ตอนที่ 86-1 เข้าใจผิด

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

สนมเอกเฮ่อเหลียนได้ยินเสียงตะโกนเรียก ก็รีบวิ่งมาที่ห้องด้านนอก เห็นหนิงซีฮ่องเต้ยืนอยู่ตรงหน้าต่างไม้แดงสลักลายเถาวัลย์บานใหญ่ พลางเบิกตากลมโตอย่างประหลาดใจ

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนตกใจ “ฝ่าบาท มีอะไรหรือเพคะ…” พลางก้าวเท้าเข้าไป แต่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ยืนตะลึงงันอยู่ตรงหน้าต่างเช่นกัน

 

 

หน้าต่างบานนี้หันหน้าเข้าหาสวนดอกเหมยน้อย ซึ่งทิวทัศน์ของสวนในตอนนี้เปลี่ยนไป แตกต่างจากเมื่อวานมาก

 

 

หลานถิงที่อยู่ด้านหลังก็ยืนอึ้งเช่นเดียวกัน เมื่อวานยังเป็นสวนดอกเหมยโล้นๆ อยู่เลย เพียงคืนเดียว ดอกตูมบนกิ่งเหมยก็บานสะพรั่งเป็นดอกเหมยสีชมพูอ่อนแล้ว แถมยังมีจุดเล็กๆ สีน้ำตาลแต้มอยู่ทั่วกิ่งก้านที่เรียวยาวอีก ถังเหมยเป็นต้นเหมยที่ให้ดอกขนาดใหญ่กว่าต้นเหมยชนิดอื่นๆ อยู่แล้ว จึงเตะตามาก กวาดตามองไป ก็เห็นดอกเหมยบานอยู่แน่นขนัด งามสง่ายิ่ง เป็นอย่างที่คุณหนูอวิ๋นบอกเมื่อวานจริงๆ ผืนทะเลหิมะหอม!

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนดึงสติคืนกลับ ดีใจสุดคณา วิธีเร่งให้ดอกเหมยบานของนังหนูอวิ๋นนี่ ได้ผลจริงๆ!

 

 

“อวี้เยียน” หนิงซีฮ่องเต้มีความสุขมาก จึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ปีก่อนๆ เจ้ามักบอกว่าดินในตำหนักชุ่ยหมิงไม่ดี แต่เราว่า ปีนี้เทพแห่งดอกไม้เข้าข้างเจ้าแล้ว! ความสวยแรกแย้มในวัง ล้วนบานอยู่ในบ้านเจ้าที่เดียว! บานเร็วขนาดนี้ เห็นทีปีนี้อาจได้เห็นดอกเหมยบานสองรอบ!”

 

 

ฝ่าบาทชอบดอกเหมยเป็นชีวิตจิตใจจริงๆ พูดถึงตรงนี้ ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ไม่สนใจความหนาวเย็นในช่วงเช้าของฤดูใบไม้ร่วงอีก และไม่ต้องการผู้ติดตามใดๆ ทั้งนั้น กระชับเสื้อคลุมให้แน่น แล้วเดินออกไปชมดอกเหมยบานก่อนเวลา ซึ่งพานพบได้ยากยิ่ง

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ค่อยได้เห็นหนิงซีฮ่องเต้เบิกบานพระทัยเช่นนี้ จึงไม่กล้าขัดให้เสียบรรยากาศ รีบคว้าเสื้อคลุมมาคลุม แล้วเดินตามออกไปปรนนิบัติ

 

 

ตอนกลับเข้ามา ทั้งสองหนาวจนจมูกแดงและมือเท้าเย็นไปหมด หนิงซีฮ่องเต้จึงกางเสื้อคลุมตัวใหญ่ โอบสนมเอกเฮ่อเหลียนมาไว้ในอ้อมกอด แล้วเดินเข้าตำหนักด้วยกัน

 

 

พอนั่งลง ก็พูดขึ้นอย่างสุขใจ “ปีนี้ดอกเหมยบานเร็วเฉพาะตำหนักชุ่ยหมิง สนมเอกเก่งมาก ที่ทำให้เรามีความสุขได้ เหยาฝูโซ่ว มอบไข่มุกราตรีทะเลตะวันออกให้สนมเอกหนึ่งคู่ ผ้าไหมสีม่วงหนึ่งพับ เครื่องประดับศีรษะห้าหงส์หนึ่งชุด และให้รางวัลต่างหากกับบ่าวในตำหนักชุ่ยหมิงทุกคน!”

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” บ่าวที่อยู่ในบริเวณนั้นพร้อมใจกันคุกเข่าลง พลางหน้าชื่นตาบานไปตามๆ กัน จากนั้นก็รีบนำเตาทองเหลืองอังมือที่ก่อไฟจนอุ่นเข้ามา

 

 

วันนี้พอตื่นเช้า หนิงซีฮ่องเต้ก็ได้เห็นทิวทัศน์ดอกเหมยปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว จึงรู้สึกอารมณ์ดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทรงใช้มือโอบเตาให้มืออุ่น แล้วยกขึ้นจับที่แก้มสวยๆ ของสนมเอกให้นางอุ่น เหมือนวัยรุ่นสิบแปดสิบเก้าอย่างไรอย่างนั้น พลางหัวเราะ

 

 

“แก้มของอวี้เยียนเย็นจนแดงไปหมดแล้ว มา ให้เราจับหน่อย…”

 

 

เหล่าสาวใช้ไม่ค่อยได้เห็นหนิงซีฮ่องเต้อ่อนโยนละมุนละไมเช่นนี้ แต่ละคนจึงแอบปิดปากขำ ส่วนคนที่อายุมากหน่อย อย่างมอมอที่ติดตามสนมเอกเฮ่อเหลียนมานาน ก็รู้สึกปลื้มปิติเช่นเดียวกัน แม้ปีที่สนมเอกเข้าวังใหม่ๆ แล้วเป็นที่โปรดปรานมากสุด นางก็ยังไม่เคยเห็นหนิงซีฮ่องเต้มีอารมณ์ละเมียดละไมเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้ พอเห็นทั้งสองมีความรักลึกซึ้งไปอีกขั้น จึงส่งสายตาและส่งยิ้มให้สาวใช้ทุกคน ก่อนก้มหน้าก้มตาถอยออก ไม่รบกวนความหวานชื่นของคู่รักอีก

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้ว่าวันนี้หนิงซีฮ่องเต้มีความสุขจริงๆ จึงรู้สึกขอบคุณอวิ๋นหว่านชิ่นในใจเพิ่มมากขึ้น ขณะซึมซับความรักจากฮ่องเต้ ก็ลุกขึ้นไปหยิบชุดว่าราชการกับมงกุฎมา พลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

 

 

“ฝ่าบาททรงลืมแล้วหรือไรว่าหม่อมฉันถือกำเนิดจากที่ไหน ความหนาวเย็นของทุ่งหญ้าทางเหนือ หนาวเหน็บกว่าเมืองหลวงหลายเท่านัก หม่อมฉันเคยชินแต่เด็กแล้ว ไม่กลัวหนาวหรอก กลับเป็นฝ่าบาทเสียอีก ที่ต้องรีบเปลี่ยนชุด มิเช่นนั้นจะจับไข้เอา”

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ก็แย้มยิ้มพลางอ้าแขนทั้งสองข้างออก ให้สนมเอกสวมฉลองพระองค์ให้

 

 

สนมเอกจึงจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่องให้หนิงซีฮ่องเต้ หมู่นี้ทรงเสด็จมาตำหนักชุ่ยหมิงสามถึงห้าวันต่อครั้ง ซึ่งบ่อยกว่าเสด็จไปตำหนักฉางหนิงของมเหสีรองเหวยเสียอีก ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาของการกลับมาเป็นคนโปรดที่หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นตอนนี้ถ้ามีเรื่องอะไรอยากจะพูด ก็นับเป็นโอกาสดีที่จะพูดออกมา คิดพลางขยับมือ ดึงปลายชุดยาวของหนิงซีฮ่องเต้ให้ตึง ก่อนพูดหยั่งเชิงอย่างอ่อนโยน

 

 

“ฝ่าบาทเพคะ ซื่อถิงก็โตแล้ว ไม่รู้ว่าหมู่นี้ทรงพิจารณาให้โอรสหรือยัง ฝ่าบาทมีโอรสมากมาย องค์ชายที่โดดเด่นก็มีอยู่ไม่น้อย อย่าลืมโอรสของหม่อมฉันนะเพคะ”

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ย่อมรู้ ที่สนมเอกพูดว่า ‘พิจารณา’ ก็คือเรื่องเสกสมรสขององค์ชาย จึงจับคางแหลมๆ ของคนสวย พลางว่า “จะลืมได้อย่างไรกัน ลูกสาวคนโตของอวี้เหวินผิง คู่ควรกับเจ้าสามทั้งรูปโฉมและอายุ ขึ้นกับว่าจะแต่งช้าแต่งเร็วเท่านั้น ปีก่อนเราก็เคยพูดถึงนี่ สองปีมานี้ เราเห็นเจ้าสามยิ่งโต ก็ยิ่งดูบึกบึนแข็งแรง ควรที่จะหาคนมาดูแลหลังบ้านได้แล้ว เช่นนั้นพรุ่งนี้เราให้เหยาฝูโซ่วไปบอกเจ้าสามก็แล้วกันว่า ปีนี้เราจะพระราชทานสมรสให้”

 

 

จริงๆ ด้วย เจ้าสาวที่ฝ่าบาททรงเล็งไว้ก็คือคุณหนูอวี้ ดูท่าน่าจะเปลี่ยนใจยากอยู่ แต่สนมเอกเฮ่อเหลียนก็ยังนึกถึงสายตาของโอรสที่มองคุณหนูอวิ๋นในงานเลี้ยง จึงตัดสินใจย่อตัวลง ยิ้มหวานพลางพูดอย่างอ่อนโยน

 

 

“ขอบพระทัยที่ทรงพระราชทานสมรสให้ ถ้าได้คุณหนูอวี้เป็นชายาของฉินอ๋อง คอยดูแลการบ้านการเรือนในจวนอ๋อง หม่อมฉันก็สบายใจได้ แต่หม่อมฉันเห็นองค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง อีกทั้งองค์ชายห้า กระทั่งรัชทายาท ก่อนเสกสมรสชายา ในเรือนมีสาวๆ เคียงข้างหลายคนอยู่นะเพคะ…”

 

 

พอหนิงซีฮ่องเต้ได้ยินก็เข้าใจแล้ว นางอยากจะบอกว่าในจวนของเจ้าสามมีสาวๆ น้อยไปล่ะสิ จึงหัวเราะร่าออกมาอย่างอดไม่ได้

 

 

“เจ้านะเจ้า เห็นสงบเสงี่ยม ไม่ค่อยพูดจา เรายังนึกว่าเจ้าเรียบร้อย ที่แท้ก็โลภอยู่เหมือนกัน อยากให้

 

 

โอรสสุดที่รักของเจ้า รับภรรยาน้อยเข้าบ้าน ก่อนที่จะแต่งภรรยาหลวงใช่หรือเปล่าล่ะ”

 

 

“ฝ่าบาทล้อหม่อมฉันอีกแล้ว” สนมเอกเฮ่อเหลียนหน้าแดง

 

 

“หลังเรือนมีคนมากหน่อย โอกาสมีลูกมีหลานจะได้มากตาม ยิ่งซื่อถิงร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ ถ้ามีคนมาก จะได้มีลูกหลานเชื้อพระวงศ์เพิ่มขึ้นไงเพคะ”

 

 

ก็จริง ก่อนที่องค์ชายจะแต่งชายา ถ้ารับชายารอง ชายาบ่าว หรือแม้แต่นางกำนัลเข้ามา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก บางครั้งผู้อาวุโสสูงศักดิ์ในวังยังมาขอดองด้วยหรือไม่ก็ส่งคนมาให้ด้วยซ้ำ หนิงซีฮ่องเต้หรี่ตามอง สนมเอกคนนี้ สุขุมรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ชอบพูดมาก ถ้าพูด ย่อมมีแผนในใจแต่แรก จึงหัวเราะ

 

 

“อวี้เยียน เจ้ามองใครไว้ในใจแล้วใช่ไหม”

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนหลุบตาลง “ลูกสาวของรองเจ้ากรมกลาโหมที่มาเป็นเพื่อนหม่อมฉันในงานเลี้ยงเป็นคนคล่องแคล่ว รูปโฉมก็งดงาม อายุแม้น้อยกว่าเจ้าสาม แต่รอบรู้มาก ไม่เอาแต่ใจแบบเด็กๆ คอยปรนนิบัติรับใช้ เอาใจใส่หม่อมฉันเป็นอย่างดีทีเดียว”

 

 

พอเห็นฝ่าบาทนิ่งไปไม่พูดจา จึงเสริมขึ้นอีกว่า “แม้คุณหนูอวิ๋นเพิ่งเข้าวังมางานเลี้ยงเป็นครั้งแรก แต่กลับวางตัวได้อย่างเหมาะสม เมื่อคืนไทเฮายังให้นางพักอยู่ในวังคืนหนึ่งด้วยนะเพคะ”

 

 

ตอนคำพูดนี้หลุดออกจากปาก หนิงซีฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้ว

 

 

“ลูกสาวคนโตของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ที่ชื่ออวิ๋นหว่านชิ่นใช่ไหม”

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนอึ้ง พอพูดถึง ฝ่าบาทก็หลุดปากเอ่ยชื่อนังหนูออกมาทันที เหมือนรู้จักกันมาก่อน แต่พอคิดๆ ดู ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อคืน จูซุ่นได้รายงานให้หนิงซีฮ่องเต้ทรงทราบว่า หงเยียนเป็นลูกสาวของนายทหารที่สมรภูมิถังโจว ต่อมาเจี่ยงยิ่นก็ไปยังพระที่นั่งอี้เจิ้ง เฝ้าหนิงซีฮ่องเต้ สารภาพความผิดในการตัดสินคดีเก่าของตนให้ฟังอีกครั้ง ตอนทั้งสองบรรยายเรื่องราวทั้งหมด ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงอวิ๋นหว่านชิ่น ฝ่าบาทถึงจำชื่อนี้ได้ จึงรีบพยักหน้า

 

 

“เพคะฝ่าบาท คุณหนูใหญ่ของบ้านสกุลอวิ๋น”