ตอนที่ 113 ผู้เป็นเจ้าของ

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

อวิ๋นเจี่ยวไม่รับรู้ถึงความตะลึงของเหวินชิง นางเดินไปทางขวามือ ก่อนจะก้มหยิบของบางอย่างแล้วเดินกลับมา ชี้ไปบริเวณด้านล่างของสิ่งนั้น “ท่านดู” 

 

 

เหวินชิงผงะ ก่อนจะพบว่าสิ่งที่นางถืออยู่ในมือคืออาวุธยมโลกสี่เหลี่ยมเมื่อครู่นี้ นางจงใจพลิกมันไปอีกด้าน เห็นเพียงแต่ด้านบนแกะสลักตัวหนังสือขนาดใหญ่สีแดงสดอยู่…ตราผนึกหานซู! 

 

 

“นี่คือ…” เหวินชิงตะลึง จ้องมองไปยังตราประทับสี่เหลี่ยมนั้นอย่างตั้งใจ ก่อนที่ไฟโกรธภายในใจจะลุกไหม้ขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนด่าออกมา “เป็นเขาจริงๆ ด้วย!” 

 

 

“อาจารย์อาเหวินรู้จักเขา” อวิ๋นเจี่ยวถามด้วยความสงสัย 

 

 

เหวินชิงสีหน้าบึ้งตึง ความโกรธบนใบหน้ายิ่งมีมากขึ้น เขาถอนหายใจยาวออกมา ก่อนจะพูดว่า “เขาเป็นลูกศิษย์ที่ไม่รักดีของข้า” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวผงะไป ลูกศิษย์? เหวินชิงเป็นปรมาจารย์ของสำนักไท่ชิงไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมีลูกศิษย์จากยมโลกได้ 

 

 

“เรื่องนี้ต้องเล่ายาว คงไม่อาจอธิบายได้ในเวลานี้” สายตาของเหวินชิงหนักอึ้ง ก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาเกาหัวอย่างเก้อเขินพร้อมพูดขึ้น “คือ…ศิษย์หลาน เจ้าวางใจได้ เรื่องนี้ข้าจะต้องสืบให้แน่ชัด ดูว่าคนของยมโลกต้องการทำอะไรกันแน่ ดังนั้นก่อนจะถึงตอนนั้น…สามารถ…สามารถ…” 

 

 

เขายิ่งพูดยิ่งเสียงเบา ใบหน้าแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ ไม่กล้าที่จะพูดจุดประสงค์ออกมา 

 

 

“ท่านไม่อยากให้ข้าบอกอาจารย์ปู่” อวิ๋นเจี่ยวพูด 

 

 

“ใช่ๆๆ !” เขาพยักหน้าทันที ศิษย์หลานช่างฉลาด! 

 

 

“ไม่ได้!” 

 

 

“ฮะ?” เหวินชิงผงะ ไม่คิดว่านางจะปฏิเสธอย่างรวดเร็วเพียงนี้ ทันใดนั้นใจเย็นวาบ “ศิษย์หลาน…” 

 

 

“นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าข้าจะบอกอาจารย์ปู่หรือไม่” อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ รู้ว่าอีกฝ่ายคงร้อนรนจนสับสน “เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร เมื่อสำนักเทียนซือรู้ สำนักอื่นของเสวียนเหมินก็ต้องรู้เช่นกัน ถึงแม้ข้าจะไม่พูด แต่ไป๋อวี้สอนลูกศิษย์จำนวนมากขนาดนั้นทุกวัน อาจารย์ปู่ก็อาจได้ยินบ้างบางประโยค ท่านคิดว่าจะปิดบังได้เหรอ” อาจารย์ปู่ไม่ได้โง่ เพียงแค่คิดก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น 

 

 

“…” เหวินชิงห่อเหี่ยวลงไปในทันที แม้แต่พลังเทพบนตัวก็หม่นหมองลงไปเล็กน้อย 

 

 

อาจเป็นเพราะท่าทางของอีกฝ่ายน่าสงสารเกินไป อวิ๋นเจี่ยวจึงปลอบใจเขา “วางใจเถอะ! ท่านสืบของท่าน ถึงแม้หานซูจะเป็นลูกศิษย์ของท่าน แต่แค่อาวุธยมโลกชิ้นเดียวยังไม่อาจแน่ใจว่าเป็นเพราะเขา อีกทั้งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน อาจารย์ปู่เป็นคนมีเหตุผล เขาไม่กล่าวโทษท่านหรอก” 

 

 

“…” เหวินชิงมุมปากกระตุก พร้อมใช้สายตาซับซ้อนกวาดมองอวิ๋นเจี่ยวขึ้นลง จะว่าไปศิษย์หลานคนนี้มีความเข้าใจผิดอะไรต่ออาจารย์หรือเปล่า เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าคนอื่นบอกว่าอาจารย์เป็นคนมีเหตุผล ไม่! เจ้าตื่นเดี๋ยวนี้ เขาเป็นคนที่ใช้กำลังในการสนทนาอย่างเดียวเท่านั้น 

 

 

“หากเป็นเช่นนั้น คือ…ศิษย์หลาน!” เขาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจไม่กลับชิงหยางในตอนนี้ เขาต้องรีบไปสืบเรื่องทั้งหมดให้ชัดเจนก่อนที่อาจารย์จะโกรธ ดังนั้นเขาจึงกัดฟันกำชับอีกฝ่าย “ข้าต้องกลับโลกข้างบนหลายวันเพื่อสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัด คงจะกลับไปกับเจ้าไม่ได้” 

 

 

“อ่อ งั้นท่านระวังตัวด้วย” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ถึงแม้เหวินชิงจะเป็นเทพ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องของยมโลก 

 

 

เหวินชิงโล่งใจ ในขณะที่เขากำลังจะนั่งเมฆกลับขึ้นไปนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาจึงพูดขึ้น “จริงสิ ข้าถามหน่อยได้หรือไม่ เมื่อกี้เจ้าใช้คาถาอะไรในการทำลายคาถาสลบของข้า” 

 

 

“คาถาสลบอะไร” อวิ๋นเจี่ยวทำหน้าฉงน 

 

 

“ก็คือพลังเทพที่เมื่อกี้ข้าปล่อยออกมา” เขาอธิบาย “พลังเทพเมื่อกี้มีคาถาสลบ หากในตัวมีพลังลมปราณก็สมควรที่จะสลบไปถึงจะถูก” นอกเสียจากอีกฝ่ายมีพลังมากกว่าเขา แต่ว่าศิษย์หลานเป็นแค่คนธรรมดา 

 

 

“พลังลมปราณ? อ่อ…” นางราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงตอบกลับ “อาจเป็นเพราะว่าข้าไม่มีเส้นชีพจรเสวียน” บนตัวของนางไม่มีเส้นชีพจรเสวียน ในร่างกายจึงไม่มีพลังลมปราณเป็นธรรมดา ดังนั้นคาถาจึงไม่ได้ผลกับนาง 

 

 

“ฮะ?” เหวินชิงเคยคิดว่านางอาจจะใช้ข่ายพลังพิเศษ หรือวิชาการฝังเข็มอะไรบางอย่าง เพราะว่าศิษย์หลานคนนี้มีพรสวรรค์อย่างมาก แต่เขาไม่คิดว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ ดังนั้นปฏิกิริยาแรกของเขาจึงคิดว่านางกำลังล้อเล่น “เป็นไปได้อย่างไร” เขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครไม่มีเส้นชีพจรเสวียน อีกทั้งอาจารย์จะรับลูกศิษย์ที่ไม่มีเส้นชีพจรเสวียนได้อย่างไรกัน 

 

 

“ไม่เชื่อท่านก็ดูเอง” อวิ๋นเจี่ยวยื่นมือออกไป 

 

 

เขาวางมือลงบนชีพจรของนาง ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าไม่อยากพูดก็ช่างเถอะ ที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้…เฮ้ย!” เขาพูดเพียงครึ่งเดียว ก่อนจะเบิกตาโพลง มองหน้าของอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อ พร้อมกับตรวจดูเส้นชีพจรของนางอีกรอบอย่างละเอียด 

 

 

ไม่…ไม่มีจริงด้วย! 

 

 

(⊙_⊙) 

 

 

“เจ้า…เจ้า…” เป็นไปได้อย่างไร บนโลกนี้มีคนที่ไม่มีเส้นชีพจรเสวียนได้อย่างไร ทันใดนั้นเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เด็กที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ทำไม…ถึงไม่มีเส้นชีพจรเสวียนกัน! วิชาทางข่ายพลังของนาง อีกทั้งยังได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ปู่ หากคิดจะบรรลุคงไม่เป็นปัญหา ทันใดนั้นสายตาที่มองไปยังนางเต็มไปด้วยความเห็นใจ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวเองกลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะว่านางรู้สึกชินชาแล้ว นางหันไปมองคนที่อยู่บนพื้น ก่อนจะพูดไล่ “ข้าไปช่วยให้พวกเขาตื่นก่อน ท่านตามสบาย” คาถาสลบของเหวินชิงเมื่อกี้นี้ทำให้พวกเขาสลบไปเท่านั้น หนึ่งเพื่อเป็นการปิดบังตัวตนเทพ สองเพื่อเป็นการรักษาพลังที่ถูกทำลายโดยอาวุธยมโลกเมื่อกี้ 

 

 

“งั้นข้าไปก่อน” เหวินชิงรีบร้อนที่จะไปสืบความเป็นมาของเรื่อง ไม่ได้ลังเล เขามองไปยังอวิ๋นเจี่ยวด้วยสายตาเห็นใจอีกทีหนึ่ง ก่อนจะบินกลับโลกข้างบนไป เฮ้อ ศิษย์หลานที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ทำไมถึงไม่มีเส้นชีพจรเสวียนกันนะ 

 

 

เดี๋ยว! 

 

 

ทันใดนั้น เขานึกถึงเรื่องที่อาจารย์มาดึงเส้นชีพจรเสวียนของเขาเมื่อหลายวันก่อน วันนั้นอาจารย์เหมือนเคยถามศิษย์หลานว่าชอบหรือไม่ ตอนนั้นเขายังอยู่ในอาการตกตะลึง ไม่ได้คิดลึกลงไป หรือว่า…อาจารย์เดิมทีดึงมาให้ศิษย์หลานใช้? 

 

 

“…” 

 

 

ไม่ๆๆ เขาต้องคิดมากไปเป็นแน่ อาจารย์ไม่มีทางรักลูกศิษย์มากเพียงนั้น! 

 

 

… 

 

 

เหวินชิงบินกลับจวนบนสวรรค์ของตนเอง เนื่องจากภายในใจมีเรื่องจึงบินอย่างรีบร้อน จนกระทั่งเห็นร่างที่คุ้นเคยสี่ห้าคนบริเวณหน้าประตู ถึงได้นึกบางอย่างขึ้นได้ เขาจึงรีบวกกลับทางเดิมทันที 

 

 

แต่ก็ยังสายไป เขาได้ยินเพียงเสียงดีใจหนึ่งดังขึ้นบริเวณหน้าประตู “ศิษย์น้อง!” 

 

 

เหวินชิงบินเร็วมากขึ้น แต่คนที่อยู่ด้านหลังรู้ทัน 

 

 

“เขาคิดจะหนี!” 

 

 

“จับเขาไว้!” 

 

 

“จับเป็นนะ!” 

 

 

ไม่รู้ว่าใครตะโกนด้วยความตกใจ ทันใดนั้นเขารู้สึกเพียงเย็นวาบที่หลัง ก่อนที่จะมีอาวุธสิบกว่าชิ้น 

 

 

เขวี้ยงมาทางเขา เขาจึงทำได้เพียงหยุดลงเพื่อหลบอาวุธเหล่านั้น แต่ก็ยังถูกระฆังสีทองเขวี้ยงโดน เขาประคองตัวไว้ไม่อยู่ ก่อนจะล้มหัวคะมำลงไป 

 

 

แต่ว่าคนที่อยู่ด้านหลังไม่คิดจะปล่อยเขาไป พวกเขาต่างล้อมเข้ามา บ้างหยิบโซ่ขังเทพ บ้างหยิบยันต์สะกดเทพ บ้างโยนอาวุธใส่หน้าของเขา ทันใดนั้นเขาก็ถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนา อีกทั้งยังถูกรัดจนกลายเป็น 

 

 

บ๊ะจ่าง 

 

 

“…”