บทที่ 106 กงล้อสีทองกลืนตะวัน

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

แต่พอตกกลางคืน เห็นสยงเทียนคุนดูเหมือนจะไม่มีลมหายใจแล้ว จินเฟยเหยาอดเป็นห่วงไม่ได้ ต่อมาก็คิดอีกว่า ถ้าเขาถูกเข้าใจผิดว่าตายแล้ว จากนั้นลากออกมาจากการป้องกันก็สมความปรารถนาของนางพอดี ดังนั้นนางจึงวิ่งไปบอกหัวหน้า รายงานเรื่องที่ตนเองพบเห็น

“หัวหน้า ข้าพบว่ามีคนหนึ่งตายในการป้องกัน ต้องลากออกมาเผาหรือไม่?”

หัวหน้ากำลังนั่งอยู่ด้านล่างเรือเหาะ อารมณ์ไม่ค่อยดี เนื่องจากการเฝ้าจับตาดูผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานเหล่านี้มีความสำคัญไม่เท่าสังหารศัตรูต่อหน้า และไม่สามารถสร้างความดีความชอบในสนามรบ ทั้งยังตักตวงผลประโยชน์ไม่ได้ กำลังอยากให้คนเหล่านี้ตายให้หมดเร็วๆ

ได้ยินคำพูดของจินเฟยเหยา เขาก็กวักมือเรียกผู้คุ้มกันใต้บังคับบัญชา ล้วงยันต์หยกชิ้นหนึ่งโยนไปให้ “ไป เจ้าตามนางไปดู ถ้าตายแล้วก็ลากออกไปเผา”

ผู้บำเพ็ญเซียนรูปร่างกำยำคนนั้นรับยันต์หยกมาแล้วตามจินเฟยเหยาไปดู มีใครตายอีกล่ะ นำเขามาถึงตรงที่สยงเทียนคุนอยู่ จินเฟยเหยาก็ชี้สยงเทียนคุนบนพื้นพลางเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ท่านนี้ เป็นคนผู้นี้ ข้าเห็นเขาไม่ขยับอยู่นานมากแล้ว”

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นมองไปที่สยงเทียนคุน มีโลหิตทั่วร่างจริงๆ ไม่ขยับเขยื้อน เหมือนกับลมหายใจขาดห้วงไปแล้ว เขาล้วงป้ายหยกมาแนบบนการป้องกัน จากนั้นใช้มือคว้าในความว่างเปล่า สยงเทียนคุนก็ถูกเขาดูดมาถึงข้างการป้องกัน จากนั้นเขาจึงแขวนป้ายหยกไว้บนร่าง การป้องกันเล็กๆ อันหนึ่งปรากฏขึ้นรอบกาย เหยียบย่างเข้าไปในการป้องกัน

เห็นท่าทางระมัดระวังของเขา จินเฟยเหยาก็ผิดหวังอย่างยิ่ง นึกว่าเขาจะเปิดการป้องกันออก ถึงตอนนั้นจะดูดสยงเทียนคุนมา และแย่งชิงไปทันที ไหนเลยจะรู้ว่าการป้องกันนี้จะเหยียบย่างเข้าไปได้โดยตรง การป้องกันความปลอดภัยเยอะจริงๆ

ในเมื่อไม่มีหวังจะสำเร็จ จินเฟยเหยาก็ได้แต่คิดวางแผนเรื่องถัดมา หวังว่าผู้คุ้มกันคนนี้จะตาบอด นึกว่าสยงเทียนคุนตายแล้ว ไม่ใช่สลบไป ข่าวที่ได้ยินกลับทำให้คนผิดหวังอย่างที่สุด ผู้คุ้มกันตรวจสอบสยงเทียนคุนอยู่ครู่หนึ่งก็ปัดๆ มือลุกขึ้นยืนเอ่ยกับจินเฟยเหยาว่า “มีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย”

เห็นเขากำลังจะออกมา จินเฟยเหยาจึงรีบเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ข้าว่าท่าทางเขาใกล้จะไม่ไหวแล้ว ถ้าทนถึงพรุ่งนี้ไม่ได้จะทำอย่างไร”

“ตายก็ตายสิ มีอะไรน่าตกใจกัน อย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเซียนที่นี่ก็มีมากมาย ทำไม เจ้ารู้จักเขาหรือ?” ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้รู้สึกแปลกใจนิดๆ มีน้ำใจเกินไปแล้วกระมัง

จินเฟยเหยากระอักกระอ่วนเล็กน้อย หลังจากเหลียวซ้ายและขวาเห็นว่าปลอดคน นางจึงเอ่ยเสียงเบา “ศิษย์พี่ ข้าเห็นว่าคนผู้นี้หน้าตางดงาม ท่านดูใบหน้าของเขาอย่างละเอียดสิ ข้าอยากให้เขามีชีวิตอยู่ จากนั้นมอบให้ผู้อาวุโสเหล่านั้น ถ้าถูกใจพวกเขา ต้องได้รางวัลแน่”

ผู้คุ้มกันมองจินเฟยเหยาอย่างตกตะลึง ยายนี่คิดเยอะจริงๆ หัวไวใช้ได้ เขาก้มหน้าลงเลิกเส้นผมมองดูใบหน้าของสยงเทียนคุนอย่างละเอียด ถึงจะเปื้อนคราบเลือดไปทั้งตัว ทว่าก็บดบังใบหน้างดงามราวกับมารร้ายของเขาไม่ได้ เป็นชายงามจริงๆ ดูเหมือนจะมีผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่คนหนึ่งชื่นชอบชายบำเรอ พรุ่งนี้ส่งมอบไปไม่แน่ว่าจะได้ประโยชน์ไม่น้อยจริงๆ

ถึงจิตใจจะหวั่นไหว เขายังตีหน้าเคร่งยืนขึ้นเอ่ยอย่างลำบากใจ “หน้าตาไม่เลว แค่บาดเจ็บหนักเกินไป เกรงว่าจะอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้จริงๆ” จากนั้นเขาก็มองจินเฟยเหยาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าเป็นคนออกความคิดนี้ อยากช่วยคนก็ต้องให้เจ้าออกแรง

จินเฟยเหยาชักช้าล้วงขวดหยกใบหนึ่งออกมาอย่างไม่เต็มใจ ลังเลอยู่นานจึงเทยาออกมาเม็ดหนึ่ง ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ก็ยื่นมือออกมาจากในการป้องกัน มองนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม รอยาป้อนสยงเทียนคุน จินเฟยเหยาไม่กล้าหยิบยาดีเกินไป นางเคยพูดว่าแม้แต่รองเท้าตนเองยังขายแลกยา ถ้าหยิบยาดีเกินไปออกมา มิทำให้คนสงสัยหรือ

วางยากลีบดอกไม้ขั้นสองเม็ดหนึ่งลงในมือเขา ก็เห็นเขาบีบปากของสยงเทียนคุนให้อ้าออก แล้วยัดยากลีบดอกไม้เข้าไป

เห็นยากลีบดอกไม้เข้าปากสยงเทียนคุนกับตาตนเอง จินเฟยเหยาก็โล่งอก แบบนี้น่าจะทนจนถึงพรุ่งนี้ได้

ผ่านยามราตรีไปโดยไร้เรื่องราวใด จินเฟยเหยาเฝ้าอยู่ข้างการป้องกันตลอด ได้รับคำชมจากทุกคน สตรีผู้นี้ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ทำงานโดยไม่แอบเกียจคร้านสักนิด

ในที่สุดก็รอจนถึงฟ้าสว่าง จินเฟยเหยากำลังรอให้เขาจัดการผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานอย่างกระวนกระวาย สยงเทียนคุนในการป้องกันลมหายใจมั่นคงขึ้นมากเนื่องจากยากลีบดอกไม้ออกฤทธิ์ รอจนใกล้ยามเที่ยงวัน ยังไม่เริ่มจัดการผู้บำเพ็ญเซียน จินเฟยเหยาก็ทนไม่ไหวนิดๆ

นางครุ่นคิด ไปหาผู้บำเพ็ญเซียนที่ป้อนยาด้วยกันกับนางเมื่อวานดีกว่า ถามเขาว่าเมื่อใดจะจัดการกับผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ พวกนางจะได้หาโอกาสส่งมอบชายงามคนนั้นไป ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้กลับไม่รีบร้อน สั่งการจินเฟยเหยาเสียงเบา รอจนท่านเซียนหยวนหยางมา ก็สามารถเริ่มจัดการได้ ไม่ต้องรีบร้อน

ก็ได้ ดูทรงแล้วเกรงว่าต้องรอท่านเซียนหยวนหยางมากล่าววาจาก่อน แค่จัดการผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มหนึ่งมิใช่หรือ ไม่รู้ว่าท่านเซียนหยวนหยางคนนี้มีความเป็นมายิ่งใหญ่เพียงใด ต้องรอให้เขาเอ่ยก่อนจึงกระทำได้ จินเฟยเหยาตำหนิในใจอย่างไม่พอใจ รอการมาถึงของท่านเซียนหยวนหยางอย่างกังวลใจ

เที่ยงตรง ดวงอาทิตย์ร้อนแรงกลางอากาศในทะเลทราย แผดเผาอย่างน่าประหลาด จินเฟยเหยาไม่กล้านำร่มดอกไม้ออกมาบังแสงอาทิตย์ ยืนตากแดดอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง ในขณะนี้เอง บนเรือเหาะที่มีรูปดวงอาทิตย์สีทองมีคนกลุ่มหนึ่งเดินลงมาจากท้ายเรือ

ผู้บำเพ็ญเซียนคนหน้าสุดบนศีรษะสวมกงล้อสีทอง ตลอดร่างสวมชุดยาวแบบจีนสีทอง ทั้งยังสวมเสื้อคลุมกันลมสีทองยาวหกฉื่อตัวหนึ่ง ตลอดร่างเปล่งแสงสีทองเจิดจรัส ปรากฏตัวอย่างโดดเด่นสะดุดตาภายใต้แสงอาทิตย์ ทำให้ดวงตาทุกคนพร่าพราย ด้านหลังของเขามีหนุ่มน้อยสาวน้อยสองแถวติดตามมา ทุกคนมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐาน ชุดยาวแบบจีนสีขาวล้วนมีลวดลายกงล้อสีทอง ทั้งหมดติดตามด้านหลังของเขาอย่างเป็นระเบียบ เดินมาที่การป้องกันซึ่งคุมขังผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานไว้

เห็นฉากใหญ่โตอลังการเช่นนี้ คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดน่าจะเป็นท่านเซียนหยวนหยาง ดูตัวเขาสิ จินเฟยเหยาอดด่าทอในใจไม่ได้ “บ้าจริงๆ ชื่อท่านเซียนหยวนหยาง ก็ถือว่าตนเองเป็นดวงอาทิตย์ ชุดที่สวมก็ไร้สาระจริงๆ แบกดวงอาทิตย์ไว้บนศีรษะ อย่าให้ขำหน่อยเลย”

กลุ่มของท่านเซียนหยวนหยางมาถึงหน้าการป้องกัน มีคนจัดวางเก้าอี้อันกว้างขวางไว้ล่วงหน้านานแล้ว เขาไม่แม้แต่จะยกหนังตาขึ้นสักนิด ก็นั่งลงบนเก้าอี้ เบื้องหน้าถูกจัดเป็นระเบียบ เขี้ยวเล็บของศัตรูทั้งหมดถูกไล่มาถึงด้านข้าง แต่มิอาจะปะทะกับพลังอันแข็งแกร่งของเขา

จินเฟยเหยาไม่ได้ใช้การรับรู้ไปกวาดมองเขา ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมยังสามารถคาดเดาได้ อาศัยพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานของนางใช้การรับรู้ไปควบคุมผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คือการรนหาที่ตาย ความคิดเดียวของนางในตอนนี้คือครุ่นคิดว่าจะพาสยงเทียนคุนไปอย่างไร

เห็นคนกลุ่มนี้นั่งที่นี่ จินเฟยเหยาไม่เข้าใจว่านี่เกี่ยวข้องอะไรกับการกำจัดผู้บำเพ็ญเซียน หรือว่าต้องลากมาไต่สวนทีละคน เล่นเป็นท่านนายอำเภอในโลกมนุษย์ไต่สวนเสร็จจึงค่อยประหาร นางยืนอยู่ด้านข้างแอบมองไปยังสถานที่ซึ่งพบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนหอซวีชิงเมื่อวาน พบว่ามีสามคนยืนอยู่บนหัวเรือเหาะ กำลังมองมาทางนี้

อยู่ไกลไปหน่อย บวกกับนางไม่กล้ามองอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าในนั้นมีไป๋เจี่ยนจู๋หรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเป็นห่วงเรื่องนี้ เห็นท่านเซียนหยวนหยางเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา เอ่ยเสียงต่ำลึกกับศิษย์ข้างกาย “อาทิตย์ร้อนแรงอยู่ตรงศีรษะ เริ่มได้แล้ว”

นี่คือจะกำจัดผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว ทางที่ดีทำให้ข้าพาสยงเทียนคุนไปได้อย่างราบรื่น ในใจของจินเฟยเหยาตื่นเต้นและตึงเครียดสุดๆ นี่เป็นการแย่งเนื้อจากปากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เลยนะ ต้องมีความมุ่งมั่นเพียงใด คงต้องผูกศีรษะไว้บนเข็มขัด[1]ก่อน

ผู้บำเพ็ญเซียนสวมชุดสีขาวลวดลายสีทองเหล่านั้น หลังจากรับคำสั่ง ก็เดินตรงไปยังการป้องกันที่กักขังผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานไว้ทันที ส่วนจินเฟยเหยาก็เบิกตาจ้องมองพวกเขาแน่วนิ่ง ดูว่าจะกำจัดใครเป็นคนแรกสุด

คนที่เดินมาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสี่คน หลังจากพวกเขายืนอยู่นอกการป้องกัน ก็เห็นสหายเซียนหลี่คนเมื่อวานวิ่งมา ใช้ยันต์หยกเปิดการป้องกันทั้งหมดออก ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานเหล่านี้ไร้ยาและของวิเศษ รอบด้านก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ที่ฮึกเหิมดุจมังกรและเสือหลายร้อยคน แม้แต่โอกาสจะหนีก็ยังไม่มี

ต่อให้เปิดการป้องกันออก พวกเขาก็นั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน มีสีหน้าไม่ยี่หระต่อความตาย ทว่าอี้จือในหมู่พวกเขา กลับเหลียวซ้ายแลขวาอย่างมีกำลังใจดี เห็นท่าทางของนาง จินเฟยเหยารู้สึกได้ว่านางต้องฉวยโอกาสหลบหนีแน่ ทว่าจะทำให้ตนเองเสียเรื่องไม่ได้

ผู้บำเพ็ญเซียนสี่คนนี้เดินไปข้างหน้า ลากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมออกมาจากในกลุ่มคน เริ่มจากพลังการบำเพ็ญเพียรสูงก่อนจริงๆ ด้วย เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสองคนนี้ถูกลากมาเบื้องหน้าท่านเซียนหยวนหยาง แล้วผู้บำเพ็ญเซียนสี่คนนี้ก็รีบถอยไปด้านข้าง ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากที่มุงดูต่างตื่นเต้น ราวกับกำลังรออะไรอยู่

มิใช่ว่าไม่เคยเห็นการฆ่าคนเสียหน่อย จะตื่นเต้นทำไม จินเฟยเหยารู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่เหล่านี้น่าขำเกินไป ไม่รู้ว่าฆ่าคนมามากมายเพียงใด ตอนนี้ดูการจัดการผู้บำเพ็ญเซียน ทุกคนก็ตื่นเต้นขึ้นมา ทว่า เรื่องที่เกิดขึ้นต่อมากลับทำให้นางหวาดกลัว

ท่านเซียนหยวนหยางนั่งอยู่บนเก้าอี้กว้างขวาง บนพื้นด้านหน้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่บาดเจ็บหนักสองคน ชีพจรหลายแห่งบนร่างถูกผนึกไว้ ทำให้พวกเขาใช้พลังวิญญาณหลบหนีไม่ได้

ทันใดนั้นกงล้อสีทองบนศีรษะของเขาก็เปล่งแสงสีทองสว่างจ้า ลำแสงสีทองสายหนึ่งยิงลงมา สาดส่องร่างของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสองคน จากนั้นฉากอันน่ากลัวก็เกิดขึ้น ภายใต้การสาดส่องของแสงสีทอง บนร่างผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมของโลกหนานซานสองคนปรากฏเส้นแสงสีเหลืองทีละสาย เส้นแสงสีเหลืองเหล่านี้ ลอยเข้าไปในกงล้อสีทองบนศีรษะของท่านเซียนหยวนหยางตามแสงสีทอง

ครู่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสองคนนั้นก็กลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวสองซาก ปราศจากชีวิต

นี่คือเคล็ดวิชาสำนักมารหรือ? คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวได้ เส้นแสงสีเหลืองที่ดูดไปคืออะไรกันแน่ จินเฟยเหยามองเขาอย่างตกตะลึง หรือว่าโลกเซียวไท่จะไม่ถือว่าสำนักมารเป็นศัตรู สามารถกระทำเช่นนี้อย่างถูกต้องเปิดเผยต่อหน้าทุกคนได้?

ท่านเซียนหยวนหยางดูดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสองคนเสร็จสิ้นก็อารมณ์ดี ให้ศิษย์ใต้บังคับบัญชาดำเนินการต่อ จากนั้นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสองสามคนที่เหลือก็ถูกศิษย์ของเขาลากมาให้กงล้อสีทองดูดจนกลายเป็นศพแห้ง ดูดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มดูดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานต่อ ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานที่ถูกกักขังค่อยๆ ลดลงทีละคน จินเฟยเหยาดูจนหางตากระตุกริกๆ

นางกำลังค้นหาผู้บำเพ็ญเซียนคนเมื่อวานที่วางแผนกับตนเองว่าจะส่งมอบสยงเทียนคุน กลับไม่พบเห็นเขาในกลุ่มคนรอบด้าน จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองบนเรือเหาะ เห็นเขาติดตามด้านหลังผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนหนึ่งอย่างนอบน้อมเดินมาทางด้านนี้พอดี

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนนั้น เป็นบุรุษชัดๆ หน้าตาถือว่างดงาม กลับผัดหน้าทาแป้งแต่งตัวงามหยาดเยิ้ม สวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาดแต่งกายไม่ชายไม่หญิง เห็นแล้วทำให้คนสะอิดสะเอียน

[1] ผูกศีรษะไว้บนเข็มขัด ในสมัยโบราณเวลาไปรบ ตัดศีรษะของศัตรูได้แล้วจะแขวนไว้บนเข็มขัดตรงเอว จากนั้นนำกลับไปรับรางวัล ดังนั้นประโยคนี้หมายความว่า ต้องตายก่อน