วันต่อมาเมื่อขึ้นไปถวายรายงานในตอนเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ตรวจการสวีได้พาฮูหยินและลูกๆ หลานๆ ออกนอกเมืองเพื่อไปจุดธุปไหว้พระที่วัดจิ้งหลิง ซึ่งเวลานี้ไม่เป็นที่สนใจของผู้คนสักเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไร เรื่องที่หลานสาวคนนี้เป็นที่รักของตระกูลสวีนั้น ผู้คนในเมืองต่างก็รู้กันดีแก่ใจและเคยเห็นกับตามาแล้ว ตั้งแต่เรื่องที่ผู้ตรวจการสวีช่วยออกหน้าแทนหลานสาวจนยอมขัดแย้งกับจวนเจ้ากรมและหลีอ๋องอย่างไม่ลังเล ต่อมาในงานแต่งงานชายาติ้งอ๋อง คุณชายตระกูลสวีทุกคนต่างร่วมขบวนส่งตัวเจ้าสาวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มาตอนนี้ชายาติ้งอ๋องหายตัวไปท่ามกลางกองเพลิง เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้ การที่ตระกูลสวีเดินทางไปจุดธูปไหว้พระขอพรให้ชายาติ้งอ๋องที่วัดจึงดูเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่ควรจะสนใจอย่างฮ่องเต้หรือหลีอ๋องนั้น หลายวันนี้ก็ปวดหัวจนแทบจะระเบิดด้วยเพราะคลื่นในราชสำนักที่เกิดจากการที่ชายาติ้งอ๋องหายตัวไป จึงย่อมไม่มีเวลามาสนใจว่าขุนนางของตน เมื่อเสร็จจากการถวายรายงานแล้วจะกลับจวนไปพักหรือจะไปจุดธูปที่วัด
ฉินเจิงที่เป็นเพื่อนสนิทของเยี่ยหลี และกำลังจะเป็นฮูหยินเล็กรองของตระกูลสวีในอนาคต นางจึงได้ติดตามสวีฮูหยินไปด้วย นางเป็นห่วงเพื่อนรักที่หายตัวไปของนางด้วยใจจริง เมื่อเข้าไปในวัดจิ้งหลิง นางได้เข้าไปไหว้พระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ภายในวัดเป็นเพื่อนสวีฮูหยิน สวีฮูหยินเมื่อเห็นลูกสะใภ้ในอนาคตที่เรียบร้อยน่ารักก็ยิ่งรู้สึกพอใจเข้าไปใหญ่ เมื่อไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวีฮูหยินจึงไปนั่งพักอยู่ที่ห้องด้านข้าง ฉินเจิงโบกมือให้สาวใช้ของตนออกไป ก่อนจะนั่งสวดมนต์อยู่ภายในอุโบสถเงียบๆ คนเดียว แต่นางกลับได้ยินเสียงใสดังขึ้นที่ข้างหู จนนางถึงกับสะดุ้ง “คุณหนูฉิน”
ฉินเจิงนึกสะดุ้งในใจ เมื่อหันไปมองก็เห็นมีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอยู่ในชุดสีขาวนวลมายืนอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ฉินเจิงขมวดคิ้ว เพียงรู้สึกว่าชายหนุ่มที่ยืนยิ้มน้อยๆ ให้นางตรงหน้านี้ มองดูคุ้นตาแปลกๆ แต่นางก็มั่นใจว่าตนไม่เคยรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อน “ไม่ทราบว่าคุณชายเป็นใครหรือ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ฉินเจิงลุกยืนขึ้น จ้องเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาระแวดระวัง ก่อนค่อยๆ ก้าวถอยไปอีกฝั่งหนึ่งทีละน้อย เยี่ยหลีมองเห็นท่าทางของนางทั้งหมด นึกยิ้มในใจแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ก่อนสะบัดเสื้อคุกเข่าลงบนฐานรองเข่าหน้าพระพุทธรูป เลียนแบบท่าทางสวดมนต์ของฉินเจิง แล้วจึงหันหน้าไปยิ้มให้กับฉินเจิงที่กำลังมองนางอยู่ “มาที่นี่ก็ย่อมมาเพื่อขอพรสิ คุณหนูฉิน ไม่ต้องตื่นเต้นไป ข้าน้อยกับคุณชายรองสวีนั้นเคยรู้จักกันมานาน รบกวนท่านช่วยบอกคุณชายรองสวีที ข้าน้อยแซ่ฉู่ นามฉู่จวินเหวย” ฉินเจิงอึ้งไปเล็กน้อย ดูจะพอเข้าใจอะไรขึ้นมา จึงพยักหน้าให้เยี่ยหลีอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปบอกคุณชายให้เอง”
“เช่นนั้น ขอบคุณคุณหนูฉินมาก” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ
เยี่ยหลีนั่งพักอยู่ในห้องทางด้านหลังอุโบสถ ที่นี่คือวัดจิ้งหลิง เป็นวัดที่มีคนไปใครมาน้อย ด้วยเพราะตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนัก นอกจากนักบวชที่คอยออกมาปัดกวาดแล้ว ปกติจึงน้อยนักที่จะมีใครมาที่นี่
“หลีเอ๋อร์หรือ”
เยี่ยหลีลืมตาพร้อมลุกยืนขึ้น ก็เห็นสวีหงเยี่ยนและสวีชิงเจ๋อยืนอยู่ที่หน้าประตูขมวดคิ้วมองมาที่นาง เยี่ยหลีจึงยิ้มขึ้นทันที “ท่านลุงรอง พี่รอง จำข้าไม่ได้แล้วหรือ” สวีหงเยี่ยนมองสำรวจนางอยู่นาน ก่อนจะส่ายหน้า “เจ้าเด็กนี่นะ เมื่อกี้ที่เจอกับข้าตอนอยู่ข้างนอกข้าจำไม่ได้จริงๆ” ใบหน้าที่เยือกเย็นอยู่เป็นนิจของสวีชิงเจ๋อดูอบอุ่นกว่าปกติขึ้นหลายส่วน เขาพยักหน้าเงียบๆ เป็นการบอกว่าตนก็จำไมได้เช่นเดียวกัน เยี่ยหลียิ้มอย่างรู้สึกผิด “ข้าเหมือนเห็นท่านลุงรองกำลังคุยกับท่านเจ้าอาวาสอยู่ จึงไม่สะดวกที่จะเข้าไปพบ จึงต้องเชิญท่านลุงรองกับพี่รองให้มาหาที่นี่”
ทั้งสองคนนั่งลง สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้วมองนางที่แต่งตัวเป็นชาย แล้วจึงพูดเสียงดังขึ้นว่า “เจ้าเด็กนี่ ในเมื่อพ้นจากอันตรายแล้วเหตุใดจึงไม่กลับตำหนัก หากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องให้คนส่งจดหมายไปบอกว่าเจ้าไม่เป็นอะไร จดหมายคงได้ส่งออกไปยังอวิ๋นโจวแล้ว เจ้าคิดจะทำให้ท่านตาของเจ้าร้อนใจตายหรือ”
เมื่อเห็นท่านลุงรองโกรธจนไฟแทบลุก ในใจเยี่ยหลีก็รู้สึกผิดขึ้นมาก นางกะพริบตาปริบๆ พร้อมมองเขาอย่างน่าสงสาร “ท่านลุงรอง หลีเอ๋อร์รู้ตัวว่าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่…หากหลีเอ๋อร์กลับไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ครั้งนี้พวกเขาทำไม่สำเร็จ ย่อมวางแผนเล่นงานครั้งต่อไปอย่างแน่นอน แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ ข้าอยู่ในที่ลับ พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง คอยดูว่าใครจะเล่นงานใคร”
สวีหงเยี่ยนถลึงตาใส่นาง “เจ้าวางแผนได้ดีนักล่ะ ตอนนี้คนทั้งเมืองต่างพูดกันว่าติ้งอ๋องนำความโชคร้ายมาให้ภรรยา”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “นั่นก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรมิใช่หรือเจ้าคะ ต่อให้ข้าไม่อยู่ม่อซิวเหยาก็คงแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้แล้ว”
สวีชิงเจ๋อนั่งเงียบอยู่ข้างๆ ฟังพวกเขาคุยกัน ก่อนขมวดคิ้วมองเยี่ยหลีแล้วถามขึ้นว่า “หลีเอ๋อร์ยังมีแผนการอื่นอีกหรือไม่” ชายาติ้งอ๋องไม่อาจปลอมตัวเป็นชายอยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้นานๆ ได้ หากใกล้ชิดกับพวกเขามาเกินไป ถึงอย่างไรวันหนึ่งก็ต้องมีคนรู้ เยี่ยหลีหุบยิ้มบนใบหน้าลงทันที มองหน้าท่านลุงและพี่ชายด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเตรียมตัวจะไปชายแดนใต้”
“ไร้สาระ!” สวีหงเยี่ยนพูดเสียงดังขึ้นด้วยความโกรธ
“ท่านลุงรอง…” เยี่ยหลีได้แต่มองหน้าสวีหงเยี่ยน ในขณะเดียวกันก็ใช้สายตาส่งสัญญาณให้สวีชิงเจ๋อช่วยพูดแทนนาง น่าเสียดายที่สวีชิงเจ๋อกับขมวดคิ้วมองนางด้วยสายตาไม่เห็นด้วยเช่นกัน สวีหงเยี่ยนโบกมือ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว หากเจ้าไม่อยากทนอยู่ในเมืองหลวง ก็ไปอวิ๋นโจวเสีย เจ้าก็ไม่ได้เจอท่านตาเจ้ามาหลายปีพอดีด้วย”
“ท่านลุง…” เยี่ยหลีมองการแต่งกายของตน ช่างไม่เหมาะกับท่าทางอ้อนวอนอย่างหญิงสาวเอาเสียเลย จึงได้แต่มองท่านลุงรองด้วยสีหน้าใสซื่อ “พี่ใหญ่ก็อยู่ที่นั่น ท่านลุงรองไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของข้าหรอกเจ้าค่ะ”
“ติ้งอ๋องรู้ถึงแผนการของเจ้าหรือไม่” สวีหงเยี่ยเอ่ยถาม
เยี่ยหลีรู้สึกผิดในใจ นางยังไม่ได้พบหน้าม่อซิวเหยาเลยด้วยซ้ำ
“หลีเอ๋อร์คิดจะไปทำอันใดที่ชายแดนใต้หรือ” สวีชิงเจ๋อมองหน้าเยี่ยหลีแล้วเอ่ยถามขึ้นตรงๆ
เยี่ยหลีปรายสายตาโอดครวญไปทางเขา แล้วจึงได้ตอบตามความเป็นจริงว่า “ตอนนี้สถานการณ์ทางชายแดนใต้เลวร้ายเสียยิ่งกว่าในเมืองหลวง พี่ใหญ่ไปอยู่ที่ชายแดนใต้คนเดียวข้าไม่วางใจ พอดีกับที่ช่วงนี้ข้าไม่จำเป็นต้องออกไปให้ผู้คนในเมืองหลวงพบหน้าพอดี ข้าจึงอยากลองไปที่ชายแดนใต้ดู” สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่เจ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ทำอะไรตามแต่ความสามารถ เจ้าเป็นลูกผู้หญิงไปแล้วจะช่วยอันใดได้ ส่วนในเมืองหลวง…ติ้งอ๋องคิดจะใช้เรื่องที่เจ้าหายตัวไปมาทำให้ฮ่องเต้กับไทเฮาขัดแย้งกันหรือ”
“พวกเขาขัดแย้งกันมามากอยู่ก่อนแล้ว แต่พวกเขาไม่ควรที่จะดึงตำหนักติ้งอ๋องเข้าไปร่วมด้วย” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีทางที่จะนั่งรอให้คนอื่นมาเล่นงานตลอดไป ท่านลุงคงรู้ว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงต้องไปที่ชายแดนใต้ หากสถานการณ์ชายแดนใต้ไม่นิ่ง ทั้งแผ่นดินต้าฉู่ก็มีโอกาสที่จะต้องตกอยู่ในภาวะสงคราม ในเมื่อหลีเอ๋อร์แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องแล้ว จุดยืนของตำหนักติ้งอ๋องก็คือจุดยืนของหลีเอ๋อร์ ข้าไม่อาจเป็นดังเช่นท่านผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เอาแต่นั่งอยู่แต่ในห้องไม่สนใจเรื่องราวอะไร เป็นคนอื่นก็คงไม่อาจเปิดโอกาสให้ข้าได้ทำเช่นนี้ จริงหรือไม่เจ้าคะ” สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้ว “เจ้า…จัดการเรื่องในตำหนักให้ดี ให้ท่านอ๋องไม่ต้องมีห่วงก็ถือว่าเจ้าได้ทำหน้าที่ของพระชายาอย่างเต็มความสามารถแล้ว”
“ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ย่อมต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ท่านอ๋องสุขภาพไม่อำนวยไม่อาจเดินทางไกลได้ เรื่องที่เขาทำไม่ได้แล้วให้ข้าทำแทนเหตุใดจึงไม่ได้เล่าเจ้าคะ” เยี่ยหลีพูดด้วยความแน่วแน่ เมื่อเยี่ยหลีนึกไปถึงสิ่งที่ม่อซิวเหยาเคยพูดทำให้ใจนางรู้สึกไม่สบายใจ หากสถานการณ์ทางชายแดนใต้ไม่อาจควบคุมได้ จนลุกลามกลายเป็นอย่างที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ ม่อซิวเหยาย่อมนำทหารออกไปรบด้วยตนเองโดยไม่คิดถึงสุขภาพของตนเป็นแน่ เยี่ยหลีไม่กล้าคิดเลยว่า ด้วยสุขภาพของม่อซิวเหยาหากเขาออกไปรบด้วยตนเองจริงๆ เขาจะยังมีชีวิตกลับมาหรือไม่ แล้วยังสวีชิงเฉินอีกคน คุณชายชิงเฉินมีทั้งความรู้และความสามารถก็จริง แต่ตระกูลสวีถึงแม้จะเป็นตระกูลใหญ่ที่อยู่มาเป็นร้อยปี แต่ในเรื่องศิลปะการป้องกันตัวนั้นยังเทียบไม่ได้กับขุนพลมือฉมังของราชสำนักและตำหนักอ๋องอย่างแน่นอน และเยี่ยหลีรู้ดีว่า สวีชิงเฉินเป็นคุณชายสายบุ๋นผู้อ่อนแอและไม่ถนัดการต่อสู้
เยี่ยหลีมองสวีหงเยี่ยนด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านลุงรอง หลีเอ๋อร์รู้ว่าต้องทำเช่นไร จะไม่ให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ของหลานสาวแล้ว สวีหงเยี่ยนจึงได้แต่ทอดถอนใจ “หลีเอ๋อร์ เจ้าเป็นลูกผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องเอาภาระอันใดมาแบกใส่หลังไว้ ไม่ว่าจะเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าหรือจะเป็นติ้งอ๋อง เรื่องของพวกเขาไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ข้ารู้ หากว่าหลีเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องอะไรและทำอะไรไม่เป็น ย่อมสบายใจที่จะอยู่ในที่ปลอดภัยคอยให้คนมาคุ้มกัน แต่ในเมื่อข้าพอช่วยเหลืออะไรได้บ้าง เหตุใดจึงต้องให้พี่ใหญ่ออกไปเสี่ยงตามลำพังเล่าเจ้าคะ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ พี่รอง พี่สาม กับพี่สี่และน้องห้าต่างก็อยากไปช่วงพี่ใหญ่ที่ชายแดนใต้กันทุกคน เพียงแต่ปลีกตัวไปไม่ได้เท่านั้น ตอนนี้ข้าอาศัยช่วงที่ข้ายังหายตัวไป ออกไปช่วยพี่ใหญ่ก็น่าจะทำให้ท่านตาและท่านลุงวางใจมิใช่หรือเจ้าคะ”
สวีหงเยี่ยนถลึงตาใส่นางอย่างไม่เห็นขันด้วย “วางใจหรือ วางใจได้หรือ”
เยี่ยหลีกะพริบตา “ท่านลุงรอง ท่านควรยอมรับว่าข้าเก่งกว่าพี่สามเสียอีก ท่านยังวางใจให้พี่สามไปเข้าค่ายทหารได้ เหตุใดจึงไม่วางใจในตัวข้าเล่า”
“เขาเป็นชาย ตรงไหนหักตรงไหนเจ็บก็ยังไม่เป็นไร แต่เจ้าไหวหรือ” สวีหงเยี่ยนเอ่ย แต่เยี่ยหลีกลับเห็นรอยหวั่นไหวในแววตาของเขา จึงรีบเอ่ยโน้มน้าวต่อว่า “ข้าไม่ได้ไปคนเดียวเสียหน่อย องครักษ์ลับข้างกายข้าก็จะไปกับข้าด้วย ท่านลุงรอง…”
สวีหงเยี่ยนไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่พูดว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็ออกเรือนไปแล้ว เจ้าไปถามติ้งอ๋องก็แล้วกัน หากติ้งอ๋องไม่เห็นด้วย เจ้าจะพูดกับข้าอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์”
“ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ” เยี่ยหลียินดีเป็นอย่างยิ่ง สำหรับนางแล้ว การพูดให้ท่านลุงยอมนั้นยากกว่าพูดให้ม่อซิวเหยายอมเป็นไหนๆ
เมื่อสวีหงเยี่ยนเห็นสีหน้าเต็มไปด้วยความยินดีของนางแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ลูกผู้หญิงอ่อนแอเกินไปนักก็ไม่ดี ก็เหมือนกับน้องสาวของเขา มารดาของเยี่ยหลี แต่หากเข้มแข็งและฉลาดเกินไปก็ยิ่งไม่ดีใหญ่ ก็เหมือนกับหลานสาวคนนี้ เขาได้แต่หวังว่า ติ้งอ๋องจะสามารถจัดการให้นางยอมเชื่อฟังและยอมอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่ก็กลับอวิ๋นโจวไปได้