บทที่ 116 ปฏิเสธซูอวิ๋นโยว

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 116

ปฏิเสธซูอวิ๋นโยว

“เจ้าไปฟังมาจากใครกัน? มันผิดกับที่ข้าได้ยินมาเลยนะ เหมือนว่าแม่นางซูนั้นกำลังจะแต่งงานกับเยี่ยจุนเจี๋ยหลานชายของท่านแม่ทัพเยี่ยนะ”

แล้วทั้งสองป้าต่างก็ยืนยันในคำพูดของตัวเอง และเพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่าใครกันแน่ที่ผิดหรือถูก แล้วทั้งสองคนก็ได้ทะเลาะกัน

หลินซีเหยียนนั้นก็คิ้วขมวดขึ้นมา นางนั้นเคยพบกับซูอวิ๋นโยวมาแล้ว ดังนั้นนางไม่น่าจะแต่งกับเยี่ยจุนเจี๋ยแน่ นอกจากนี้เยี่ยจุนเจี๋ยเองก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วด้วย

ส่วนเจียงหวายเย่นั้น…..

นางเชื่อว่าหากว่าเขานั้นไม่ต้องการแล้ว ก็คงไม่มีใครบังคับเขาได้แน่

“ท่านแม่?” เมื่อเห็นหลินซีเหยียนนั้นกำลังเหม่อลอยอยู่ เทียนเอ๋อจึงได้ดึงมือของหลินซีเหยียน

หลินซีเหยียนจึงได้สติกลับมา แต่ทว่านางก็พบคนที่คุ้นเคยด้วยสายตาที่แหลมคมของนาง นางจึงได้ดึงพาเทียนเอ๋อไปด้วยความสนใจอย่างมาก

“ท่านแม่ นี่ไม่ใช่ทางไปโรงหมอหุยชุนนะขอรับ!”

ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมา เทียนเอ๋อก็ได้ถูกปิดปากโดยแม่ของเขา เมื่อเขามองไปข้างหน้าก็พบผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้าไปในโรงเตี๊ยม

ด้วยความสงสัยที่มากขึ้นเรื่อยๆของหลินซีเหยียน ทำให้นางอยากที่จะเข้าไปดู และแน่นอนว่านางก็ลงมือทำจริงๆ

ถึงแม้ว่านางนั้นจะไม่มีวิชาตัวเบา แต่นางก็ยังมีอันซานอยู่ หลินซีเหยียนจึงได้ขอให้เขาพานางไปส่งบนหลังคา และเปิดกระเบื้องแผ่นกระเบื้องลงไป ทำให้มองเห็นสถานการณ์ข้างล่างได้อย่างชัดเจน แต่ทว่านางมองเห็นแค่ซูอวิ๋นโยว แต่นางมองไม่เห็นว่าใครกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามนาง

แต่ทันทีที่ชายคนนั้นออกมาจากมุมอับ หลินซีเหยียนก็จำเขาได้ทันที

ชายคนนั้นก็คือเยี่ยจุนเจี๋ยนั่นเอง!

“ไม่ทราบว่าแม่นางซูนั้นมีธุระอะไรกับข้า?” เยี่ยจุนเจี๋ยคิ้วขมวดขณะที่มีเพียงแค่สองคนอยู่กันตามลำพังในห้องนั้น

เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นไม่อยากที่จะอยู่นานนัก เขานั้นกลัวว่าหากคนอื่นรู้เข้าจะทำให้เกิดเรื่องติฉินนินทาขึ้นได้

ซูอวิ๋นโยวก็ได้มองไปที่เยี่ยจุนเจี๋ยที่ใจร้อน แต่นางก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วมอบชาให้เยี่ยจุนเจี๋ยแก้วหนึ่ง

“พี่เยี่ย นี่คือชาที่ทำมาจากยอดใบชาชั้นเลิศที่ข้าได้มาจากคนที่ข้าเชื่อใจ”

เยี่ยจุนเจี๋ยไม่แตะต้องแก้วชานั้น แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง “แม่นางซูเรียกข้ามาเพื่อดื่มชาอย่างนั้นรึ? ถ้าไม่มีธุระอะไรข้าก็คงจะต้องขอตัวก่อน ข้ายังมีธุระอื่นต้องรีบไปทำ”

“เดี๋ยวก่อน” ซูอวิ๋นโยวในวันนี้ต่างไปจากที่เคยนัก

นางนั้นดูแปลกไป นางได้หยิบแก้วชาที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วส่งให้เยี่ยจุนเจี๋ยอีกครั้ง “พี่เยี่ยดื่มชานี้ก่อนแล้วโปรดสัญญาว่าจะเก็บเรื่องที่ข้าจะพูดต่อไปนี้เป็นความลับด้วย ข้าจะบอกท่านว่าข้านั้นเรียกท่านมาทำไม?”

เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้ดื่มชาแก้วนั้นลงไปโดยไม่ได้สงสัยอะไร ชานั้นเป็นชาที่ดีมาก แต่น่าเสียดายที่ผู้ที่ได้ลิ้มรสชานั้นกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

“พี่เยี่ย ท่านพ่อของข้าคิดจะจับข้าแต่งกับองค์ชายรัตติกาล” ซูอวิ๋นโยวมองไปที่เยี่ยจุนเจี๋ยที่กำลังดื่มชา และปรากฏซึ่งแววตายินดีในดวงตาของนาง

“องค์ชายรัตติกาลนั้นเป็นดั่งมังกรและหงส์ไฟสำหรับผู้คน ข้าขอแสดงความยินดีกับแม่นางซูด้วย” เยี่ยจุนเจี๋ยอย่างไม่เข้าใจว่านางบอกเขาทำไม

ซูอวิ๋นโยวก็ได้มีสีหน้าซีดขึ้นมาเมื่อนางได้ยินเช่นนั้น นางมองไปที่ชายที่อยู่ตรงหน้านางแล้วยิ้มอย่างน่าเวทนา “ข้าไม่ได้ชอบองค์ชายรัตติกาล ข้าไม่ได้คิดและอยากที่จะแต่งงานกับเขาด้วย ท่านหนีไปกับข้าเถอะนะ”

มีความน่าสงสารอยู่ในดวงตาที่สวยงามของนาง แต่ทว่าเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นไม่ได้เข้าใจถึงความเสน่หานี้เลย

แล้วเยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้ลุกขึ้นยืนและตอบปฏิเสธทันที “แม่นางซู ข้านั้นมีคนที่ข้าชอบอยู่แล้ว ข้าคงไม่อาจช่วยเจ้าได้”

พอพูดจบเยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้เตรียมที่จะออกไป ในสายตาของเขานั้น ซูอวิ๋นโยวนั้นเหมือนกับคนบ้า

เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงก่อนที่นางจะทำอะไรบ้าๆไปมากกว่านี้ เขาจำต้องรีบไปจากที่นี่แต่ทว่าในขณะที่เขาลุกขึ้นยืน ก็ได้มีความมืดเข้ามาโจมตีเขา ทำให้เขาตกลงจากเก้าอี้ไป

เขานั้นได้พยายามจับเก้าอี้และกัดฟันพยายามฝืนตัวเองไม่ให้สลบไป

“ฮะๆ พี่เยี่ยคิดที่จะหนีงั้นเหรอ? สายไปแล้วล่ะ” ซูอวิ๋นโยวเดินเข้าไปใกล้เยี่ยจุนเจี๋ยขึ้นเรื่อยๆ

เยี่ยจุนเจี๋ยที่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ได้ถามอย่างโมโห “เจ้าทำอะไรกับข้า?”

ซูอวิ๋นโยวไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่พูดข้างๆหูของ เยี่ยจุนเจี๋ย “พี่เยี่ย วันนี้ข้าจะเป็นภรรยาของท่าน”

“ท่านแม่ ผู้หญิงคนนั้นช่างไร้ยางอายจริงๆ!” เทียนเอ๋อ กล่าวโดยปราศจากซึ่งความกระดากใจ เขานั้นไม่ได้มีสำนึกของการแอบดูคนอื่นเลยแม้แต่น้อย แล้วเสียงที่แหลมเล็กของเขาก็ทำให้คนที่อยู่ด้านล่างได้ยินเข้า

“ใครน่ะ?” อย่างไรเสีย ซูอวิ๋นโยวนั้นก็เป็นบุตรีของตระกูลใหญ่ หากว่าสิ่งที่นางทำนั้นถูกผู้อื่นจับได้แล้วล่ะก็ มันได้กลายเป็นเรื่องแย่ตามมาแน่นางนึกกลัวในใจ

ในเวลานี้พวกนางถูกรู้ตัวแล้ว หลินซีเหยียนจึงได้โปรยผงยาบางอย่างลงไป แล้วจากนั้นนางก็ได้ยินเสียงอะไรหนักๆตกลงไปที่พื้น

แล้วหลินซีเหยียนกับคนอื่นๆก็ได้เข้าไปในหน้าต่างแล้วพาเยี่ยจุนเจี๋ยออกมาโดยปล่อยซูอวิ๋นโยวทิ้งเอาไว้บนพื้นเย็นๆ

โดยไม่ใจว่านางนั้นจะไม่สบายทีหลังหรือไม่

ด้วยการช่วยเหลือของอันซาน หลินซีเหยียนกับคนอื่นๆก็ได้พาเยี่ยจุนเจี๋ยกลับไปยังโรงหมอหุยชุนได้อย่างราบรื่น

แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าซูอวิ๋นโยวนั้นจะเป็นอย่างไรหลังจากนั้น หลังจากที่พวกหลินซีเหยียนพาเยี่ยจุนเจี๋ยออกไปแล้ว เสี่ยวเอ้อก็ได้เข้ามาในห้อง และเพราะตัณหาที่เกิดจากความสวยงามของซูอวิ๋นโยว ทำให้เขาลักหลับนาง

หลังจากที่ซูอวิ๋นโยวตื่นขึ้นมา นางก็คิดว่าเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นเป็นคนทำนาง นางจึงได้บอกเรื่องนี้กับพ่อของนางที่เป็นราชครูอย่างอายๆ

ราชครูก็โกรธมาที่ซูอวิ๋นโยวนั้นทำแผนของเขาพัง แต่ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่เปลี่ยนแผนมาสานความสัมพันธ์กับ แม่ทัพเจิ้นกว๋อ เขาจึงได้เลือกดูฤกษ์ดูวันเหมาะๆที่จะไปที่จวนท่านแม่ทัพ

เยี่ยจุนเจี๋ยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็ได้รู้ว่าแผนของซูอวิ๋นโยวนั้นไม่สำเร็จ และหัวใจของเขารู้สึก โล่งอกออกมา

เขามองไปที่ลูกพี่ลูกน้องที่ไม่สนิทนักที่อยู่ตรงหน้าเขา และขอบคุณนางอย่างจริงใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะน้องซีเหยียนแล้ว ต่อให้ข้าต้องกระโดดลงแม่น้ำยมโลกก็คงไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้แน่”

หลินซีเหยียนนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา นางนั้นมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจของนาง ไม่ว่าเจียงหวายเย่นั้นจะได้แต่งกับซูอวิ๋นโยวหรือไม่นั้น ตอนแรกนางนั้นบอกกับตัวเองว่านางนั้นไม่ได้หึงหวงอะไร แต่นางก็ยังรู้สึกว่าซูอวิ๋นโยวนั้นไม่คู่ควรกับ เจียงหวายเย่อยู่ดี

ณ พระราชวังหลวง ฮ่องเต้เจียงก็ได้มองไปที่องค์ชายเย่ที่กำลังง่วงอย่างหงุดหงิด

“องค์ชายเย่ ตอนนี้ข้ากำลังพูดเรื่องสำคัญมากอยู่นะ องค์ชายไม่มีอะไรจะพูดสักหน่อยเหรอ?” ฮ่องเต้เจียงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก

เจียงหวายเย่นั้นได้ทำท่าฝืนลืมตาแล้วจากนั้นก็กล่าวอย่างไม่เต็มใจ “ในเวลานี้เข้าเป็นแค่องค์ชายที่ไร้ประโยชน์ ข้านั้นห่างจากเรื่องของการเมืองมานานมากแล้ว ต่อให้ข้าอยากที่จะช่วยแบ่งเบาภาระฮ่องเต้ แต่ข้าก็ยังไร้พลังที่จะทำได้อยู่ดี”

“องค์ชายเย่กำลังต่อว่าข้าอยู่เหรอ? ที่ข้าไม่ให้ท่านเข้าร่วมการประชุมการเมืองอย่างนั้นเหรอ?” ฮ่องเต้เจียงจ้องอย่างโมโห ราวกับว่าเขานั้นกำลังจะถึงจุดเดือดแล้ว

ในเวลาเช่นนี้สิ่งที่ไม่สมควรจะให้เกิดขึ้นมากที่สุดคือการทะเลาะกันภายใน ดังนั้นมหาเสนาบดีหลินที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลก็ได้ทำตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย “ฮ่องเต้ได้โปรดใจเย็นลงก่อน องค์ชายเย่นั้นประชวรอยู่ บางทีท่านอาจจะเหนื่อยน่ะ”

ฮ่องเต้ก็ไม่ได้โง่ เขานั้นได้รีบลงบันไดที่มหาเสนาบดี หลินทอดไว้ให้ทันที “ถ้าองค์ชายเย่ไม่สบาย ก็เชิญกลับไปก่อนได้”

เมื่อองค์ชายเย่ได้ยิน ก็ได้กล่าวขอบคุณอย่างขี้เกียจ และกลับออกไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง

ทันทีที่องค์ชายรัตติกาลออกไปแล้ว ฮ่องเต้เจียงก็ได้ขว้างแก้วชาบนโต๊ะลงกับพื้นทันที หลังจากที่แก้วแตกลงไปแล้ว เขายังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี จึงได้ขว้างปาทุกสิ่งที่เขาขว้างได้ทันที

มหาเสนาบดีหลินก็ไม่ได้ห้ามเขาและได้แต่ยืนนิ่งๆ ตัวเขานั้นอยู่ในตำแหน่งมหาเสนาบดีมานานมากแล้ว ด้วยวิสัยทัศน์ของเขาจึงรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ

เมื่อฮ่องเต้นโมโหจนพอใจแล้ว เขาก็ได้หันหน้ามาเผชิญกับปัญหาตรงหน้า “มหาเสนาบดีหลิน ท่านพอจะมีความคิดอะไรดีๆไหม?”