บทที่ 115 ฝันกลางวัน

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 115

ฝันกลางวัน

แน่นอนว่าคำพูดนั้นทำให้เขาโดนหมัดหนักมากขึ้นกว่าเดิม

ในตอนบ่าย หลินเฉิงอวี้ก็ได้ถูกพาตัวกลับเรือนของเขาด้วยใบหน้าที่เขียวและม่วง โดยเด็กรับใช้ที่ทำหน้าที่ดูแลเขาเต็มไปด้วยอาการตื่นกลัว ก่อนที่จะนำเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปรายงานให้ ฮูหยินฟัง

หลินเฉิงอวี้นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือแต่ยังเป็นความหวังของฮูหยินอวี้ด้วย เขานั้นเป็นนายน้อยเพียงคนเดียวในจวนมหาเสนาบดี แต่กลับถูกทำร้ายเช่นนี้

นางจึงได้ตามหมออย่างหดหู่และหายาให้หลินเฉิงอวี้ แล้วจากนั้นนางก็ได้ไปหาหลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่ดุดัน

ณ เรือนเชียนเหยียน หลินซีเหยียนแม่ลูกก็ได้นั่งอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนนอกเรือน และกำลังคุยเล่นกันอย่างมีความสุข แต่ในขณะนั้นเองเทียนเอ๋อก็ได้มองไปเห็นฮูหยินอวี้ที่มีสีหน้าดุดันเข้า

“ท่านแม่ แม่มดเฒ่ามาที่นี่ขอรับ” เทียนเอ๋อก็ได้เปิดปากออกมาและพูดอย่างไม่พอใจ

ทันทีที่ฮูหยินอวี้เข้ามาในเรือน นางก็ได้ยินที่เทียนเอ๋อพูดว่านางว่าแม่มดเฒ่า ทำให้นางโกรธจนตัวสั่นขึ้นมา “หลินซีเหยียน เจ้าหลอกลวงคนอื่นมากไปแล้วนะ เจ้าอย่าคิดนะว่าข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้น่ะ?”

หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างสบประมาท “ทำไมล่ะ หรือว่าฮูหยินอวี้จะคิดว่ามือที่หักนั่นยังไม่เพียงพอ?”

ฮูหยินอวี้ก็ได้สติกลับคืนมาและทำให้นางรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ นางนั้นเกือบที่จะหลุดปากไปเรื่องของที่จ้างคนไปฆ่าแล้ว นางจึงได้สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆและสงบสติอารมณ์

“หลินซีเหยียน เจ้าคิดที่จะยอมรับให้ฮูหยินสี่ขึ้นมาเป็น ฮูหยินรองจริงๆเหรอ?”

“ถ้าเกิดว่านางคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชายแล้ว เจ้าคิดว่าที่จวนมหาเสนาบดีนี้จะมีที่ให้เจ้าอยู่อีกเหรอ?”

ฮูหยินอวี้พูดอย่างต่อเนื่อง เพราะหลินซีเหยียนนั้นน่ากลัว น่ากลัวมากพอที่จะพังแผนทั้งหมดของนางได้ นางจึงได้ตัดสินใจที่จะเอาชนะใจหลินซีเหยียน

หากว่านางสามารถกำจัดฮูหยินสี่ได้แล้ว นางก็ไม่ต้องกลัวที่จะไม่สามารถกำจัดหลินซีเหยียนแล้ว

ด้วยสายตาที่คิดคำนวณของฮูหยินอวี้นั้น ทำให้ หลินซีเหยียนรู้ได้อย่างชัดเจนว่านางนั้นต้องการที่จะให้นางกับ ฮูหยินสี่นั้นหันมาสู้กันเอง แล้วตัวนางจะได้นั่งมองดูอยู่ข้างสนาม?

หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัว ฮูหยินอวี้คิดว่าตัวนางโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ?

“คุณหนูรอง ข้ารู้ว่ามีเรื่องเข้าใจผิดกันระหว่างเจ้ากับข้ามากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องกำจัดฮูหยินสี่และลูกในท้องของนางให้ได้เสียก่อน”

ฮูหยินอวี้นั้นยังไม่ยอมแพ้ที่จะพูดเกลี้ยกล่อมนางเรื่อยๆ

หลินซีเหยียนเองก็ดูเหมือนจะเริ่มคล้อยตาม และได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วกล่าว “ทำเรื่องแบบนั้นไปแล้วข้าจะได้อะไร? ใครจะไปบ้าทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองขาดทุนกันล่ะ?”

“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรถึงจะทำให้คุณหนูรองเปลี่ยนใจ? เอางี้เมื่อไรที่เฉิงอวี้นั้นได้สืบทอดจวนมหาเสนาบดี ข้าจะแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งว่ายังไง?” เพื่อที่จะเอาใจหลินซีเหยียนแล้ว ฮูหยินอวี้นั้นยอมที่จะขาดทุน

แต่หากว่านางนั้นสามารถกำจัดฮูหยินสี่ได้ ก็ถือว่าคุ้มค่า

“หรือว่าคุณหนูรองจะยังไม่พอใจอีก?” ในดวงตาของ ฮูหยินอวี้นั้นเต็มไปด้วยเลือดสูบฉีด ซึ่งบ่งบอกได้ถึงความกลัวต่อเด็กที่อยู่ในท้องของฮูหยินสี่

ดวงตาของหลินซีเหยียนนั้นหนาวเย็นมาก และเพียงพอที่จะทำให้ผู้หญิงบ้าที่อยู่ตรงหน้านางนั้นเป็นไข้ได้

“เรื่องของเด็กที่อยู่ในท้องของฮูหยินสี่นั้น ฮูหยินอวี้คงจะต้องหาวิธีเองแล้วล่ะ! ข้านั้นขี้เกียจที่จะร่วมมือกับท่าน” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนาวเย็นมาก

ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆฮูหยินอวี้ก็มองเห็นเงาของฮูหยินเยี่ยจากในตัวของหลินซีเหยียน ผู้หญิงที่ทะนงตนที่ทำให้ผู้คนอยากที่จะกำจัด

“ไม่เร็วหรือช้า สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องเสียใจ” แล้ว ฮูหยินอวี้ก็ได้หันหลังกลับไป ด้วยความรู้สึกผิดบาปที่ผุดขึ้นมาในใจของนาง

ฮูหยินอวี้ที่ออกไปทางด้านหน้าของเรือนนั้น เจียงหวายเย่ก็ได้กลับเข้ามาทางด้านหลังของเรือนพอดี แต่พอมองไปที่ริมฝีปากบางๆที่ปิดแน่นแล้ว นางก็คิดได้ว่าเขานั้นคงจะอารมณ์ไม่ค่อยดี

หลินซีเหยียนนั้นไม่อยากที่จะเป็นเครื่องสังเวยความโกรธ นางจึงได้ไม่พูดอะไรออกไปจะเป็นการฉลาดกว่า แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากเจียงหวายเย่นั้นกลับทำให้รู้สึกน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ

อันอี้ที่โผล่มาอย่างว่องไว จะต้องมีเรื่องด่วนมากมาแจ้งแน่ๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าขององค์ชายแล้วทำให้เขารู้สึกกลัวที่จะเข้าไปใกล้

“มีเรื่องอะไร?” เจียงหวายเย่กล่าวด้วยเสียงเบาๆ

อันอี้ที่ดูเหมือนถูกให้อภัยแล้วก็ได้รีบกล่าวออกมา “มีข่าวแจ้งมาจากหอพันกลว่ารัฐจงกับรัฐต้าเยี่ยนคิดที่จะจัดงานแต่งร่วมกันขอรับ”

ข่าวของหอพันกลนั้นไม่เคยผิดพลาด หรือว่ารัฐต้าเยี่ยนกับรัฐจงนั้นคิดที่จะทำลายความสงบสุขและความรุ่งเรืองที่สร้างมาอย่างยากลำบากกันนะ?

เจียงหวายเย่ก็ได้นิ่งคิดอย่างเงียบๆสักพักหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา “แจ้งเรื่องนี้ไปให้ฮ่องเต้เจียงทราบ”

แล้วอันอี้ก็ได้ถอนตัวกลับไป

เจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนก็ได้นึกภาพฮ่องเต้เจียงกำลังปวดหัวแล้ว เขาก็ได้แอบยิ้มขึ้นมาที่มุมปากของเขา แล้วอารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นอย่างมาก

“องค์ชายไม่กลัวบ้างเหรอว่าหากรัฐต้าเยี่ยนกับรัฐจงสามารถผูกสัมพันธ์กันได้แล้วจะหันดาบมาหารัฐเจียงน่ะ?” หลินซีเหยียนวางแก้วชาลงและถามอย่างสงสัย

เจียงหวายเย่นั้นเป็นถึงเทพสงคราม และตัวเขานั้นก็แบกรับความผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของประเทศอยู่แล้ว แม้ว่าในเวลานี้เขาจะ “ขาพิการ” อยู่ก็ตามเขาก็ยังจะต้องไปที่สนามรบอยู่ดี หรือว่าเขามั่นใจว่าเขานั้นจะเอาชนะได้?

“เสี่ยวเหยียนเอ๋อกำลังเป็นห่วงเปิ่นหวางอยู่เหรอ?” หลังจากที่ได้ยินคำถามของหลินซีเหยียนแล้ว อารมณ์ของ เจียงหวายเย่ก็ดีขึ้นมา

“เอ่อ….” หลิยซีเหยียนก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกนิดหน่อย “ข้าจะไปเป็นห่วงองค์ชายรัตติกาลไปทำไม? ข้ากำลังเป็นห่วงรัฐเจียงต่างหากไม่ใช่ท่าน”

ในช่วงสามคำสุดท้าย หลินซีเหยียนได้พูดออกไปอย่างชัดเจน

“เสี่ยวเหยียนเอ๋อนี่ชอบที่สองหน้าจริงๆ” ปากของ เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างยากที่จะเข้าใจ “ถึงแม้ว่าฮ่องเต้เจียงนั้นจะไร้ซึ่งความอดทน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีสมอง เรื่องเล็กแค่นี้หากว่าเขาแก้ไขไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร?”

ณ พระราชวังหลวง ฮ่องเต้ที่ฟังการรายงานของคนสนิทของเขาแล้วก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดทันที “พวกเขาคิดที่จะทำเหมือนกับรัฐเจียงไม่มีตัวตนงั้นเหรอ? ไม่ได้การ การแต่งงานของพวกเขานั้นจะปล่อยให้ทำสำเร็จไม่ได้ ไปตามมหาเสนาบดีหลินมาเดี๋ยวนี้”

แล้วฮ่องเต้เจียงก็ได้พูดขึ้นอย่างยากลำบาก “ไปตามองค์ชายรัตติกาลมาให้ข้าด้วย”

แล้วขันทีที่ตัวสั่นก็ได้รีบไปเพราะความกลัวราวกับว่าถ้าเขาไปอย่างช้าๆแล้ว ตัวเขาคงได้กลายเป็นที่ระบายอารมณ์โกรธของฮ่องเต้แน่

ในเวลานี้เจียงหวายเย่กับหลินซีเหยียนนั้นกำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ในเรือนเชียนเหยียน บนกระดานหมากรุกสี่เหลี่ยม มีตัวหมากสีขาวและดำอยู่ เจียงหวายเย่นั้นถือหมากสีขาวและหลินซีเหยียนนั้นถือหมากสีดำ

หมากสีขาวและดำนั้นต่างก็ไม่มีใครยอมเผยจุดอ่อนให้อีกฝ่าย และเกมก็ดุดันมาก แต่ทว่าสีขาวนั้นกำลังได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ

“วิธีการเล่นของเสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นเน้นมองการณ์ไกลเกินไป ทำให้หมากไม่ดีนัก” เจียงหวายเย่กล่าวติชม

“แต่สุดท้ายแล้วผลยังไม่ออกมา มันยังเร็วเกินไปที่องค์ชายจะด่วนสรุปผลนะ” หลินซีเหยียนยักคิ้วขึ้นมา แล้วเมื่อวางหมากสีดำในมือนางลงไปถึงแม้ว่าจะมีสภาพใกล้แพ้ แต่นางก็กลับสามารถแก้ไขได้ด้วยหมากตัวนั้น

เจียงหวายเย่รู้สึกชื่นชมขึ้นมา แต่มันก็ยังเร็วเกินไปที่เขาจะยอมแพ้

ในขณะที่เจียงหวายเย่นั้นกำลังกดดันเรื่อยๆอยู่นั้น อันอี้ก็ได้กลับมา “นายท่านขอรับ ฮ่องเต้เรียกตัวท่านไปพบที่พระราชวังหลวงโดยด่วนเพื่อหารือขอรับ”

“เหรอ?” เจียงหวายเย่นั้นพอจะเดาได้อยู่นานแล้ว เขาจึงได้ยืดเสื้อผ้าของเขาแล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ไปบอกเขาทีว่าเปิ่นหวางนั้นไม่สบายจึงไม่สามารถเข้าพระราชวังได้”

“องค์ชาย ไปเถอะเจ้าค่ะ อาจจะมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆก็ได้?” หลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะให้เจียงหวายเย่ออกไป นางจึงได้รีบเกลี้ยกล่อมเขา

ความคิดนี้ของหลินซีเหยียนนั้น เจียงหวายเย่นั้นรู้ดีอยู่แล้ว เขาจึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาก็ได้บังแสงที่ลงมายังหลินซีเหยียนทันที

“ในเมื่อพระชายาอยากที่จะให้เปิ่นหวางไป เปิ่นหวางก็จะขอไปดูเรื่องสนุกเสียหน่อย”

หลังจากที่กล่าวจบเจียงหวายเย่ก็ได้ออกไป

ถึงแม้ว่าจะยังเร็วไปเสียหน่อย แต่หลินซีเหยียนก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมที่จะออกไปยังโรงหมอหุยชุน ภายใต้การเร้าของเทียนเอ๋อ หลินซีเหยียนจึงจำเป็นต้องพาเขาไปด้วย

เดินไปตามถนน ก็มีเสียงผู้คนที่พูดคุยกันเต็มไปหมด

“ข้าได้ยินมาว่าราชครูนั้นตั้งใจที่จะตบแต่งลูกสาวของเขาให้กับองค์ชายรัตติกาลนะรู้ไหม?”