ตอนที่ 75-1 หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์

ชายาเคียงหทัย

ในป่าลึกนอกวัดจิ้งหลิง ม่อซิวเหยานั่งหลับตาพิงเก้าอี้รถเข็นอยู่เพียงลำพัง แสงอาทิตย์อ่อนในยามเย็นสาดส่องผ่านใบไม้ลงมากระทบบนตัวเขา ทำให้ไอเย็นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเจือความอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย 

 

 

           “ซิวเหยา” เมื่อเยี่ยหลีเดินเข้ามาใกล้ ก็เห็นร่างอันผ่ายผอมและสีหน้าอันเหนื่อยล้าของชายหนุ่มที่นั่งพิงเก้าอี้รถเข็นอยู่ ใจนางกระตุกขึ้นทันที รู้สึกผิดและเป็นห่วงเป็นใยเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  

 

 

ม่อซิวเหยาลืมตาขึ้นเงยหน้ามองนาง เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนระบายยิ้มอ่อนๆ “มิน่าใครๆ ถึงได้ตามหาอาหลีกันไม่พบ อาหลีในตอนนี้หากไม่สังเกตดีๆ ข้าเองก็คงดูไม่ออกเช่นกัน”  

 

 

เยี่ยหลีเดินไปหยุดตรงหน้าเขา ยิ้มให้ม่อซิวเหยาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ขอโทษด้วย ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว” 

 

 

           “อาหลียังไม่คิดที่จะกลับไปหรือ” ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีด้วยสายตาอ่อนโยนพร้อมเอ่ยถามเสียงเบา 

 

 

           เยี่ยหลีมองหน้าเขาแล้วส่ายหน้า “ข้าคิดจะไปที่หนานเจียง[i]เสียหน่อย” 

 

 

           ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “หากอาหลีเป็นห่วงพี่สวี ข้าจะให้เฟิ่งซานไปช่วยเขาที่หนานเจียง”  

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “เหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่อยู่ในเมืองหลวง ในเมืองหลวงยามนี้มีเพียงเฟิ่งจือเหยากับหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่คอยช่วยงานท่าน จะให้ส่งเฟิ่งจือเหยาไปอีกคนได้อย่างไร อีกอย่าง เวลานี้ก็ไม่ใช่ช่วงที่ดีที่ข้าจะกลับไป มิใช่หรือ” หากกลับไปตอนนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีการสืบความว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง ก็เหมือนกับที่ม่อจิ่งหลีเคยบอกไว้ เพื่อเห็นแก่เหน้าของตำหนักติ้งอ๋อง จึงมิอาจปล่อยให้คนที่จับตัวพระชายาติ้งอ๋องลอยนวลไปได้ และหากตำหนังติ้งอ๋องตั้งตัวเป็นศัตรูกับม่อจิ่งหลีแล้ว คนที่เป็นตาอยู่และจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไปก็คือม่อจิ่งฉี ถ้าเช่นนั้นสู้เป็นอย่างตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ พระชายาติ้งอ๋องหายตัวไปจากวังหลวง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ทุกคนต่างเข้าข้างติ้งอ๋อง แล้วปล่อยให้ม่อจิ่งหลีกับม่อจิ่งฉีต่อสู้กันอย่างลับๆ ไปก็แล้วกัน  

 

 

ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะรู้แล้วว่านางหลุดรอดไปได้ แต่เขาก็น้ำท่วมปาก ต้องกล้ำกลืนความจริงเอาไว้ ถึงอย่างไรเขาคงมิอาจยอมรับว่าตนเป็นคนลักพาตัวนางไปแล้วยังปล่อยให้นางหลุดมือไปได้อีกกระมัง 

 

 

           “หากอาหลีเบื่อที่จะอยู่ในเมืองหลวง ไปอยู่ที่อวิ๋นโจวก็ยังได้ รอให้เรื่องจบก่อนแล้วข้าจะไปรับเจ้ากลับเมืองหลวง ดีหรือไม่” ม่อซิวเหยาดึงเยี่ยหลีมาข้างหน้าตน ก่อนเงยหน้าขึ้นถาม 

 

 

           เยี่ยหลีกัดริมฝีปาก มองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าแน่วแน่ นางรู้ว่าชายผู้นี้ต้องการปกป้องนาง แต่ถึงนางจะรู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งใจ แต่เนื้อแท้ของนางมิใช่หญิงสาวผู้อ่อนแอที่เอาแต่ยืนมองคนอื่นออกไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่หลังผู้ชายได้ อีกทั้ง ที่นางทำเช่นนี้มิใช่เพื่อม่อซิวเหยาเท่านั้น แต่ญาติพี่น้องของนางก็เข้าไปมีส่วนพัวพันกับศึกในครั้งนี้ อย่างพี่ชายของนาง และเดาได้เลยว่าในอนาคตอาจโยงไปถึงผู้ใหญ่ที่รักใคร่เอ็นดูนางอย่างท่านลุงและท่านตาที่อายุมากแล้วด้วย 

 

 

           “ข้าจะพาองครักษ์ลับไปด้วย จะไม่พาตนเองไปอยู่ในจุดเสี่ยงแน่นอน” เยี่ยหลีเอ่ยปฏิเสธข้อเสนอของม่อซิวเหยาเบาๆ 

 

 

           ในดวงตาอบอุ่นของม่อซิวเหยาปรากฎแววผิดหวังขึ้นอย่างชัดเจน เยี่ยหลีรีบเมินหน้าหนี ตั้งแต่ใกล้ชิดกันมาครึ่งปี นางค่อยๆ เคยชินกับท่าทางและน้ำเสียงที่อบอุ่นและราบเรียบของม่อซิวเหยา น้อยครั้งนักที่ม่อซิวเหยาจะขอร้องอะไรนาง แต่จู่ๆ เยี่ยกลับพบว่าถึงแม้ม่อซิวเหยาจะขอร้องนางน้อยครั้งเพียงใด แต่ก็น้อยครั้งนักอีกเช่นกันที่นางจะทำสำเร็จ จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะมองจากมุมใด ก็ดูเหมือนนางจะไม่ผ่านเกณฑ์ภรรยาที่ดีเลยเสียเลย  

 

 

“อาหลี ขอโทษด้วย ทั้งหมดเป็นเพราะข้า…” 

 

 

           “ไม่ใช่!” เยี่ยหลีเอ่ยขัดขึ้น “ข้ารู้ว่า หากข้ายินดีข้าสามารถหลบอยู่ในที่ที่ปลอดภัยไปได้ตลอด ท่านจะจัดการให้ข้าทุกอย่าง แต่ว่า…ซิวเหยา ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ข้าไม่อยากยืนหลบอยู่หลังท่าน หากข้าตัดสินใจที่จะจับมือใช้ชีวิตกับผู้ใดไปชั่วชีวิตแล้ว ข้าหวังว่าข้าจะสามารถยืนข้างๆ เขา ไม่ใช่หลบอยู่ใต้ปีกเขา ท่าน…เข้าใจหรือไม่” 

 

 

           ปลายนิ้วของม่อซิวเหยากระตุกน้อยๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พักใหญ่เขาถึงได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เช่นนั้น…ระวังตัวด้วย อาหลี” พูดจบ เขาก็หยิบแถบคาดเอวผ้าไหมสีแดงที่ผูกหยกชิ้นหนึ่งไว้ลงบนมือเยี่ยหลี พร้อมระบายยิ้มอ่อนๆ “เก็บไว้ให้ดีๆ อย่างทำหายเสีย” 

 

 

เยี่ยหลีหยิบหยกขึ้นจับเล่นในมือ หยกมันแพะชั้นดีที่นำมาแกะสลักเป็นรูปมังกรหยาจื้อ* ถึงแม้จะแกะสลักจากหยกขาวที่ดูอบอุ่น แต่ก็ยังคงทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงความดุร้ายและป่าเถื่อนรวมถึงรังศีสังหารของมังกรหยาจื้อ เยี่ยหลีจับเล่นในมือพร้อมมองม่อซิวเหยาแล้วถามว่า “สิ่งนี้คือ” 

 

 

           ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ “เครื่องประดับหยกของที่ตกทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ข้าคิดจะให้อาหลีนานแล้ว อย่าทำหายเสียเล่า สิ่งนี้มีความสำคัญเช่นเดียวกับกระบี่หลั่นอวิ๋น เป็นสมบัติของตระกูล” 

 

 

           เยี่ยหลีเก็บเครื่องประดับหยกชิ้นนั้นไว้ โดยมิได้พูดอันใด 

 

 

           เมื่อมองแผ่นหลังของเยี่ยหลีค่อยๆ เดินหายไปในป่า รอยยิ้มและสีหน้าอบอุ่นของม่อซิวเหยาก็ค่อยๆ หายไป เขาก้มลงมองขาทั้งสองข้างที่ใช้การไม่ได้ ในดวงตาอันราบเรียบๆ มีไอดุร้ายและไม่ยินยอมปะทุขึ้น 

 

 

           ปัง! เขาสะบัดมือก่อนเกิดเสียงดังขึ้นที่ลำต้นของต้นไม้ใหญ่แล้วโค่นลงทันที ม่อซิวเหยากระแอมไออยู่หลายที ก่อนทิ้งตัวลงเอนพิงเก้าอี้รถเข็นด้วยสีหน้าอ่อนแรง “ข้ามันช่าง…ไร้ประโยชน์จริงๆ…” 

 

 

           “ด้วยสุขภาพของท่านอ๋องในยามนี้ อย่าได้โกรธเกรี้ยวง่ายนักเลยจะดีกว่า” เสิ่นหยางเดินออกมาจากในป่า ขมวดคิ้วมองต้นไม้ที่โค่นล้มอยู่ที่พื้น เขาเดินมาข้างหน้าก้มมองจุดแดงบนผ้าเช็ดหน้าที่ขาวสะอาดในมือม่อซิวเหยา เป็นอย่างที่ตนคาดไว้ อาจิ่นที่เดินตามหลังเสิ่นหยางมา มองม่อซิวเหยาด้วยความเป็นห่วง 

 

 

           “พระชายาช่างเป็นหญิงที่พิเศษยิ่งนัก ท่านอ๋องควรยินดีที่ได้แต่งงานกับพระชายาเช่นนี้ถึงจะถูก” เสิ่นหยางมองไปตามทางที่เยี่ยหลีเดินหายไปอย่างใช้ความคิด แล้วจึงเอ่ยพูดขึ้น 

 

 

           ม่อซิวเหยาพูดเสียงเย็นขึ้นว่า “ท่านจะบอกว่า ข้าควรดีใจที่ให้พระชายาของตนเองออกไปเสี่ยงภัยด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ” 

 

 

           เสิ่นหยางมองมือเขาที่บีบแน่นอยู่บนหัวเข่า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงของผู้อาวุโสที่น้อยนักจะได้ยินว่า “ถึงแม้นี่อาจทำลายศักดิ์ศรีของท่านอ๋องไปบ้าง แต่ข้าคิดว่าอันที่จริงพระชายามิจำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากท่านจนเกินไปนัก ท่าทางของพระชายาในตอนนี้ดูเป็นตัวตนที่แท้จริงเสียยิ่งกว่าท่าทางสง่างามเมื่อยามที่อยู่ในตำหนักเสียอีก มิใช่หรือ หรือว่า ติ้งอ๋องจะเป็นเหมือนชายหนุ่มหัวโบราณทั่วไปที่ชื่นชอบหญิงสาวที่ต้องพึ่งพิงท่านทุกเรื่องประหนึ่งดอกทู่ซือหรือ” 

 

 

           “พอแล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเสียงขรึม “ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร กลับตำหนัก!” 

 

 

           อาจิ่นเดินเข้ามาเข็นม่อซิวเหยาออกจากป่า เสิ่นหยางที่อยู่ด้านหลังส่ายหัวน้อยๆ ก่อนเดินตามออกไป 

 

 

 

 

 

           ตำหนักหลีอ๋อง 

 

 

           ม่อจิ่งหลีนั่งอยู่ในห้องหนังสือ มองคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยสายตามุ่งร้าย “เจ้าจะบอกว่า จนถึงตอนนี้เจ้ายังหาร่องรอยของเยี่ยหลีไม่เจออีกงั้นหรือ” 

 

 

           ชายหนุ่มวัยกลางคนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นรับรู้ได้ถึงความโกรธของม่อจิ่งหลีอย่างชัดเจน นึกร้องโอดครวญอยู่ในใจ “ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยได้ส่งคนออกไปค้นหาพระชายาติ้งอ๋องโดยละเอียดจากจุดที่พระชายาหายตัวไปโดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยลี้แล้ว แต่ค้นหาร่องรอยของพระชายาติ้งอ๋องไม่พบเลยพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเยาะหยัน “เยี่ยหลีมิได้กลับไปที่ตำหนักติ้งอ๋องและมิได้กลับไปที่บ้านตระกูลเยี่ยหรือตระกูลสวี หรือว่านางสามารถลอยขึ้นฟ้าหรือหายลงดินไปได้อย่างนั้นหรือ”  

 

 

ชายหนุ่มวัยกลางคนรีบตอบว่า “ท่านอ๋อง ถึงแม้พวกเราจะวางอุบายไว้บนตัวม้า แต่ดูเหมือนพระชายาติ้งอ๋องจะรู้ถึงจุดนี้ นางให้ม้าวิ่งแยกไปทางตะวันออกและตะวันตก ทำให้คนที่ติดตามไปของพวกเราต้องกระจายกันออกตาม ดังนั้น…ยามนี้จึง…” 

 

 

           “ดังนั้นยามนี้เจ้าเลยจะบอกข้าว่า ปัญญาของพวกเจ้ายังสู้ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้เลยสินะ” ม่อจิ่งหลียิ้มเย็นพร้อมเอ่ยประชด 

 

 

           ชายหนุ่มวัยกลางคนก้มหน้าลงด้วยความอับอาย แต่ในใจอดนึกเยาะหยันไมได้ว่า พระชายาติ้งอ๋องเป็นหญิงสาวธรรมดาที่ใดกัน ท่านอ๋องเองก็เคยถูกนางเล่นงานมาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ดังนั้นที่พวกเขาทำนางหลุดมือไปก็ควรเป็นเรื่องเข้าใจได้มิใช่หรือ 

 

 

           “ไสหัวไปซะ! คอยจับตาดูตำหนักติ้งอ๋องไว้ให้ดี ข้าไม่เชื่อว่าเยี่ยหลีจะไม่กลับไป!”  

 

 

เมื่อไล่ลูกน้องออกไปแล้ว ม่อจิ่งหลีนั่งจมอยู่กับความคิดของตนเอง เยี่ยหลีหนีไปได้แล้วแต่มิได้กลับตำหนัก เป็นเรื่องที่เกินการคาดเดาของม่อจิ่งหลีไปมากจริงๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตนควรเบาใจดีหรือควรโกรธดี ทางเลือกสองทางนี้ ประหนึ่งให้เขาเลือกว่าจะเผชิญหน้ากับตำหนักติ้งอ๋องหรือจะเผชิญหน้ากับเสด็จพี่ฮ่องเต้ของเขาอย่างไรอย่างนั้น หากเยี่ยหลีกลับตำหนักติ้งอ๋องอย่างปลอดภัย ไม่ว่าเขาหรือม่อซิวเหยาต่างก็ไม่มีทางถอย ถึงเวลานั้นคนที่ได้ประโยชน์อย่างไรก็คือเสด็จพี่ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรนั่น แต่ยามนี้…ม่อซิวเหยาวุ่นอยู่แต่กับการตามหาเยี่ยหลี แล้วยังคอยหาเรื่องร้อนใจให้ม่อจิ่งฉีแทนเขา ซึ่งดูว่าเขาควรใช้โอกาสนี้ในการ… เพียงแต่หากเขากับม่อจิ่งฉีเกิดพ่ายแพ้ทั้งคู่ขึ้นมา… 

 

 

           “ท่านอ๋อง เป็นอันใดไปเพคะ อารมณ์ไม่ดีหรือ” หญิงสาวที่ดูอ่อนหวานและนุ่มนวลเดินออกมาจากห้องด้านใน มองม่อจิ่งหลีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม 

 

 

           “เยี่ยหลียังไม่กลับตำหนัก ยาสะกดรอยที่เจ้าวางไว้ใช้ไม่ได้ผลเอาเสียเลย ตอนนี้เยี่ยหลีหายตัวไปแล้ว” ม่อจิ่งหลีมองหญิงสาววัยกระเตาะที่งดงามและน่ารักใคร่ตรงหน้า ก่อนเอ่ยเสียงขรึมขึ้น  

 

 

เสี่ยวอวิ๋นที่ยามนี้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายมอซออย่างสาวใช้ออกแล้ว ทำให้นางดูสวยงามขึ้นกว่าเดิม แววตานางมีประกายแปลกไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “พระชายาติ้งอ๋องผู้นี้มีความสามารถอยู่พอตัวทีเดียว ยาจุยหุนเซียงที่ข้าใช้นั้น แม้แต่นักวางยาพิษฝีมือดียังไม่อาจรู้ได้เลย” นางเอนใบหน้าไปคลอเคลียกับผมเปียที่อยู่ด้านหน้า เสี่ยวอวิ๋นกะพริบตามองม่อจิ่งหลี “ต้องให้ข้าออกตามหาพระชายาติ้งอ๋องหรือไม่ ข้าต้องหาตัวนางพบได้แน่ๆ” 

 

 

           ม่อจิ่งหลีปรายตามองนาง “หาตัวนางหรือ หากหาตัวนางพบแล้วเจ้าจะยังกลับมาได้หรือ”  ความสามารถของเยี่ยหลีมีความตื้นลึกหนาบางเพียงไรนั้น ม่อจิ่งหลีที่ประมือกับนางมาหลายครายังสืบรู้ได้ไม่หมดเลย อีกทั้งองครักษ์ลับสี่คนข้างกายนางนั่นก็มีฝีมือไม่ธรรมดา หากแค่เสี่ยวอวิ๋นเพียงคนเดียวคงถูกพวกมันฆ่าตายจนแม้แต่ศพก็คงไม่ได้กลับมา  

 

 

“เจ้าอยู่ในตำหนักเงียบๆ อย่าได้ออกไปไหนมาไหนเป็นพอ หากเจ้าทำแผนข้าเสีย ข้าจะไม่สนว่าจะตอบคำถามพี่สาวเจ้าได้ดีหรือไม่หรอกนะ”  

 

 

เสี่ยวอวิ๋นกัดริบฝีปาก จ้องม่อจิ่งหลีด้วยสายตาต่อว่า น่าเสียดายที่ม่อจิ่งหลีมิใช่คนที่ทะนุถนอมหยกงามในมือ จึงเพียงส่งเสียงเหอะอย่างเย็นชาก่อนหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นอ่าน เมินเฉยต่อเสี่ยวอวิ๋นโดยปริยาย 

 

 

แววตาเฉลียวฉลาดของเสี่ยวอวิ๋นเปลี่ยนไปทันที นางเดินไปข้างกายม่อจิ่งหลีก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “พี่จิ่งหลี ข้าช่วยท่านวางยาพิษม่อซิวเหยาและฮ่องเต้ให้ตายไปเลยดีหรือไม่” 

 

 

           “หากเจ้าอยากตายนักก็เชิญไปลองดูได้เลย” ม่อจิ่งหลีเอ่ย นางคิดว่าหลายปีมานี้ไม่มีคนคิดหาทางวางยาม่อซิวเหยาหรือ แต่ม่อซิวเหยาที่ร่างกายพิกลพิการซ้ำยังเจ็บออดๆ แอดๆ นั่นกลับยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนพวกนักฆ่าเหล่านั้นกลับหายไปไม่ได้กลับมา แม้แต่ศพก็ยังมิรู้ว่าไปอยู่ที่ใดเลย 

 

 

 

 

 

 

 

 

*หนานเจียง ในที่นี้ หมายถึงดินแดน ที่ติดกับชายแดนใต้ของต้าฉู่ 

 

 

* หยาจื้อ ตามตำนานคือลูกชายมังกรตัวที่เจ็ด มีลักษณะนิสัยดุร้าย โกรธง่าย มีรังสีแห่งการสังหาร ในสมัยโบราณ นิยมนำมาทำเป็นด้ามอาวุธ หรือลวดลายอาวุธ เพื่อให้ผู้ใช้อาวุธมีความฮึกเหิม เป็นการเพิ่มพลังใจ และสร้างความกล้าหาญให้กับผู้ใช้อาวุธ