ตอนที่ 75-2 หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์

ชายาเคียงหทัย

เมืองกว่างหลิง เขตหนานเจียง

 

 

           บรรยากาศพื้นที่ทางตอนเหนือที่ยังมีไอเย็นของฤดูใบไม้ผลิพัดอยู่นั้น ผิดกับสภาพแวดล้อมของหนานเจียงในต้นเดือนสามนี้ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่งอย่างสิ้นเชิง

 

 

เมืองกว่างหลิงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทางใต้ ทั้งยังเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ก่อน ถึงแม้ราชวงศ์ก่อนจะล่มสลายไปนานแล้ว แต่เมืองกว่างหลิงที่เป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของทางใต้นั้น กลับไม่มีความสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย และด้วยเหตุที่ว่าช่วงปีแรกในรัชสมัยปฐมฮ่องเต้ก็เคยตั้งเมืองหลวงอยู่ที่นี่ ถึงแม้ต่อมาจะได้อพยพย้ายเมืองหลวงไปทางตอนเหนือ แต่เมืองกว่างหลิงก็ยังคงอยู่ในฐานะของเมืองหลวงรอง เมื่อเทียบกับเมืองหลวงของต้าฉู่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการเมืองและการทหารแล้ว เมืองกว่างหลิงจะค่อนไปทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจเสียมากกว่า ในสี่พ่อค้าที่มั่งคั่งที่สุดของต้าฉู่ มีถึงสามคนที่มีถิ่นพำนักอยู่ในเมืองกว่างหลิง ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมืองกว่างหลิงนั้นร่ำรวยและมั่งคั่งกว่าเมืองหลวงที่อยู่ทางตอนเหนืออยู่มากพอตัวทีเดียว

 

 

           ในยามค่ำคืน เยี่ยหลีเดินทอดน่องสบายๆ ไปตามถนนที่พลุกพล่านและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอิสตรี สองฟากถนนที่จ้อกแจ้กจอแจนั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา กลิ่นผงแป้ง และเสียงดนตรีเครื่องสายที่ลอยดังมาเข้าหู

 

 

องครักษ์ลับสามที่ติดตามเยี่ยหลีอยู่นั้นต้องคอยกันหญิงสาวที่เข้ามาดึงแขนพระชายาของตนด้วยอย่างเป็นกันเองด้วยท่าทางเคอะๆ เขินๆ ในใจนึกร้องโอดครวญ หากเขารู้แต่แรกว่าพระชายาจะมาเดินในที่แบบนี้ เขาคงไม่แย่งกับพี่ใหญ่ขอเปลี่ยนหน้าที่กันหรอก ฮือๆ…หากท่านอ๋องรู้ว่าเขาตามพระชายามาเดินอยู่ในย่านหอนางโลม เขาจะต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่

 

 

           เยี่ยหลีเดินไปก็คอยหันมองท่าทางขัดเขินขององครักษ์ลับสามไปด้วย จนเมื่อองครักษ์ลับสามใกล้จะรับมือไม่ไหวแล้ว นางจึงได้หยุดฝีเท้าลงก่อนหันไปพูดกับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ถึงแล้ว”

 

 

           องครักษ์ลับสามถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองริมถนนนั้น ภายใต้บรรยากาศยามค่ำคืน ริมทะเลสาบอันเงียบสงบ มีตึกหอที่สวยสง่าหน้าตานำสมัยอยู่หลังหนึ่ง ป้ายเหนือประตูรูปมังกรบินหงส์ดำเนินนั้นมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์’

 

 

           ตัวเขาเป็นองครักษ์ลับแห่งตำหนักติ้งอ๋องที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ ย่อมรู้ดีว่าหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์นั้นเป็นสถานที่เช่นไร หอนางโลมอันดับหนึ่งในใต้หล้า ได้ยินว่าที่นี่มีสุราชั้นเลิศที่หอมหวานที่สุด อาหารรสเลิศที่สุด และหญิงสาวที่งดงามและมากความสามารถที่สุด ที่นี่จึงเป็นสถานที่ในฝันของชายหนุ่มทุกคนที่อยากจะมัวเมาอยู่ในความฝันไม่ยอมตื่น “คุณชาย”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มพร้อมเลิกคิ้วให้เขา “ทำไมหรือ หอนางโลมอันดับหนึ่งในใต้หล้ายังไม่เข้าตาเจ้าอีกหรือ”

 

 

           องครักษ์ลับสามยิ้มขื่นๆ “คุณชาย พวกเราจะเข้าไปจริงๆ หรือขอรับ”

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “หรือเจ้าคิดว่าข้าพาเจ้ามาเดินเล่นอย่างนั้นหรือ ไปกันเถิด” เยี่ยหลีคลี่พัดพับในมืองออก ก่อนเดินอมยิ้มเข้าไปในหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์

 

 

           ที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ได้ชื่อว่าเป็นหอนางโลมอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านั้น ย่อมมีสิ่งพิเศษที่ไม่เหมือนกับที่อื่น เมื่อเดินเข้าไปยังโถงใหญ่ คนที่ออกมาต้อนรับมิใช่แม่เล้าที่แต่งหน้าแต่งตัวด้วยสีสันจัดจ้านอย่างแม่เล้าทั่วไป แต่เป็นหญิงสาววัยใสหน้าตางดงามสะอาดสะอ้านแต่งหน้าบางๆ สองคน เมื่อเห็นเยี่ยหลีที่มาในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนปักลายเมฆด้วยด้ายสีเงิน สายคาดเอวด้านหนึ่งมีหยกชั้นดีห้อยอยู่ ในมือถือพัดด้วยท่วงท่าสบายๆ ดูท่าทางมิใช่คนธรรมดาจึงรีบเดินออกมาต้อนรับ “คารวะคุณชาย คุณชายท่านนี้ดูไม่คุ้นหน้าเลย เพิ่งเคยมาที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์เป็นครั้งแรกหรือเปล่าเจ้าคะ”

 

 

           เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมพยักหน้า “ไม่เลว ข้าเพิ่งเคยมาที่หนานเจียงเป็นครั้งแรก ได้ยินชื่อเสียงของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์มานานแล้ว จึงอยากลองมาดูสักหน่อย”

 

 

           หญิงสาวหัวเราะ “คุณชายให้เกียรติมาที่หอเล็กๆ ของเราถือเป็นเกียรติยิ่งแล้ว ขอเชิญคุณชายไปที่ห้องส่วนตัวทางด้านนู้นเพื่อดูการร่ายรำเสียก่อน แล้วลองดูว่ามีสิ่งใดถูกใจท่านหรือไม่”

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “แต่ข้าได้ยินมาว่าหอของเจ้านี้มิได้มีดีเพียงการร่ายรำเท่านั้น แม่นางลองแนะนำอย่างอื่นที่น่าสนุกให้บ้างได้หรือไม่”

 

 

           หญิงสาวผู้นี้หากได้รับหน้าที่ให้มาต้อนรับแขกที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ได้ ย่อมเป็นคนที่มองคนออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพียงนางเหลือบมองเยี่ยหลี ก็ดูออกว่าถึงแม้การแต่งเนื้อแต่งตัวจะไม่ธรรมดา แต่อายุย่อมไม่มีทางเกินสิบสามปีไปได้ เด็กหนุ่มที่อายุยังน้อยเพียงสิบสามปีบางคนอาจชื่นชอบในสตรีเพศ แต่คงยังไม่รู้จักโลกอย่างแท้จริง เมื่อเห็นคุณชายน้อยท่านนี้ดูมีความเย่อหยิ่งอย่างชนชั้นสูง นางจึงคิดว่าเขาคงเป็นคุณชายน้อยตระกูลใดที่ออกมาหาความสนุกเป็นแน่

 

 

หญิงสาวยกยิ้มขึ้น “คุณชายน้อยไม่ถูกใจแม่นางในหอหมิงเย่ว์ของเรา จะทำให้พวกนางเสียใจได้นะเจ้าคะ แม่นางในหอหมิงเย่ว์ของเราไม่เพียงเชี่ยวชาญด้านการร่ายรำเท่านั้น ไม่ทราบว่าคุณชายน้อยชื่นชอบอันใดเป็นพิเศษหรือเปล่าเจ้าคะ”

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “เดิมทีข้านึกอยากลองเล่นพนันดูสักตาสองตา แต่โรงพนันในเมืองกว่างหลิงนี่อึกทึกครึกโครมเกินไปหน่อย คนร้อยพ่อพันแม่มาอยู่รวมกันทำข้าหมดอารมณ์”

 

 

           หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “เช่นนั้น เชิญคุณชายตามข้ามาเจ้าค่ะ”

 

 

           องครักษ์สามที่เดินตามเยี่ยหลีมาเหมือนขอนไม้ ขยับปากเหมือนอยากจะพูดอันใดสักอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยหลีก็ทำให้เขาได้แต่หุบปากลงไป หอนางโลมก็เข้ามาแล้ว โรงพนันจะมีอันใดน่ากลัวอีกหรือ

 

 

           โรงพนันของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ย่อมไม่เหมือนกับโรงพนันที่อื่นทั่วไป เพราะไม่ว่าจะเป็นเด็กที่คอยบริการยกน้ำชาหรือคนที่นั่งเป็นเจ้ามือ ต่างก็เป็นสตรีทั้งสิ้น

 

 

เมื่อเข้าไปในห้องโถงใหญ่ สิ่งแรกที่สะดุดตาคือหญิงสาวใบหน้าสวยจัดในชุดสีม่วงที่กำลังถือถ้วยลูกเต๋าอยู่ในมือ มีนักพนันจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่รอบๆ เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ การแทงสูงต่ำนั้นเป็นการพนันธรรมดาๆ แต่ก็เป็นการเล่นพนันที่ดั้งเดิมที่สุดอย่างหนึ่ง ยิ่งบวกกับหญิงสาวเจ้ามือที่สวยจัดด้วยแล้ว ย่อมดึงดูดผู้คนให้เข้ามาวางเงินพนันได้อย่างไม่ขาดสาย

 

 

           แน่นอนว่าหญิงสาวที่เดินนำมาย่อมเห็นสายตาของเยี่ยหลี จึงรีบยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “แม่นางท่านนี้เป็นหนึ่งในสิบสองดาวเด่นของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ ชื่อแม่นางหรูเหมยเจ้าค่ะ นางถนัดที่สุดก็คือการเขย่าลูกเต๋า ฝีมือของนางนั้นแม้แต่เถ้าแก่ของเรายังต้องเอ่ยปากชมไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ” พูดจบนางยังได้เอ่ยอธิบายบรรยากาศต่างๆ ภายในโรงพนันให้เยี่ยหลีฟังอย่างเอาใจใส่ เช่นว่า ในสิบสองดาวเด่นของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ มีแม่นางสามคนที่นั่งเป็นเจ้ามืออยู่ในโรงพนัน อีกทั้งแม่นางทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นหญิงคณิกา และแขกพนันที่ชนะพวกนางได้เท่านั้นจึงจะได้หลับนอนกับพวกนาง แต่จนถึงยามนี้ยังมิมีผู้ใดเคยทำสำเร็จมาก่อน

 

 

           เยี่ยหลีอึ้งไปจนถึงกับต้องหุบยิ้ม หานหมิงเย่ว์ช่างหาเงินเก่งเสียจริง ผู้ชายทั่วไปที่มาเที่ยวหอนางโลมก็เพื่อจะได้ชื่นชมสตรีเพศที่งดงาม แขกที่สามารถเข้ามาในหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ได้นั้นโดยมากมักเป็นเศรษฐีผู้มีอันจะกิน ซึ่งย่อมเคยพบเห็นสตรีที่งดงามมาแล้วนับไม่ถ้วน การที่เขาสร้างโรงพนันเช่นนี้ขึ้น ย่อมเป็นที่น่าดึงดูดกว่าโรงพนันทั่วๆ ไป บุรุษล้วนมีความต้องการในการเอาชนะ บรรดาชายหนุ่มที่มากด้วยทรัพย์สินเงินทองและอยู่ว่างๆ ไม่มีอันใดทำ ย่อมไม่เสียดายเงินจำนวนมากที่เสียไปเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวเหล่านั้นอย่างแน่นอน

 

 

           “อาสาม เจ้าว่าแม่นางหรูเหมยเป็นอย่างไรบ้าง” เยี่ยหลีเอาพัดในมือชี้ไปทางหญิงสาวในชุดสีม่วงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ก่อนหันไปเอ่ยถามยิ้มๆ

 

 

           องครักษ์ลับสามพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้สีหน้าตนเองบิดเบี้ยว เขาทำหน้านิ่งตอบว่า “เรียนคุณชาย แน่นอนว่าเป็นหญิงงามขอรับ”

 

 

           “อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น” เยี่ยหลีใช้ปลายพัดยันคางไว้ยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เรามาลองเล่นสักสองตาก็แล้วกัน ไม่แน่ว่าอาจจะได้…”

 

 

           “คุณชาย ท่าน…ที่บ้านท่านจะไม่พอใจเอานะขอรับ” องครักษ์ลับสามกัดฟันเอ่ยเตือน

 

 

           “ข้ารู้ ข้าจึงจะ…ยกโอกาสในการใกล้ชิดให้กับเจ้าอย่างไรเล่า” เยี่ยหลียิ้มเต็มหน้ามององครักษ์ลับสามที่ตอนนี้หน้าดำประหนึ่งหมึก ก่อนออกเดินไปยังโต๊ะพนันนั้นอย่างอารมณ์ดี

 

 

           แม่นางหรูเหมยเขย่าถ้วยลูกเต๋าในมือพร้อมมองบรรดาแขกพนันที่รายล้อมอยู่ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ชายพวกนี้นัยน์ตาเต็มไปด้วยความละโมบและหื่นกระหาย ทำให้นางรู้สึกดูแคลนในใจ และยิ่งทำให้นางสามารถยิ้มได้อย่างเย้ายวนมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก

 

 

เยี่ยหลีที่จู่ๆ ก็แทรกตนเองเข้ามาอยู่แถวหน้าทำให้นางอดที่จะรู้สึกตกใจเล็กน้อยไม่ได้ คุณชายอายุไม่ถึงสิบสามสิบสี่ปีดี แต่เครื่องประดับและเครื่องแต่งกายบนตัวที่ล้วนเป็นของชั้นเลิศทำให้รู้ว่าเขามิใช่คนธรรมดา แต่นัยน์ตาใสอย่างเด็กอายุน้อยคู่นั้นกลับทำให้นางรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่เหมือนกับผู้อื่น จึงหันไปแย้มยิ้มให้เขา “คุณชายน้อย ต้องการลงเงินแทงด้วยหรือไม่”

 

 

           เยี่ยหลีเอียงคอหันมองซ้ายขวา ไม่เสียชื่อที่เป็นโรงพนันของหอนางโลมอันดับหนึ่ง บนโต๊ะพนันมีเงินเดิมพันวางอยู่อย่างน้อยถึงห้าสิบตำลึง พวกเศรษฐีเหล่านี้ควักเงินเดิมพันแต่ละทีก็มากพอที่จะให้คนทั่วไปใช้ชีวิตอยู่ได้ครึ่งปีแล้ว แขกพนันที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าคนที่เบียดเขาเข้ามานั้นเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง จึงมองเขาด้วยสายตาดูแคลนโดยไม่รู้ตัว และยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ส่งเสียงเยาะหยันออกมา

 

 

เยี่ยหลีมิได้สนใจ เพียงยิ้มจนตาหยีพร้อมหยิบวงเงินจำนวนห้าสิบตำลึงออกมาโยนลงบนโต๊ะ “ข้าแทงสูง!”

 

 

           หรูเหมยอมยิ้มพร้อมกวาดตามองแขกพนันโดยรอบ ในโรงพนันไม่ว่าพ่อค้าผู้ร่ำรวยหรือชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำต่างก็เหมือนกันทั้งสิ้น ทุกคนตะโกนร้องขึ้นตามๆ กันว่า “สูง! สูง!”

 

 

           “ต่ำ! ต่ำ! ต่ำ!…”

 

 

           ริมฝีปากรูปกระจับของหรูเหมยยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนยกมือหงายเปิดถ้วยลูกเต๋าที่อยู่บนโต๊ะออก “สองสี่สี่ ต่ำ”

 

 

           ผู้คนบ้างยินดีบ้างเสียดาย เยี่ยหลีมิได้สนใจเงินห้าสิบตำลึงที่เสียพนันไปนั่น รอคอยตาต่อไปด้วยความอดทน ครั้งนี้นางยังคงแทงสูง ห้าสิบตำลึง เมื่อหงายออกอีกครั้ง ก็ยังคงต่ำ ตาที่สาม เยี่ยหลีเพิ่มเงินพนันเป็นสองร้อยตำลึง และยังคงแทงสูง การเขย่าลูกเต๋านั้นใช้เวลาไม่มาก เพียงชั่วเวลาแค่หนึ่งเค่อ เยี่ยหลีก็แทงแพ้จนเสียเงินพนันไปเกือบสองพันตำลึง นักพนันที่อยู่รอบข้างต่างมองคุณชายน้อยที่วางเงินพนันอย่างมือเติบด้วยความตกใจ ต่างคาดเดากันไปว่าเขาเป็นคุณชายจากตระกูลใด

 

 

           “คุณชาย ยังแทงต่อหรือไม่เจ้าคะ” หรูเหมยยิ้มมองเยี่ยหลี แล้วเอ่ยถามขึ้น

 

 

           เยี่ยหลียื่นมือไปทางด้านหลัง องครักษ์ลับสามที่ยืนอยู่หลังเยี่ยหลีก็ยื่นตั๋วเงินปึกหนึ่งมาส่งให้อย่างว่าง่าย ตั๋วเงินจำนวนไม่น้อย รวมๆ แล้วประมาณสองหมื่นตำลึงเห็นจะได้

 

 

องครักษ์ลับสามมองเยี่ยหลีที่โยนตั๋วเงินลงบนโต๊ะโดยไม่เสียดาย ตีบทคุณชายตระกูลเศรษฐีที่ใจใหญ่ได้อย่างสมบทบาท จนในใจเขากระตุกไม่หยุด ตำหนักติ้งอ๋องร่ำรวยนั้นจริงอยู่ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีเงินมากถึงเพียงนั้น เมื่อตอนออกจากเมืองหลวง นายพวกเขานำเงินติดตัวมาทั้งหมดเป็นตั๋วเงินสองหมื่นตำลึงกับตั๋วเงินเศษๆ อีกเล็กน้อยเท่านั้น เงินสองหมื่นตำลึงถือว่ามากพอที่จะให้พวกเขาห้าคนไปๆ กลับๆ หนานเจียงได้หลายรอบอย่างสบายๆ แต่เมื่อนำมาใช้ในโรงพนันแล้ว เงินสองหมื่นสองพันตำลึงกลับไม่มากมายเอาเสียเลย หากนายของเขาใช้เงินเช่นนี้ คงแพ้จนหมดตัวได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเป็นแน่

 

 

           เยี่ยหลีเพิ่มเงินพนันเข้าไปอีก เป็นห้าร้อยตำลึง

 

 

           “คุณชายน้อยแทงสูงหรือแทงต่ำเจ้าคะ” หรูเหมยเอ่ยถาม

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “ข้าไม่ชอบเลขต่ำ แทงสูง”

 

 

           ดังนั้นแขกพนันคนอื่นๆ จึงเปลี่ยนไปแทงคนละด้านกับนาง ใครที่มีตาดูก็รู้ว่าดวงของคุณชายน้อยผู้นี้กุดนัก แพ้ไปอีกเกือบหนึ่งหมื่นตำลึงเห็นจะได้ ในที่สุดเยี่ยหลีก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ รอจนหรูเหมยปิดถ้วยลูกเต๋าลงอีกครั้งจึงได้ส่ายหน้าพร้อมอมยิ้ม “รอบนี้ ข้าไม่แทง” หรูเหมยเปิดถ้วยออกท่ามกลางเสียงตะโกนอันอื้ออึงของทุกคน “หกสามลูก กินเรียบ!” นักพนันทุกคนต่างร้องโอดครวญด้วยความเสียดาย

 

 

           เริ่มตาใหม่ เยี่ยหลีเพิ่มเงินพนันเป็นหนึ่งพันตำลึง แต่ครั้งนี้นางไม่ดวงกุดเหมือนตาที่ผ่านๆ มา เยี่ยหลีดวงดีประหนึ่งมีเทพมาโปรด “ต่ำ!”

 

 

           เปิดถ้วยลูกเต๋าออก หนึ่งสองสี่ ต่ำ!

 

 

           “สูง”

 

 

           ห้าห้าหก สูง!

 

 

           “สูง!”