ตอนที่ 112 ปรากฏอีกครั้ง

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

เสียงร้องของชือเซียวน่าอนาถเกินไป ทำให้อวิ๋นเจี่ยวที่กำลังฝังเข็มอยู่นั้นถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมอง เข็มในมือก็เบี่ยงเบนไปอีกทาง 

 

 

“โอ๊ะ!…เจ็บๆๆ” ศิษย์หมอรักษาพลังลมปราณที่อยู่ด้านข้างร้องออกมา มองไปยังเข็มที่ปักอยู่บนมือด้วยสีหน้าที่อยากจะร้องไห้ “อาจารย์อวิ๋น…” 

 

 

“อ่อ ขอโทษที!” อวิ๋นเจี่ยวตั้งสติ พร้อมเก็บเข็มที่ปักผิดกลับมาด้วย 

 

 

“ไม่…ไม่เป็นไร!” ศิษย์คนนั้นนวดมือที่เจ็บของตนเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า “อาจารย์อวิ๋น เมื่อกี้…เสียงอะไร” น่ากลัวเหลือเกิน เสียดายที่เมื่อกี้ทุกคนยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือคนไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่รู้สึกว่าฟ้ามืดไปอย่างกะทันหัน ก่อนที่จะสว่างขึ้นมาใหม่ 

 

 

“ไม่รู้” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว ครุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้ลุกขึ้นยืน จากนั้นนางสั่งกำชับว่า “คนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าออกไปดูหน่อย” 

 

 

พูดจบก็หันหลังเดินไปยังทิศทางของประตูเมือง คนไข้ที่นี่มีจำนวนมาก ภายในเมืองไม่มีที่ว่างมากพอ ดังนั้นนางจึงตั้งสถานที่สำหรับการรักษาไว้บริเวณลานกว้างหน้าประตูเมือง เนื่องจากมีคนจำนวนมากตกอยู่ในอาการสลบ จึงนอนอยู่บนพื้น ดังนั้นอวิ๋นเจี่ยวจึงจำเป็นต้องอ้อมออกมาถึงจะเดินถึงหน้าประตูเมือง 

 

 

นางมองเห็นก้อนบนพื้นที่นอนหายใจรวยรินราวกับพร้อมจะสลายไปทุกเมื่อ และเหวินชิงกับเหล่าผู้อาวุโสที่มีสีหน้าฉงน 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวมองพลังสีดำก้อนนั้น พอจะเดาได้ว่าเมื่อกี้เป็นมันที่ชนเข้ามา ทันใดนั้นผงะไปเล็กน้อย 

 

 

เกิดอะไรขึ้น? หาที่ตายไกลพันลี้?! 

 

 

(⊙o⊙?) 

 

 

“เกิดอะไรขึ้น” นางมองไปยังเหล่าผู้คนที่ยืนอึ้งอยู่ 

 

 

ทุกคนผงะไป มองนางทีหนึ่ง มองชือเซียวที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นทีหนี่ง ก่อนที่จะตั้งสติได้ 

 

 

“ศิษย์…ศิษย์หลาน…” เหวินชิงถามขึ้น “แสงสีขาวเมื่อกี้นี้คือ…” 

 

 

“แสงสีขาว?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ สักพักราวกับนึกอะไรขึ้นได้ จึงตอบว่า “อ่อ…ท่านหมายถึงข่ายพลัง! คนป่วยที่นี่มีมากเกินไป พวกข้าไม่อาจดูได้ทั่วถึง ดังนั้นข้าถึงปรับเปลี่ยนข่ายพลังชำระล้างเล็กน้อย และวางไว้บริเวณใกล้เคียง ให้มันสามารถชำระล้างแรงอาฆาตได้เอง เช่นนี้หากอาการไม่หนักมาก ก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกข้าดูทีละคน” คำสาปสาวหวาเดิมทีเกิดขึ้นจากแรงอาฆาต หากแรงอาฆาตสลายไป คำสาปก็จะหายไปด้วย โดยทั่วไปหากไม่ใช่คนที่ถูกกลืนกินพลังชีวิตไปกว่าครึ่ง เมื่อเข้ามาในข่ายพลังก็จะฟื้นกลับมาเอง หากคนที่อาการหนักพวกนางค่อยลงมือรักษา ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

 

 

ข่ายพลังที่สลายแรงอาฆาต 

 

 

ดังนั้นหมายความว่าชือเซียววิ่งเข้าชนปากกระบอกปืนเองหรือ ตัวนางเองเป็นร่างแทนของแรงอาฆาต แต่กลับชนเข้ากับข่ายพลังชำระล้างเข้าเอง ทำให้สลายไปในที่สุด 

 

 

เพียงแต่ว่า เมื่อนึกย้อนไปถึงข่ายพลังที่พวกเขาร่วมมือกันวางเป็นเวลานาน สุดท้ายก็ยังสู้ข่ายพลังชำระล้างที่สหายอวิ๋นปรับปรุงไม่ได้… 

 

 

ทุกคน “…” 

 

 

เสียใจ อยากร้องไห้! 

 

 

ทันใดนั้นล้วนรู้สึกมีหลากหลายอารมณ์ภายในใจ 

 

 

แต่อวิ๋นเจี่ยวกลับดูท่าทางผิดปกติของพวกเขาไม่ออก อีกทั้งยังถามขึ้น “จริงสิ พวกท่านออกมาเร็วเช่นนี้ แล้วชือเซียวละ? จัดการเสร็จแล้วหรือ” 

 

 

สีหน้าของทุกคนแข็งทื่อไป สายตาเหลือบมองไปยังก้อนพลังสีดำบนพื้นพร้อมกัน 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวผงะ มองไปยังก้อนพลังสีดำ จากนั้นมองไปยังคนที่เหลือ ก่อนจะพูดด้วยความประหลาดใจ “พวกท่านอย่าบอกนะว่า…นี่คือชือเซียว?” 

 

 

เหวินชิง “…” 

 

 

สวีชิงเฟิง “…” 

 

 

เหล่าผู้อาวุโส “…” 

 

 

รู้สึกเห็นใจชือเซียวขึ้นมาอย่างไรไม่รู้ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” 

 

 

ภายในใจของอวิ๋นเจี่ยวก็รู้สึกซับซ้อนขึ้นมาเช่นเดียวกัน เมื่อกี้เห็นก้อนพลังสีดำที่อ่อนแอนี้ ตอนแรกยังคิดว่าเป็นผีที่ไหน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นชือเซียว ไหนบอกว่าเป็นแม่ทัพผีไง? 

 

 

“อันนี้…ทำยังไง” อวิ๋นเจี่ยวชี้ไปยังก้อนพลังสีดำบนพื้น ดูท่าทางยังไม่ได้สลายไปจนหมด 

 

 

ทุกคนถึงได้นึกถึงประเด็นสำคัญได้ เจ้าสำนักสวีพูดขึ้น “ชือเซียวไม่ได้เป็นสิ่งที่ควรอยู่บนโลกมนุษย์ ไม่อาจจะทิ้งมันไว้ได้ มิเช่นนั้นเรื่องคงจะเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” 

 

 

เขาหยิบยันต์ออกมาใบหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหาก้อนพลังสีดำนั้นโดยตรง กำลังจะจัดการสลายแรงอาฆาตสุดท้ายบนตัวของชือเซียว ทันใดนั้นก็มีแสงสีเงินส่องประกายออกมาจากพลังสีดำ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง ก่อนจะผลักสวีชิงเฟิงออกไป “ระวัง!” 

 

 

ทั้งสองคนได้ยินเพียงเสียงหนึ่งลอยผ่านหูไป นาทีถัดมารอบด้านมืดลง มีอะไรบางอย่างปรากฏอยู่ด้านบน 

 

 

“นี่…นี่คืออะไร” ผู้อาวุโสอุทานออกมา 

 

 

เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงแต่รอยประทับสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ อีกทั้งยังขยายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ถึงชั่วครู่ก็แผ่ขยายครอบคลุมไปยังนอกเมืองหลายสิบเมตร ภายใต้ตราประทับสี่เหลี่ยมยังมีตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัว เหมือนว่าจะชัดเจน แต่ทุกคนกลับไม่สามารถอ่านมันออกได้ อีกทั้งบนตัวอักษรนั้นยังมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนขัดขืนไม่ได้ เห็นเพียงแค่แวบเดียว ก็รู้สึกถึงความวิงเวียนและไร้เรี่ยวแรง 

 

 

เหล่าผู้อาวุโสรู้สึกถึงพลังภายในร่างกายกำลังปั่นป่วน พวกเขาคุกเข่าลงไปราวกับประคองตัวไม่อยู่ อย่าว่าแต่ต่อต้าน แม้แต่สติก็เริ่มหายไป 

 

 

มีเพียงเหวินชิงที่ไม่ได้รับผลกระทบ นางเบิกตาโตมองไปยังตราประทับสี่เหลี่ยมด้านบน สีหน้าดำทะมึนราวกับก้นเหว ทันใดนั้นคิดอยากจะด่าคนขึ้นมา! 

 

 

เฮ้ย! 

 

 

“ฮ่าๆๆ…” ชือเซียวที่นอนหายใจรวยรินอยู่ทางนั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา บ้าคลั่งอย่างหาที่สุดไม่ได้  

 

 

“ไม่มีพลังชีวิตพวกนี้ ใต้เท้าก็คงจะไม่ให้ข้ารอดกลับไป สู้ลากพวกเจ้าให้ตายไปด้วยกันจะดีกว่า” 

 

 

ชือเซียวหัวเราะต่อ นาทีถัดมาตราประทับสี่เหลี่ยมนั้นค่อยๆ กดทับลงมาหาทุกคน 

 

 

“เดรัจฉาน ยังคิดจะบังอาจ!” เหวินชิงไม่ได้มุงดูอีกต่อไป พลังเทพของเขาแผ่ออกมาจากรอบตัว ตราประทับสี่เหลี่ยมกลางอากาศชะงักลง ราวกับถูกกดปุ่มหยุด ส่วนคนในเหตุการณ์เมื่อสัมผัสกับพลังเทพ ก็ไม่อาจประคองตัวไว้ได้อีก ต่างสลบลงไป 

 

 

พลังเทพบนตัวของเหวินชิงแผ่ออกมา ทันใดนั้นเขาก็กลายร่างกลับไปเป็นเทพเหมือนเดิม เขาโบกมือทีหนึ่งทันใดนั้น ตาประทับสี่เหลี่ยมบนท้องฟ้าก็หดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ถึงชั่วครู่ก็หดเหลือขนาดเท่าฝ่ามือ ก่อนจะร่วงลงบนพื้นเสียงดัง 

 

 

ชือเซียวมองไปยังเหวินชิงอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าขับไล่อาวุธยมโลกของใต้เท้าได้อย่างไร เจ้า…เจ้า…เจ้าเป็นคนของสวรรคโลก!” นางรู้ตัวตนของเหวินชิงในที่สุด แต่สายตาของนางไม่ได้ปรากฏความหวาดกลัว แต่เป็นความตื่นเต้น 

 

 

“พูด ใครสั่งให้เจ้ามาโลกมนุษย์” เหวินชิงเสกคาถาหนึ่งไปทันที ชือเซียวที่เดิมทีเหลือเพียงร่างวิญญาณนั้น พลังก็หายไปกว่าครึ่ง 

 

 

“เจ้าจะทำอะไร เดี๋ยว!” ชือเซียวแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาในที่สุด ก่อนจะตะโกนว่า “เจ้า…เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ข้าเป็นแม่ทัพผีของยมโลก พวกเรามีสัญญาต่อกัน…เจ้าไม่อาจ…” 

 

 

“หุบปาก!” เหวินชิงส่งเสียงเย็นในลำคอ พลังเทพบนตัวของเขาลุกโชนราวกับเปลวเพลิง “ไม่ว่าสัญญาอะไรก็ไม่อาจกลายเป็นข้ออ้างที่พวกเจ้าบุกรุกโลกมนุษย์ได้” เป็นเพราะสัญญาบ้าบอนี้ ถึงทำให้อาจารย์โกรธ พวกนั้นยังบังอาจไม่สนใจคำเตือนของเขา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ใช้เวลาไม่นานก็คงต้องตายกันหมด! 

 

 

“แต่…แต่สวรรค์ไม่เคยยุ่งเรื่องโลกมนุษย์…” 

 

 

“ดังนั้นพวกเจ้าจึงถือโอกาสบังอาจเช่นนี้หรือไง” เหวินชิงยิ่งโกรธมากขึ้น เขาท่องคาถาขึ้นอีกครั้ง “รีบบอกมา ว่าใครส่งเจ้ามาโลกมนุษย์ อาวุธนี้ใครเป็นคนให้เจ้ามา หานซู หรือจี้ฉี” 

 

 

ชือเซียวสายตากระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น นางรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไร “ข้า…ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้!” 

 

 

“ดื้อดึงยิ่งนัก!” เหวินชิงกดเสียงต่ำลง ไม่อยากจะพูดกับนางอีก เขาท่องคาถาหนึ่งขึ้น คิดจะดูความทรงจำบนวิญญาณของอีกฝ่าย แต่ในขณะที่กำลังจะโดนตัวของอีกฝ่ายนั้น 

 

 

ร่างของชือเซียวกลับบิดเบี้ยว สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับไม่อยากเชื่อ “ไม่! ใต้เท้า ข้า…” 

 

 

นาทีถัดมา ร่างวิญญาณของนางก็สลายหายไป ราวกับถูกอะไรบางอย่างตีจนแหลก 

 

 

เหวินชิงผงะ เขายืนอึ้งอยู่สักพักด้วยความเหลือเชื่อ คิ้วของเขาขมวดหนักยิ่งขึ้น เมื่อกี้คือ…การกลืนวิญญาณ! 

 

 

มีคนฝังคาถากลืนวิญญาณภายในร่างของชือเซียวนี้ และใช้มันขึ้นมาเมื่อกี้ ทำให้ชือเซียววิญญาณสลายไป 

 

 

ภายในใจของเขาเย็นวาบ แม้แต่คาถากลืนวิญญาณที่ร้ายกาจเช่นนี้ก็ถูกใช้ออกมา ยมโลกช่างบ้าคลั่งเสียจริง 

 

 

ทันใดนั้นภายในใจเขาเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่อาจยับยั้งได้ ไม่ใช่เพราะคำกำชับของอาจารย์ แต่เพียงแค่การกระทำของยมโลกก็ทำให้เขาตกตะลึง การตัดสินใจในตอนนั้นเพื่อสิ่งที่ดีของทั้งสามโลกจริงเหรอ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความสงสัย 

 

 

เหวินชิงกำมือข้างตัวแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีเพื่อระงับความสับสนภายในใจ ก่อนจะพึมพำออกมา “ใครเป็นคนสร้างอาวุธพวกนี้กัน” 

 

 

“ข้าคิดว่าเป็นคนที่ชื่อหานซู!” ทันใดนั้นมีเสียงหญิงสาวที่เรียบเฉยดังขึ้นมาจากด้านหลัง 

 

 

เหวินชิงตกใจ เขาหันหน้าไปมองคนที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าฉงน “ศิษย์…ศิษย์หลาน!” 

 

 

เฮ้ย! 

 

 

นางอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไร ทำไมนางถึงไม่สลบไป! 

 

 

Σ(°△°|||)︴