เนื่องจากเจี่ยไทเฮาเสด็จกลับตำหนักก่อน กลุ่มคนบริเวณศาลาปทุมหอมจึงกินดื่มและสนทนากันต่อสักพัก พอเห็นว่าเย็นแล้ว ประกอบกับมีคนในวังเข้ามาประกาศเลิกงานเลี้ยง พร้อมจัดรถม้าจอดรอเตรียมไว้ให้ เหล่าคุณชายคุณหนูผู้สูงศักดิ์จึงทยอยกันเดินไปขึ้นรถม้า กลับออกจากวังทางประตูเจิ้งหยาง
เนื่องจากอวิ๋นหว่านชิ่นต้องพักค้างคืนในวังตามพระประสงค์ของไทเฮา ราชองครักษ์จึงเป็นผู้บังคับรถม้าส่งอวิ๋นหว่านถงและเมี่ยวเอ๋อร์กลับจวนรองเจ้ากรมด้วยตัวเอง ซึ่งอวิ๋นหว่านถงอยากรีบกลับบ้านไปแจ้งข่าวดีแทบไม่ทัน ด้วยตอนออกจากบ้าน ตนเป็นลูกเมียน้อยที่ต้องเดินตามลูกเมียหลวงต้อยๆ แต่ตอนกลับถึงบ้าน กลับมีคนในวังมาส่งด้วยตนเอง พอรู้สึกว่ารัศมีชายารองจวนเว่ยอ๋องในอนาคตกำลังเฉิดฉาย จึงตื่นเต้นจนใจเต้นแรงไม่หยุด
ส่วนเมี่ยวเอ๋อร์ พอรู้ว่าคุณหนูใหญ่ต้องพักค้างแรมในวัง กลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เสียดายในวังกฏระเบียบเข้มงวด ไทเฮาตรัสเพียงให้คุณหนูใหญ่พัก นางจึงอยู่เป็นเพื่อนด้วยไม่ได้ ก่อนจากกันจึงได้แต่กำชับเบาๆ ไปไม่กี่คำ
อวิ๋นหว่านชิ่นก็คุยเล่นกับนางสักพัก เพื่อให้นางสบายใจขึ้น ก่อนกลับตำหนักชุ่ยหมิงพร้อมคนของสนมเอกเฮ่อเหลียน
พอไปถึง สนมเอกเฮ่อเหลียนพูดคุยกับอวิ๋นหว่านชิ่นไม่กี่คำ ก็กลับไปปฏิบัติตนตามปกติ เดินเข้าไปหลังม่านไข่มุก นั่งลงตรงโต๊ะไม้พยุง อ่านหนังสือและฝึกเขียนพู่กัน
โดยมีอวิ๋นหว่านชิ่นกับพวกหลานถิงหรือสาวใช้ทั้งสี่คอยรับใช้เงียบๆ อยู่นอกม่าน ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็มีเรื่องเจี่ยงยิ่นที่ติดอยู่ในใจให้คิด จึงไม่รู้สึกเบื่อเท่าไหร่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครั้นพระอาทิตย์เริ่มตกดิน สนมเอกเฮ่อเหลียนก็วางพู่กันลง ชะเง้อมองออกนอกหน้าต่าง หลานถิงซึ่งเข้าใจคนมากสุดและความรู้สึกไว รู้ว่าพระสนมเอกกำลังคอยใคร จึงเดินเข้าไป ยิ้มแล้วว่า
“อย่างไรไปเดินเล่นในสวนดอกเหมยกันก่อนไหมเพคะ”
ทุกคนจึงเดินไปยังสวนดอกเหมยนอกพระตำหนักร่วมไปกับพระสนมเอก
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินพลางชมสวนดอกเหมยน้อยๆ ที่สดชื่นและเงียบสงบ
บ้านสวนโย่วเสียนก็มีสวนดอกเหมยโดยเฉพาะเหมือนกัน จากอากาศและอุณหภูมิในเมืองหลวง ดอกเหมยน่าจะบานราวเดือนสิบสองหรือไม่ก็เดือนแรกของปีใหม่ พอถึงเดือนสามจึงจะทยอยกันเ**่ยวร่วง ตอนนี้เพิ่งเข้าเดือนสิบเอ็ด อีกราวหนึ่งเดือนถึงจะบาน แต่หมู่นี้อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว พอฝนฤดูใบไม้ร่วงตกก็เย็นลงทันที ท่าทางเหมือนเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ดังนั้นบนกิ่งจึงมีดอกตูมเล็กๆ ผุดขึ้น มีใบอ่อนงอกเงยออกมา ซึ่งดอกเหมยใบจะงอกก่อนดอก พอเห็นสภาพเช่นนี้ ก็คิดว่ามีน่าจะบานก่อนกำหนด ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก
สนมเอกเฮ่อเหลียนใช้มือจับกิ่งเหมยที่เกลี้ยงเกลาเบาๆ คิ้วโค้งดุจภูเขาขมวดน้อยๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทางนางแล้วก็ยิ้มหวาน “ใบงอกออกมาแล้วเพคะ อีกเดือนนึงก็น่าจะบานได้ ถึงตอนนั้นที่นี่จะกลายเป็นทะเลหิมะที่มีกลิ่นหอมตลบอบอวล”
พอสนมเอกเฮ่อเหลียนได้ยินนางพูดสำนวนจอมยุทธ์ ก็ผ่อนคลายความกดดันในใจลงชั่วคราว ตาสวยกระพริบ แล้วยิ้มน้อยๆ “นังหนูนี่รู้ไปหมด เช่นนั้นเจ้าลองบอกหน่อยซิว่า ดอกเหมยอะไรดีที่สุด”
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบ “ปัจจุบันภาคกลางของเรามี ฉู่เหมย จินเหมย สุยเหมย ถังเหมย และซ่งเหมย ฉู่เหมยสวยสดใส ราคาต่อต้นแพงสุด จินเหมยสวยน่ารัก มีกลิ่นที่เหมาะกับการวางไว้ในห้องมากสุด สุยเหมยสวยสง่า เหมาะกับการให้เป็นของขวัญ ถังเหมย เวลาบานจะให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อุดมสมบูรณ์ ซ่งเหมยแม้ต้นเล็ก แต่บานแล้วดูคล้ายทะเลดาวในยามค่ำคืน แต่ละชนิดสวยกันคนละแบบ ถ้าจะให้บอกว่าดอกเหมยชนิดไหนดีที่สุด พระสนมเอกก็ทำให้หม่อมฉันจนมุมแล้ว เพราะต่างก็มีความสวยในแบบฉบับของตนเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม ก่อนเหลือบมองดอกตูมบนก้าน “แต่ถ้าอิงจากสายตาที่นอบน้อมของหม่อมฉัน ชนิดที่ปลูกในสวนนี้น่าจะเป็นถังเหมย เวลาบานต้องสวยงามยิ่งใหญ่ดุจมหาสมุทรอย่างแน่นอนเพคะ”
พอเห็นนางเดาถูก สนมเอกเฮ่อเหลียนก็ยิ่งชอบใจ
“ข้าฟังเจ้าพูดแล้ว กลับรู้สึกสบายใจกว่าอ่านบทกลอนชมดอกเหมยเสียอีก ไม่รู้ว่าดอกเหมยเหล่านี้จะบานเมื่อไหร่ แต่ปากน้อยๆ ของเจ้ากลับทำให้คนเบิกบานได้ทุกเมื่อ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มรับ
“พระสนมเอกเพคะ ดอกเหมยเหล่านี้ใกล้บานเต็มที ถ้าฝ่าบาททอดเนตรเห็น ต้องชอบแน่ๆ เพคะ”
สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มค้าง แล้วค่อยๆ เดินต่อ
หลานถิงจึงดึงอวิ๋นหว่านชิ่นไปด้านข้าง แล้วกระซิบ
“คุณหนูอวิ๋น ความจริงดอกเหมยในตำหนักชุ่ยหมิงเรา บานช้ากว่าตำหนักอื่นๆ มาก โดยเฉพาะถ้าเทียบกับของมเหสีรองเหวย จะกลายเป็นคนละชั้นทันที ตำหนักฉางหนิงของนางนั้นดินดีอยู่แล้ว แต่ยังไม่วายมาแย่งคนสวนที่เก่งที่สุดของวังหลังไปอีก นางล้วนครอบครองแต่ของดีๆ ทั้งภูมิประเทศ ภูมิอากาศและทรัพยากรบุคคล ทำไมจะปลูกดอกไม้ที่ดีออกมาไม่ได้เล่า…ฝ่าบาทของเราหรือก็หลงไหลแต่ดอกเหมย รักนกก็ต้องรักรังนกด้วย พอเห็นดอกเหมยตำหนักไหนงาม ก็มักไปเดินเล่นที่นั่นบ่อยๆ เช่นนี้ ถึงหน้าดอกเหมยบานทีไร พระสนมเอกเป็นต้องกลุ้มใจไปทุกครั้ง”
อวิ๋นหว่านชิ่นสำรวจมองรอบๆ บริเวณอย่างถ้วนถี่ ก็จริง ตำหนักชุ่ยหมิงตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวัง โดนแดดค่อนข้างน้อย อากาศก็แห้ง สิ่งแวดล้อมไม่นับว่าดีที่สุดต่อการเจริญเติบโตของต้นเหมย ประเมินสักพัก จึงว่า
“จริงๆ แล้วมีวิธีนะ ที่จะทำให้ปีนี้พระสนมเอกมาเป็นที่หนึ่ง โดยไม่ต้องเป็นที่โหล่แบบทุกๆ ปีอีก”
หลานถิงตกใจ “หรือคุณหนูอวิ๋นเป็นเทพดอกไม้ มีวิธีเสกให้ดอกเหมยบานก่อนเวลา?”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม ”จากนี้ไป พวกเจ้าต้องใช้น้ำด่างรดแทนน้ำธรรมดา”
“น้ำด่าง?” หลานถิงสงสัย
“ไม่ผิด” อวิ๋นหว่านชิ่นอธิบาย “ใช้ผงด่างละลายในน้ำร้อน ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมารดต้นไม้ จะทำให้ดอกไม้บานเร็วขึ้น อีกอย่าง ต้นเหมยชอบอากาศเย็น พวกเจ้าต้องไปเอาน้ำแข็งก้อนใหญ่จากห้องเก็บน้ำแข็งมาห่อผ้า แล้ววางไว้ใต้ต้นเหมย พอต้นเหมยรู้สึกว่าอุณหภูมิได้ที่ ก็จะหนุนให้ออกดอกเร็วขึ้น”
หลานถิงหลุดขำ “ตอนแรก บ่าวไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร ตอนหลังถึงเข้าใจแล้วว่า คุณหนูอวิ๋นต้องการหลอกต้นเหมยนี่เอง!” นางหัวเราะพลางจดจำ ว่าแล้วก็ปฏิบัติตามทันที
ที่บ้านสวนโย่วเสียน อวิ๋นหว่านชิ่นเรียนรู้ทักษะการดูแลไม้ดอกไม้ใบในทางปฏิบัติมาไม่น้อย ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงหนึ่งในความรู้ดังกล่าว ซึ่งป้าเว่ยเล่าว่า มารดาของตนเป็นผู้ค้นพบ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พลบค่ำแล้ว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เหยาฝูโซ่วมาที่ตำหนักชุ่ยหมิง แจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่า คืนนี้หนิงซีฮ่องเต้จะเสด็จ ให้พระสนมเอกเตรียมทุกอย่างให้พร้อม และยังหอบเอาชุดที่ฝ่าบาทต้องใส่ออกว่าราชการในเช้าวันรุ่งขึ้นมา เหมือนจะทรงพักค้างคืนที่นี่ด้วย
สนมเอกเฮ่อเหลียนย่อตัวรับ จากนั้นบ่าวในตำหนักก็ยุ่งอยู่กับการตระเตรียม
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสนมเอกเฮ่อเหลียนหน้าแดงระเรื่อ ก็รู้แล้วว่าหมู่นี้นางน่าจะเป็นคนโปรดของฝ่าบาท จึงรู้สึกผ่อนคลายลง และพอคิดว่าหนิงซีฮ่องเต้กำลังจะมา ตนก็ไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ พอดีกับที่มอมอจากตำหนักฉือหนิงคนหนึ่งถือโคมไฟสีขาว มาพร้อมกับขันทีสองคน เชิญให้อวิ๋นหว่านชิ่นไปเฝ้าไทเฮา
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงคุกเข่าลาสนมเอกเฮ่อเหลียน แล้วเดินตามมอมอ ออกจากตำหนักชุ่ยหมิง
พอมืดค่ำ หมู่ดาวก็กระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม บรรยากาศในวังเงียบสงบลง มีเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วจนรู้สึกหนาว ตลอดทั่วทั้งวัง นอกจากเสียงกรับบอกเวลาแล้ว ระหว่างกำแพงแดง ยังได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารรักษาพระองค์ปฏิบัติหน้าที่พร้อมคบเพลิงสว่างเป็นจุดๆ
ครั้นหนิงซีฮ่องเต้เสร็จจากราชกิจ ก็เสด็จมายังตำหนักชุ่ยหมิง ซึ่งสนมเอกเฮ่อเหลียนได้ให้การต้อนรับอย่างอ่อนโยนและพิถีพิถัน เป็นอีกคืนหนึ่งที่ทั้งสองอิงแอบแนบชิดและหวานซึ้งไม่รู้จบ
รุ่งอรุณ แสงแรกบนท้องฟ้าปรากฎ หนิงซีฮ่องเต้ก็ทรงตื่นจากพระบรรทมตามปกติ หลังจากล้างหน้าล้างตาโดยมีพระสนมเอกคอยปรนนิบัติเรียบร้อย ก็สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีม่วงทอง เดินออกจากห้องด้านในพลางยืดเส้นยืดสาย มาถึงห้องด้านนอก และผลักหน้าต่างออก เพื่อรับลมเย็นในยามเช้า
หนิงซีฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึกๆ ค่อยลืมตาขึ้น พอเห็นทิวทัศน์ด้านนอกอย่างแจ่มชัด ก็ทรงอ้าปากค้าง ขมวดคิ้วเข้ม คล้ายถูกบางสิ่งบางอย่างกระตุ้นความรู้สึก จนพูดไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน เนิ่นนานถึงเปล่งเสียง
“ใคร มีใครอยู่บ้าง…”