จ้านอวิ๋นจุนรู้สึกมึนงง หนานกงเวิ่นเทียนใบหน้าเต็มไปด้วยความเอ็นดู ส่วนจ้านอวิ๋นจิ่งไม่รับรู้อะไร

รอจนจ้านอวิ๋นจิ่งหายดีแล้ว จ้านอวิ๋นจุนก็โล่งใจ หกคนที่ยืนอยู่ไกลๆที่เหลือก็ค่อยๆขยับเข้ามาหา

“นางฟ้า ต่อไปนี้ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรข้าก็จะเชื่อฟังเจ้า พวกเราสำนึกผิดแล้ว พวกเราผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่ทำอีก” ฮัวจิงเฟยกล่าวพลางพนมมือ

“ใช่แล้ว น้องหลิวหลี พวกเราสำนึกผิดแล้ว ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรข้าก็จะเชื่อฟัง” หลงเทียนอี้พูดแสดงความรู้สึกออกมา

“ใช่ หลิวหลี พวกเราสำนึกผิดแล้ว ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว” หลินเสี่ยวเสี่ยวพูด

หลิวหลีมองพวกหกคนนี้และบ้านสกุลจ้านอีกสองคนก็รู้สึกเหนื่อยใจมากจริงๆ ทุกคนกลุ่มนี้อายุมากกว่านางถึงสองเท่า ทำไมถึงได้ทำตัวเป็นเด็กน้อยได้น่าขันถึงเพียงนี้

“โอกาสสุดท้ายแล้วนะ หากพวกเจ้ายังเป็นแบบนี้อีก อย่าโทษว่าข้าหนีไปโดยไม่สนใจพวกเจ้าแล้วกัน” หลิวหลีพูดจาดุดัน พอมีครั้งแรก แล้วก็มีครั้งที่สอง ถ้ามีครั้งที่สามอีกละก็ นางกับพวกเขาคงต้องตัวใครตัวมัน ต่อให้หนทางเบื้องหน้านางไปคนเดียวแล้วต้องสิ้นเปลืองแรง บาดเจ็บเท่าไรก็ตามที

…………………………………………………….