ตอนที่ 85-4 พระมาตุลาละอายใจและการเร่งดอกเหมยบาน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ก่อนถูกคนในวังพาออกจากวัง หงเยียนยังหันมามองอวิ๋นหว่านชิ่นเงียบๆ พลางกลั้นน้ำตา ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา ก่อนส่งสายตาให้กำลังใจตอบ

 

 

พอเจี่ยไทเฮาเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นกับหงเยียนสบตากัน คิ้วก็คลายลงโดยไม่รู้ตัว พลันหันมาทางกลุ่มคน พลางพูดด้วยน้ำเสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

 

 

“เรื่องในวันนี้ ผ่านพ้นไปแล้ว ผู้มีปัญญาย่อมดูออกว่า เป็นการช่วยเหลือลูกสาวนายทหารของคุณหนูอวิ๋น หลังออกจากวัง ถ้าข้าได้ยินผู้ใดพูดว่า มีคุณหนูลูกขุนนางคบหากับนางโลมหรือนางคณิกาอีก ผู้นั้นกับข้าได้เห็นดีกันแน่!

 

 

ประโยคสุดท้าย เห็นชัดว่าพูดให้อวี้โหรวจวงฟัง นางเพิ่งถูกหงเยียนแฉ เดิมทีไม่มีใครเข้าใกล้อยู่แล้ว ขณะยืนบูดบึ้งตามลำพัง แต่พอได้ยินประโยคนี้ กลับเสียวสันหลังวาบ

 

 

เหล่าคุณหนูต่างพากันพยักหน้าและขานรับ

 

 

เจี่ยไทเฮายุ่งมาครึ่งค่อนวัน รู้สึกเพลีย จึงคร้านที่จะกลับศาลาปทุมหอมอีก อยากกลับตำหนักไปพักมากกว่า จึงชำเลืองมองอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

“เมื่อล้วนเป็นการเข้าใจผิด คืนนี้เจ้าก็ค้างคืนในวังตามเดิม ไปบอกสนมเอกก่อนก็แล้วกัน สายหน่อยข้าค่อยให้คนมารับเจ้าไปตำหนักฉือหนิง”

 

 

“เพคะ ไทเฮา” อวิ๋นหว่านชิ่นถอนสายบัว ก่อนส่งไทเฮาเดินจากไปด้วยสายตา

 

 

อวี้โหรวจวงมองตามหลังไทเฮาไป การหาเรื่องในวันนี้ ถือว่าเสียแรงเปล่า! ไม่เพียงทำให้หงเยียนมีโอกาสพลิกชีวิต ได้ใช้ชื่อจริง จากการรื้อคดีถังโจวขึ้นมาสอบสวนใหม่ ยังเป็นการบวกชื่อเสียงให้อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่ม! จนได้เป็นสตรีผู้กล้าที่ช่วยชีวิตลูกทหารตกยากไป คิดแล้วก็เจ็บปวดใจจริงๆ

 

 

รอจนขบวนเสด็จไทเฮาจากไปเรียบร้อย ก็มีคนนำพาเหล่าคุณหนูที่อยู่ริมทะเลสาบเฉิงเทียนกลับไปยังศาลาปทุมหอม

 

 

พอกลุ่มคนแยกย้าย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงนึกถึงเรื่องเอะใจเมื่อครู่ ใจที่เพิ่งสงบลงก็เต้นโครมครามขึ้นมาอีก

 

 

ไฝ หลังมือของเจี่ยงยิ่น มีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง

 

 

ใช่คนที่ป้าเว่ยพูดถึงหรือไม่…ขุนนางชั้นสูงที่ไหว้พระกับท่านแม่ในอุโบสถวัดเซียงกั๋ว?

 

 

ซึ่งความจริง ต่อให้ใช่ ก็ไม่ได้หมายความว่าชายผู้นั้นต้องเกี่ยวข้องกับท่านแม่ แต่ นอกจากชายผู้นั้นแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่า ในชาติภพนี้ ท่านแม่เคยพบเจอชายใดอีก!

 

 

ด้วยกลัวว่า ถ้ากลับไปที่ศาลาปทุมหอมจะไม่มีโอกาสอีก อวิ๋นหว่านชิ่นจึงฉวยโอกาสส่งสายตาให้รัชทายาทระหว่างทางเดิน

 

 

และพอรัชทายาทเห็นนางกระพริบตาให้ไม่หยุด ก็ส่งสัญญาณมือให้คนรอบข้างถอยออก แล้วจึงสะบัดแขนเสื้อ เดินเข้าหา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นคิดๆ ก็รู้สึกว่า จะถามตรงๆ ไม่ได้ จึงพูดอ้อมไปมา ก่อนยิ้มหวานให้ แลดูแปลกๆ ชอบกล

 

 

“รัชทายาทเพคะ ตอนพระมาตุลาเป็นขุนนางในราชสำนักนั้น เวลาว่างชอบทำอะไรบ้าง เช่น ไปไหว้พระที่วัดเป็นประจำหรือเปล่า อะไรทำนองนี้…”

 

 

รัชทายาททำตาโต “ชิ่นเอ๋อร์ เสด็จลุงของเราอายุมากกว่าเจ้ายี่สิบกว่าเชียว เจ้าอย่าได้…”

 

 

อวิ๋นหว่านชินค้อนควับ ในสมองของเขามีแต่เรื่องพรรณนี้หรือนี่

 

 

“พระมาตุลามีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ช่วงหนึ่ง วันนี้หม่อมฉันได้เห็นตัวจริงเสียงจริง ก็รู้สึกแปลกใจเท่านั้น”

 

 

รัชทายาทค่อยยิ้มยิงฟัน “อ้อ เรานึกว่าชิ่นเอ๋อร์สนใจเสด็จลุงของเราเสียอีก เราก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าเสด็จลุงมีงานอดิเรกอะไร ตอนท่านโด่งดังนั้น เรายังเล็กอยู่เลย! จำได้ที่ไหน”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ยอมลดละ ม้วนปอยผมข้างหูเล่น แกล้งทำท่าสบายๆ พลางว่า

 

 

“เช่นนั้น…พระมาตุลาเคยไปวัดเซียงกั๋วหรือเปล่าเพคะ”

 

 

วัดเซียงกั๋ว? รัชทายาทสงสัย “วัดเซียงกั๋วเป็นวัดหลวงที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์จากคนในราชวงศ์ ที่ผ่านมามีผู้สูงศักดิ์ไปกันมากมาย ฝ่าบาทก็ยังไปเป็นประจำ เสด็จลุงก็น่าจะเคยไปนะ”

 

 

ถามแบบนี้ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเปลี่ยนคำถาม

 

 

“รัชทายาทเพคะ แล้ว…คนเรียกขานพระมาตุลาว่าอะไรกันบ้าง ตอนนั้น บ่าวรับใช้มักเรียกท่านว่าอะไร”

 

 

ป้าเว่ยบอกว่า วันนั้นในวัดเซียงกั๋ว มีผู้ติดตามตะโกนเรียก คลับคล้ายว่า ท่าน…อะไร นี่ก็เป็นอีกเบาะแสหนึ่ง ที่ปล่อยไปไม่ได้

 

 

“เรียกขาน?” รัชทายาทขมวดคิ้ว “น่าจะเป็น พระมาตุลา ผู้ตรวจการ ท่านอำมาตย์…”

 

 

เดี๋ยว! อวิ๋นหว่านชิ่นขยับคิ้ว รีบขัดจังหวะ “ท่านอำมาตย์? พระมาตุลาเคยถูกเรียกว่าท่านอำมาตย์หรือ”

 

 

รัชทายาทมองนางอย่างแปลกใจ

 

 

“เสด็จลุงอายุไม่ถึงสามสิบ ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอำมาตย์แล้ว ถ้าอยู่ในที่สาธารณะ คนรอบข้างมักเรียกว่า ท่านอำมาตย์ มากสุด ส่วนพระมาตุลา ใช้เรียกขานกันภายในเป็นการส่วนตัว”

 

 

ท่านอำมาตย์ ท่านอำมาตย์เจี่ยง…จริงสิ ทำไมนึกไม่ถึงนะ ตอนนั้นเพียงคิดว่า ท่านแล้วน่าจะตามด้วยแซ่ อย่างที่ผู้คนชอบเรียกขานกัน ไหนเลยจะคิดว่า เสียงตะโกนเรียกว่า ท่านอะไรที่วัดเซียงกั๋ว จะเป็นท่านอำมาตย์!

 

 

เม็ดเหงื่อผุดขึ้นกลางฝ่ามืออวิ๋นหว่านชิ่น ในเบื้องต้นนางยืนยันได้แล้วว่า ผู้ที่อยู่ในอุโบสถวัดเซียงกั๋วร่วมกับมารดา น่าจะเป็นเจี่ยงยิ่น!

 

 

ยังมี ผู้ที่มาพบมารดาเป็นการส่วนตัวในจวนรองเจ้ากรมช่วงฤดูหนาว…บุรุษที่บิดายอมให้พบกับภรรยาตัวเองในห้อง ย่อมเป็นบุรุษที่มีตำแหน่งใหญ่โต

 

 

บิดาเป็นคนเกรงใจผู้มีอำนาจ จึงยอมกล้ำกลืนฝืนทน กระทั่งอาสาจัดที่ทางให้ เจี่ยงยิ่นในวัยหนุ่ม ต้องได้รับสิทธิๆ นี้อย่างแน่นอน

 

 

ผู้สูงศักดิ์ที่วัดเซียงกั๋ว บุรุษที่มาเยี่ยมเยียนมารดาในค่ำคืนฤดูหนาว…สองเงาร่างรวมกันเป็นร่างเดียว อยู่บนร่างของเจี่ยงยิ่น

 

 

หมายความว่า มารดาอาจรู้จักเจี่ยงยิ่น และ อาจรู้จักเป็นการส่วนตัว?

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งเงียบ ไม่พูดจา

 

 

พอรัชทายาทเห็นนางไม่พูดอะไรต่อ เอาแต่เดิน ก็ก้มใบหน้าอันหล่อเหลาลง ก่อนยื่นมาอยู่ตรงหน้าใบหน้ารูปไข่ของนาง

 

 

“ไหนบอกว่าไม่สนใจเสด็จลุงไง…”

 

 

สนสิ สนใจ…แต่เป็นความสนใจที่พูดไม่ออกน่ะ!

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นรัชทายาทยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ก็ฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันระวัง ผลักออกด้านข้างเบาๆ

 

 

พอกลุ่มคนเดินมาถึงทางเข้าศาลาปทุมหอม ซย่าโหวซื่อถิงที่นั่งอยู่กับโต๊ะหันไปเห็นทั้งสองมีท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมกันพอดี จึงขรึมไปสักพัก เพิ่งบอกนางให้รักษาระยะห่างกับรัชทายาทไปหยกๆ หึ กลับมากระเซ้าเย้าแหย่กันเสียนี่

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไหนเลยจะสนใจว่า ตรงที่นั่งมีสายตาใครบางคนกำลังลุกเป็นไฟอยู่ ได้แต่คิดฉวยโอกาสที่ยังพอจะพูดกับรัชทายาทได้ ก้าวเข้าไปใกล้ ขมวดคิ้วพลางพูดเสียงเบา

 

 

“วันนี้รัชทายาทช่วยข้าไว้ ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง แต่ ท่านรู้เรื่องความสัมพันธ์ของข้ากับหงเยียนได้อย่างไร แถมยังรู้สถานะของหงเยียนอย่างแจ่มแจ้งอีก?”

 

 

เจี่ยงยิ่นเป็นเสด็จลุงของเขา ไม่แปลกที่เขาจะรู้เบื้องหลังการลาออกจากราชการของเจี่ยงยิ่น แต่สถานะของหงเยียนถูกปกปิดอย่างมิดชิดมานานหลายปี ไม่สามารถบอกคนรอบข้างได้ ยิ่งผู้สูงศักดิ์ยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างรัชทายาทยิ่งไม่มีทางรับรู้ ขนาดอวิ๋นหว่านชิ่นเอง ตอนนั้นก็ยังได้แต่เดาว่านางเป็นลูกสาวแม่ทัพที่สมรภูมิถังโจว โดยไม่แน่ใจว่านางเป็นลูกสาวบ้านไหน แต่รัชทายาทกลับรู้สถานะที่แท้จริงของหงเยียนอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังหาร้านพบ และพานางเข้าวังได้อย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะรู้เรื่องอย่างแน่นอน

 

 

รัชทายาทมองไปทางอื่น ก่อนทำสีหน้าจริงจัง ไม่พูดอะไร

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะถามต่อ ก็มีคนในวังก้าวเข้ามาเชิญให้รัชทายาทไปนั่งประจำที่

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเอะใจ หรือว่า…ผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำการซื้อร้านบนถนนจิ้นเป่า แล้วขอร่วมทุนทำการค้ากับนาง ผู้ถือหุ้นรายใหญ่แต่กลับทำตัวลึกลับ ไม่ยอมเผยตัวตนให้เห็น ก็คือรัชทายาท?

 

 

มีแต่ต้องเป็นเช่นนี้ล่ะ มิเช่นนั้นรัชทายาทจะหาโอกาสที่ไหนตีสนิทกับหงเยียน ถึงได้รู้สถานะนาง ต้องเป็นเพราะรู้อยู่ก่อนแล้ว จึงตัดสินใจเชิญนางเข้าวังได้ในทันที แล้วค่อยเชิญเจี่ยงยิ่นมา

 

 

ขณะคิด สนมเอกเฮ่อเหลียนก็เดินเข้ามาหา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเก็บความคิดไว้ในใจ ก้าวเข้าไปรับใช้ก่อน