เล่มที่ 4 บทที่ 102 เดินทางขึ้นเขาหลิงจู

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ล่าสัตว์? คิดจะวางแผนอะไรอีกเล่า?

    คำถามพลันปรากฏขึ้นในหัว หรือฮ่องเต้หมิงจะติดนิสัยจากตอนอยู่บ้าน ดังนั้นจึงมาล่าสัตว์ที่ต้าจิ้น?

    “ได้ ข้ารู้แล้ว เจ้าจงกลับไปทูลท่านอ๋องว่าข้าจะตระเตรียมทุกอย่างเอง”

    ดูเหมือนนางจะต้องติดสอยห้อยตามไปด้วยสินะ

    ชิงหูครุ่นคิดขณะมองด้านนอกประตู ร่องรอยของความสงสัยถูกวาดในดวงตา

    “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”

    ตอนที่ข้าออกไปข้างนอกวันนี้ ข้าได้เห็นสัญลักษณ์ของเถาฮวาอู๋ มีเพียงคนของเถาฮวาอู๋เท่านั้นที่จะรู้จักสัญลักษณ์นี้”

    หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าเถาฮวาอู๋ที่สงบเงียบมานานจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

    “เจ้าสามารถสืบให้ข้าได้หรือไม่ว่าพวกเขามีจุดมุ่งหมายใด?”

    ชิงหูเคยบอกว่านักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋ไม่มีทางมาที่เมืองหลวงได้ง่ายๆ

    น่าแปลก ทั้งที่รังของพวกเขาอยู่แถบชานเมืองของเมืองหลวง แต่พวกเขากลับถูกเตือนว่าห้ามไม่ให้เปิดเผยตัวที่เมืองหลวง อีกทั้งห้ามก่อเรื่องในเมืองหลวงเด็ดขาด

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ควรระวังตัวเอาไว้ก่อน

    “ได้ หลังจากนี้อีกสองชั่วโมง ข้าจะนำข้อมูลกลับมาให้เจ้า”

    แม้ปกติชิงหูจะมีท่าทางไม่เอาอ่าว แต่เรื่องงานกลับพึ่งพาเขาได้มากที่สุด

    เมื่อเขาพยักหน้า ร่างของเขาก็หายไป

    ไม่นาน คำสั่งจากไท่จื่อก็มาถึง

    นอกจากหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้แล้ว เจียงหรู๋ฉิน หลินเมิ้งหวู่จำต้องเข้าร่วมการล่าสัตว์ด้วย

    หรือยังไม่คิดยอมแพ้เรื่องดูตัวในงานวันนั้น ดังนั้นจึงคิดจะจับคู่ในงานล่าสัตว์อีกครั้ง

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

    “เย่ อยู่หรือไม่?”

    ทันทีที่สิ้นเสียงของหลินเมิ้งหยา ร่างของเย่พลันปรากฏตรงหน้า

    เจ้าพวกมีวิทยายุทธ์ขั้นสูงพวกนี้นี่หนา คิดอยากจะโผล่ก็โผล่ คิดอยากจะหายก็หาย โชคดีที่นางมิใช่คนขวัญอ่อน

    “ข้าน้อยอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ เชิญพระชายารับสั่งมาได้”

    เย่ยังคงมีท่าทางเย็นชา บางทีใบหน้าภายใต้หน้ากากเองก็คงเย็นชามิแพ้กัน

    “ข้าอยากยืมคนของเจ้าสักคนหนึ่ง วันมะรืนจะต้องไปงานล่าสัตว์ ข้าอยากพาทุกคนในตำหนักไปด้วย เจ้าสามารถหาคนมาเฝ้าตำหนักของข้าได้หรือไม่?”

    หากมีคนคิดจะทำเรื่องอะไรลับหลังแล้วละก็ คนผู้นั้นอาจขัดขวางแผนการของคนเหล่านั้นได้

    นางมิอยากปล่อยให้คนในตำหนักต้องได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นท่ามกลางสถานการณ์ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เช่นนี้ นางจำต้องปกป้องดูแลทุกคน

    “พระชายาได้โปรดวางใจ องครักษ์ลับจะถูกส่งมาเฝ้าตำหนักของพระชายา”

    เย่ส่งเสียงหนักแน่น เพียงได้ยินก็รู้ได้ว่าเขาเป็นคนสามารถพึ่งพาอาศัยได้

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง หากมีเย่อยู่ ตำหนักของนางจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน

    “ดี เช่นนั้นข้าก็วางใจ”

    เมื่อคิดๆ ดู หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าหากปล่อยพระสนมเต๋อเฟยอยู่ที่จวนเพียงคนเดียวจะต้องเหงามากอย่างแน่นอน ดังนั้นนางที่เป็นสะใภ้ควรเข้าไปถวายคำนับ

    “เข้ามา ไปตำหนักหยาเสวียน”

    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว เวลาผ่านไปแล้วถึงสองวัน

    เมื่อถึงรุ่งสาง หลินเมิ้งหยาที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วพาสาวใช้ทั้งสี่และหลินจงอวี้ออกจากประตูไป

    “ทูลพระชายา ท่านอ๋องตามไท่จื่อและองค์รัชทายาทล่วงหน้าไปก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

    เสี่ยวซีคนหนึ่งเข้ามากราบทูล

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง

    “ดี ข้ารู้แล้ว ออกเดินทางได้”

    “ไป”

    หลินขุ๋ยติดตามหลงเทียนอวี้ไป พ่อบ้านเติ้งติดตามหลินเมิ้งหยา

    รถม้าหรูหราสง่างามโลดแล่นบนถนนใหญ่ ปรากฏเป็นภาพเบื้องหลังอันสวยงาม

    ราษฎร์พากันออกมาดูความสวยงาม

    “นายหญิง ไม่มีคนอยู่เฝ้าตำหนักเช่นนี้จะไม่เป็นอะไรจริงหรือเจ้าคะ?”

    ป๋ายจีที่มักสงบนิ่งตลอดเวลารู้สึกดีใจที่ได้ออกมาเที่ยว

    ทุกครั้งนางจะต้องอยู่เฝ้าตำหนัก แต่ครั้งนี้ตำหนักกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน นางกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

    “จะเกิดอะไรได้เล่า? วางใจเถิด ข้าเตรียมการเอาไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เกรงว่าการเดินทางในครั้งนี้มิได้ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น”

    ชิงหูปะปนอยู่กับเหล่าองครักษ์เพื่อคุ้มครองอารักขาหลินเมิ้งหยาบนรถม้า

    รายงานที่เขาได้รับเมื่อวานคือนักฆ่าทุกคนล้วนไปรอท่าอยู่ที่เขาหลิงจู

    แม้เป้าหมายอาจจะไม่ใช่หลินเมิ้งหยา แต่ถึงกระนั้นกลอุบายก็ถูกวางเอาไว้แล้ว

    เพื่อความปลอดภัยของทุกคน หลินเมิ้งหยาจึงเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า

    “นั่นซิ พี่ป๋ายจีวางใจเถิด หากพี่สาวพูดว่าเตรียมการเอาไว้แล้ว จะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”

    หลินจงอวี้ช่วยพูด วันนี้เขาสวมใส่ชุดขนจิ้งจอกสีขาวที่ป๋ายจีทำให้

    เสื้อผ้าชุดนี้ขับให้เขาหล่อเหลาราวกับหยก

    “ใช่แล้ว คนในจวนของเราควรออกมาเที่ยวเล่นบ้าง วันนี้พวกเรามาผ่อนคลายด้วยกันเถอะ”

    หลินเมิ้งหยาที่นั่งอยู่มุมหนึ่งพลิกอ่านหนังสือ

    แม้จะไม่รู้ว่าฮ่องเต้หมิงมีวัตถุประสงค์อันใด แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้

    ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความสุขของป๋ายจื่ออีก

    รถม้าของจวนอวี้คันไม่เล็ก ทั้งหกคนนั่งได้สบาย ๆ

    หลินจงอวี้กลับรู้สึกเบื่อหน่าย เขาอยากขอออกไปขี่ม้า

    บอกให้พ่อบ้านเติ้งตระเตรียม ก่อนที่ม้าสีแดงดั่งลูกพุทราจะถูกจูงเข้ามา

    “นายน้อยอวี้ ม้าตัวนี้ชื่อเลี่ยฮั่ว เป็นม้าที่ท่านอ๋องเตรียมไว้ให้ท่านเป็นพิเศษ งดงามเป็นอย่างยิ่ง”

พ่อบ้านเติ้งเอ่ยอธิบายอยู่นอกรถม้า

    หลินจงอวี้ชื่นชอบเป็นอย่างมาก ลูบไล้หัวม้า ทันทีที่พลิกตัวขึ้น

    มองดูม้าสีแดง ด้านบนคือคุณชายตัวน้อย มุมปากของหลินเมิ้งหยาพลันหยักยิ้มเล็กน้อย

    คำพูดของพ่อบ้านเติ้งทำให้หัวใจของนางอบอุ่น

    ตระเตรียมเอาไว้ให้เป็นพิเศษ?

    ที่แท้ หลงเทียนอวี้ล้วนใส่ใจคนในตำหนักของนางทุกคน

    “ท่านอ๋องดีกับนายหญิงมากจริงๆ”

    ป๋ายจีเป็นคนใส่ใจรายละเอียด เพียงได้เห็นสีหน้าของพระชายาก็รู้ได้ทันทีว่านางกำลังคิดอะไร

    “มีแต่คนบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนเย็นชา แต่ในสายตาของหนู่ปี้[1] ท่านอ๋องดีกับพระชายามากเหลือเกิน พระชายาไอเพียงสองครั้งก็รีบจัดหายาชวนป๋วยปีแป่ก่อ[2]มาให้ เมื่ออากาศเย็น ภายในห้องครัวเล็กมีฟืนไฟตระเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว พระชายาชอบกินอะไรก็จัดหามาให้ แม้แต่น้ำแข็งที่มีราคาสูงเสียดฟ้าเองก็ถูกเตรียมไว้ในห้องเย็น พวกหนู่ปี้ล้วนอิจฉาความรักความเมตตาที่ท่านอ๋องมอบให้พระชายาเหลือเกินเจ้าค่ะ”

    หลินเมิ้งหยาไม่เคยรู้เลยว่าหลงเทียนอวี้จะทำเพื่อนางมากมายถึงเพียงนี้

    รอยยิ้มที่มุมปากพลันอ่อนโยนมากขึ้น

    แต่ถึงอย่างไร นางก็มิอาจเทียบกับท่านหญิงหลินหลางได้

    อยากรู้เหลือเกินว่าหัวใจของหลงเทียนอวี้ จะมีพื้นที่ว่างให้นางสักนิดหรือไม่?

    วางหนังสือในมือลง เลื่อนสายตามองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง

    หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ นางและเขาอาจไม่มีวาสนาต่อกัน

    แต่ถึงกระนั้นพวกนางก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ใช่หรือไม่?

    เช่นนั้นนางจะคิดมากให้รกสมองเพื่อสิ่งใดกัน?

    มองหลินจงอวี้ที่กำลังขี่ม้าด้วยความสนุกสนาน หลินเมิ้งหยาตัดสินใจ ล้มเลิกที่จะหาความวุ่นวายให้สมอง

    เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว

    รถม้าโคลงเคลง แล่นไปบนถนนอยู่นาน ในที่สุดก็เดินทางมาถึงภูเขาหลิงจูอันเป็นเขตล่าสัตว์ของฮ่องเต้

    แม้จะเป็นป่าทึบ แต่มีทุ่งหญ้าโล่งกว้างที่ตีนเขา

    ทุกคนล้วนหาที่ตั้งกันบริเวณตีนเขา

    แม้จะเดินทางอย่างยากลำบากตลอดทั้งวัน แต่ถึงกระนั้นความกระตือรือร้นของพวกบุรุษจึงมิได้จางหายไปเลย

    ทันทีที่มาถึงเขตล่าสัตว์ มีคนจัดเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ รออยู่ก่อนแล้ว

    หลินเมิ้งหยาเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะพาสาวใช้ไปยังกระโจมที่ถูกกางไว้ก่อนแล้ว

    “ท่านอ๋อง พระชายามาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

    หลินขุ๋ยกระซิบที่ข้างหูของหลงเทียนอวี้ หลงเทียนอวี้วางแก้วเหล้าในมือ ก่อนจะหันมองทางด้านหน้ากระโจม

    พวกบุรุษทั้งหมดล้วนเปลี่ยนเป็นชุดเกราะหนังกันหมดแล้ว

    รูปงามสง่า อีกทั้งยังหล่อเหลากว่าพวกบุรุษในเมืองหลวง

    ส่วนพวกสตรีแต่งตัวแตกต่างกันออกไป บางคนสวมใส่กระโปรงยาวประหนึ่งเทพธิดา

    แต่ส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นชุดขี่ม้าที่สะดวกสบายและรัดกุมกว่ามาก

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับโดดเด่นที่สุด

    ด้านหน้ากระโจม ร่างบางสวมใส่ชุดสีแดงดึงดูดสายตาทุกคู่

    บนชุดสีแดงปักดิ้นทองลายดอกโบตั๋น ส่งผลให้เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางยิ่งดูงดงามมากขึ้น

    เส้นผมถูกรวบและประดับไว้ซึ่งมงกุฎหยกสีม่วง

    แตกต่างจากท่วงท่าสง่างามในเวลาปกติ ตอนนี้หลินเมิ้งหยางดงามมีเสน่ห์จนมิอาจมีใครละสายตาไปจากนางได้

    “พี่หาน พี่สะใภ้สามหาได้เหมือนพระชายาไม่ แต่นางเหมือนแม่ทัพหญิงมากกว่า”

    ข้างกายของหลงชิงหานคือเด็กสาวหน้าขาวปากแดงคนหนึ่ง

    เด็กสาวอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น ทว่าหน้าตาน่ารักน่าชัง แต่ถึงกระนั้นกลับส่งความรู้สึกเย่อหยิ่งออกมาเล็กน้อย ในอนาคตจะต้องทำให้เหล่าบุรุษยุ่งยากลำบากใจอย่างแน่นอน

    “เจ้าคงไม่รู้สินะว่าพี่สะใภ้ท่านนี้เก่งกาจเหนือมนุษย์”

    หลงชิงหานยกพัดขึ้นปิดบังใบหน้า ทว่าเขากลับไม่อาจเก็บซ่อนความตื่นตะลึงเอาไว้ได้

    เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสตรีจะสามารถมีความหล่อเหลาเช่นบุรุษได้เช่นนี้

    หยินและหยางรวมเข้าหากันอย่างสวยงาม แม้แต่เขาเองยังอดที่จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยไม่ได้

    ขณะเดียวกัน เขารู้สึกอิจฉาพี่สามขึ้นมา

    “พระชายาอวี้เสด็จ…”

    ขันทีร้องประกาศแสดงตัวตนของหลินเมิ้งหยา

    ส่งยิ้มอ่อนหวาน หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปหยุดข้างกายหลงเทียนอวี้

    “ท่านอ๋อง”

    ริมฝีปากอ้าออก กลิ่นเหล้าคละเคล้าอยู่ในคำพูด ทำให้คนฟังรู้สึกเมามาย

    “นั่งเถิด”

    หลงเทียนอวี้พยักหน้า แต่กลับไม่รู้สึกประหลาดใจ

    ทว่า ร่องรอยของความตกตะลึงปรากฏขึ้นในนัยน์ตาของเขา

    ชายาของเขา ทำให้ทุกคนรู้สึกอิจฉา

    “ฮ่าๆ ทุกครั้งที่ได้เห็นชายาของน้องสาม ก็อดรู้สึกตกตะลึงไม่ได้ น้องสามโชคดีเหลือเกิน ข้าขอดื่มให้เจ้าหนึ่งจอก”

    ไท่จื่อดื่มเหล้าเข้าไปหลายจอกแล้ว ดังนั้นเสียงจึงอ้อแอ้ประหนึ่งคนเมา

    โชคดีที่ที่นี่มิใช่งานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ ดังนั้นหากใครได้ยินคงคิดว่าสองพี่น้องแซวกันเล่นแต่เพียงเท่านั้น

    หลินเมิ้งหยาหุบยิ้ม แต่มิได้ตอบกลับใด ๆ

    นัยน์ตาเผยให้เห็นร่องรอยของความเย็นชา คนบ้ากามเช่นนี้จะขึ้นครองราชย์ได้อย่างไร?

    “ไท่จื่อเอ่ยชมมากเกินไป ข้าว่าสตรียิ่งสวย ยิ่งอันตราย”

[1] หนู่ปี้ คือคำที่ข้ารับใช้แทนตัวเอง แปลว่าบ่าว

[2] ชวนป๋วยปีแป่ก่อ คือ ยาแก้ไอ