“ผู้มีเกียรติห้องวีไอพีหมายเลข 4 เสนอราคา 3.5 ล้านหยวน!”

ท้ายที่สุด อวี้ฮ่าวหรานยอมกัดฟันสู้ไปจนถึง 3.5 ล้านหยวน!

ราคานี้ทำให้ผู้คนในห้องโถงประมูลถึงกับแสดงสีหน้าโง่งม และทำให้คนที่อยู่ในห้องวีไอพีหมายเลข 2 ยอมตัดใจ

การประมูลจบลงที่ราคานี้และอวี้ฮ่าวหรานก็ได้กำไลหยกแสนแพงอันนี้มาด้วยสีหน้าขมขื่น

หลังจากกำไลชิ้นนี้ประมูลจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ประมูลของชิ้นอื่นต่อเพราะมันไม่มีของอะไรแล้วที่มีพลังวิญญาณสถิตอยู่

และหลังจากการประมูลจบลง อวี้ฮ่าวหรานพลันเดินออกมาจากห้องวีไอพีหมายเลข 4 พร้อมกับกำไลหยก และหวังเหยียนก็เดินตามมาออกมาด้วยติด ๆ

“น้องอวี้ นายเพิ่งจะประมูลสู้กับคนที่อยู่ในห้องวีไอพีหมายเลข 2 อย่างดุเดือดไป ฉันเกรงว่าระหว่างทางกลับบ้านของนายคงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ให้ฉันไปส่งนายให้เอาไหม?” หวังเหยียนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอกผมรับมือได้!”

อวี้ฮ่าวหรานยิ้มให้กับหวังเหยียน พร้อมกับส่ายหัวอย่างสุภาพและเดินจากไป

ไร้สาระ! ใครกันที่มันจะมีความสามารถพอที่จะแย่งของไปจากเขาได้!

แต่แล้วหลังจากขับรถออกไปได้ไม่ไกลนัก รถของเขาก็ถูกขวางเอาไว้โดยรถ SUV สีดำ 3 คัน

“ไอ้หนุ่ม ลงมาคุยกับฉันซะดี ๆ!”

อวี้ฮ่าวหรานระอาใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ใช่วันดีสักเท่าไหร่ที่เขาออกมาเตร็ดเตร่นอกบ้านสินะ?

มีคนหาเรื่องเขาอีกรอบแล้ว!

“แกเป็นคนที่อยู่ในห้องวีไอพีหมายเลข 4 ใช่ไหม?”

ชายในชุดสูทดำ 10 คนลงมาจากรถ SUV ทั้ง 3 คันด้วยสีหน้าดุดัน พวกเขาแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีร่างกายที่กำยำดูน่าเกรงขาม และคนที่ดูเป็นหัวหน้ากลุ่มคนพวกนี้เป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสมส่วนเต็มไปด้วยมัดกล้าม

“พวกแกคนที่อยู่ในห้องวีไอพีหมายเลข 2 สินะ?” อวี้ฮ่าวหรานลงจากรถเช่นกันพร้อมกับถามกลับ

เมื่อเห็นท่าทางของฝั่งตรงข้าม อวี้ฮ่าวหรานก็เดาได้ว่าคนพวกนี้คงไม่ได้มาขอซื้อกำไลหยกต่อ แต่น่าจะมาเพราะจะปล้นกำไลหยกไปจากเขามากกว่า

“รู้แล้วก็ดี! ส่งกำไลหยกนั่นมาให้ฉันซะ แล้วฉันจะปล่อยแกไปโดยที่ไม่ทำอะไรแก!”

หัวหน้ากลุ่มชายชุดสูทตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงข่มขู่

“กำไลหยกนี้มันก็แค่กำไลหยกธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ ทำไมพวกแกถึงอยากได้มันนัก?”

อวี้ฮ่าวหรานจ้องเขม็งไปที่หัวหน้ากลุ่มฝั่งตรงข้ามพร้อมกับยิงคำถามหยั่งเชิงเพื่อดูว่าฝั่งตรงข้ามรู้เรื่องกำไลหยกนี้มากน้อยแค่ไหน

“เหอะ! คนธรรมดาอย่างแกจะไปรู้ได้ยังไงว่ากำไลหยกนั่นมันล้ำค่าแค่ไหน แกไม่มีทางเข้าใจความหมายของพลังวิญญาณและผู้เชี่ยวชาญแน่นอน!”

หัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้หนุ่มนี่มันถึงแย่งประมูลกำไลหยกไปจากเขา แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันนี้เขาต้องได้กำไลหยกนี้ไปให้ได้!

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินสิ่งที่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยออกมาคิ้วของเขาเลิกขึ้นทันที ดูเหมือนว่าพวกผู้บ่มเพาะหรือตามที่คนในโลกนี้เรียกตัวเองว่าพวกผู้เชี่ยวชาญ คนพวกนี้สามารถมองเห็นพลังวิญญาณที่สถิตอยู่ในพวกของโบราณได้เหมือนกันสินะ?

ถ้างั้นมันก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่ของโบราณแบบที่มีพลังวิญญาณสถิตอยู่มันจะเป็นของที่หายากเป็นอย่างมาก

“สรุปแล้วแกจะไม่ให้ฉันใช่ไหม! ได้! งั้นพวกฉันคงจะต้องใช้กำลังสักหน่อยแล้ว!”

เมื่อพูดจบหัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทโบกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องของตัวเองวิ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานทันที

“เหอะ! พวกมดแมลง!”

เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามลงมือก่อน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป เขาวิ่งสวนเข้าไปหากลุ่มคนใส่ชุดสูทเช่นกัน

คนแรกที่วิ่งนำหน้าสุดคือผู้โชคดีรายแรกที่โดนลูกถีบของอวี้ฮ่าวหรานเข้าไปเต็ม ๆ จนกระเด็นกลับไปชนกับพรรคพวกที่วิ่งตามหลังมาจนล้มระเนระนาด

“หืม?”

หัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทเมื่อเห็นแรงถีบที่ไม่ธรรมดาของอวี้ฮ่าวหราน เขารีบตะโกนสั่งขึ้นทันที

“ถอยกลับมาให้หมด!”

ด้วยแรงถีบที่สามารถถีบคนของเขาจนลอยละลิ่วกลับหลังไป 4-5 เมตร หัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทรู้ได้ทันทีว่าอวี้ฮ่าวหราน ไม่ใช่ชายหนุ่มธรรมดา ๆ อย่างที่เขาเข้าใจในตอนแรก ดังนั้นต่อให้เขาส่งลูกน้องของตัวเองเข้าไปทั้งหมดมันก็ไม่ต่างอะไรกับส่งคนของตัวเองไปรนหาที่ตาย

เขาต้องลงมือเอง!

หัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทโคจรพลังปราณไปทั่วร่างอย่างฉับพลัน จากนั้นเขาถีบตัวออกไปจากจุดที่ยืนอยู่จนฝุ่นฟุ้งตลบพุ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยความเร็วเหนือมนุษย์พร้อมกับง้างหมัดชกออกไปอย่างเต็มแรง!

อย่างไรก็ตามในวินาทีที่หมัดของเขากำลังจะถึงตัวอวี้ฮ่าวหราน เขากลับต้องตกตะลึงจนตาค้าง

เพราะจู่ ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็หายไปจากสายตาของเขา!

จากนั้นชั่วเสี้ยววินาทีต่อมากลางหลังของเขาก็ถูกทุบอย่างรุนแรง และส่งร่างของเขากระเด็นกระแทกกับพื้นถนนจนแตกร้าว!

มันกลับกลายเป็นว่าอวี้ฮ่าวหรานใช้ความเร็วของตัวเองเคลื่อนที่หลบหมัดของหัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทไปอยู่ด้านข้างได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาใช้หลังหมัดฟาดไปที่กลางหลังของหัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทอย่างจัง

หมัดนี้ อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใส่พลังวิญญาณของตัวเองลงไปเพราะเขาจงใจออมมือไว้ เขาเห็นว่าฝั่งตรงข้ามเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญธรรมดาที่ไม่ได้มีความแข็งแกร่งอะไรสักเท่าไหร่ดังนั้นหากเขาไม่ออมมือไว้ฝั่งตรงข้ามคงตายแน่นอน

อวี้ฮ่าวหรานยังไม่อยากให้ฝั่งตรงข้ามตายเพราะเขายังต้องการที่จะถามว่าฝั่งตรงข้ามใช้วิธีไหนในการดูว่ากำไลหยกมีพลังวิญญาณสถิตอยู่

ทางด้านของหัวหน้ากลุ่มคนชุดสูท สีหน้าของเขาตอนนี้เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก แค่เพียงหมัดนี้หมัดเดียวเขารู้ได้เลยว่าฝั่งตรงข้ามแข็งแกร่งมากกว่าเขาหลายเท่าตัว

อย่างไรก็ตาม เขาเองยังไม่อยากยอมแพ้ง่าย ๆ เด็กหนุ่มอายุ 20 ต้น ๆ คนนี้จะแข็งแกร่งกว่าเขาแบบไม่เห็นฝุ่นแบบนี้ได้ยังไง? มันต้องเป็นไปไม่ได้จริงไหม? เมื่อครู่เขาใช้พลังแค่ 7 ส่วน แต่ครั้งต่อไปหากเขาใช้พลังทั้งหมดเขาคงพอจะสู้ได้จริงรึเปล่า?

เมื่อตัดสินใจได้เช่นนี้ หัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทถีบตัวออกไปตั้งหลักอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาโคจรพลังปราณในร่างของเขาเองอีกรอบซึ่งแน่นอนว่ารอบนี้เขาโคจรพลังเต็ม 10 ส่วน!

แต่แล้วความพยายามครั้งถัดมาของเขาก็ไร้ผลเหมือนเดิม หลังจากที่พุ่งเข้าไปต่อยอวี้ฮ่าวหรานอีกรอบ เขาก็ประสบกับชะตากรรมคล้ายเดิมซึ่งก็คือถูกอัดจนกระเด็นออกมา แต่รอบนี้เขาถูกเตะจนลอยโด่งออกมาแทน

โดยไม่สนใจกับการอาการบาดเจ็บของตัวเอง หัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทกระอักเลือดออกมาคำโตก่อนจะตะโกนถามกลับไปด้วยสีหน้าไม่ยินยอม

“นี่แกเป็นใครกันแน่! อายุแค่นี้แกแข็งแกร่งกว่าฉันที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ได้ยังไง? นี่แกอยู่ในระดับขอบเขตแปรเปลี่ยนตั้งแต่ยังเด็กขนาดนี้ได้ยังไง!”

“เมื่อครู่ฉันแค่อัดแกไปแบบเบาะ ๆ มดแมลงอย่างแกไม่มีวันเข้าใจขอบเขตที่ฉันอยู่หรอกว่าฉันอยู่ระดับไหน… อย่าคิดให้ปวดหัวเลย” อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาไม่อยากจะใส่ใจกับไอ้คำเรียกระดับพลังขอบเขตแปรเปลี่ยนอะไรนั่นของมนุษย์ในโลกนี้ เพราะสำหรับเขา… ขอบเขตพวกนี้มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินไม่มีค่าอะไรให้ต้องจดจำ

“แค่ก ๆ งั้นฉันขอยอมแพ้!”

เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูเหมือนว่าอวี้ฮ่าวหรานยังไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมา หัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทจึงคุกเข่าลงขอยอมแพ้ด้วยสีหน้าขมขื่น

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามคุกเข่าขอยอมแพ้ง่าย ๆ เขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะทำร้ายฝั่งตรงข้ามเพิ่มอีก ระหว่างพวกเขาไม่มีความแค้นอะไรส่วนตัวดังนั้นการที่เขาสั่งสอนไปตรงข้ามแค่นี้มันก็ควรจะพอ เขาโบกมือไล่ให้ฝั่งตรงข้ามจากไปด้วยสีหน้าไม่แยแส

หัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทเมื่อเห็นสัญญาณมือของอวี้ฮ่าวหรานที่อนุญาตให้เขาจากไปได้ เขาก็รีบลุกขึ้นและวิ่งกลับไปที่รถของตัวเองทันที แต่ก่อนที่เขาขึ้นรถไป เขาพลันหันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับประสานมือคำนับและตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า

“ครั้งนี้ผู้น้อยมีตาหามีแววไม่ที่บังอาจล่วงเกินท่านยอดฝีมือ เอาไว้พบกันคราวหน้าผู้น้อยจะขอขมาท่านยอดฝีมืออย่างเหมาะสมอีกรอบ!”

เมื่อพูดจบเขาโบกมือสั่งให้ลูกน้องของเขาทุกคนรีบขึ้นรถและขับรถจากไปในทันที

อวี้ฮ่าวหรานมองตามรถที่ขับออกไปด้วยสีหน้าขบขัน โลกนี้ยังมีกลุ่มคนที่มีวิธีการพูดเหมือนกับดินแดนแห่งเทพอยู่ด้วยงั้นเหรอ? น่าสนใจ ๆ

เอ๊ะ? เขาลืมไปเลยว่าเขาอยากจะถามฝั่งตรงข้ามว่าใช้วิธีไหนในการดูพวกของโบราณว่ามันมีพลังวิญญาณสถิตอยู่!

บ้าจริง! เขามัวแต่ประหลาดใจที่ฝั่งตรงข้ามยอมคุกเข่าขอโทษเขาแบบง่าย ๆ เมื่อครู่!

ในระหว่างที่อยู่ในรถ หัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทพยายามปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่เขาเพิ่งทำลงไปมันไม่ใช่การกระทำเยี่ยงคนขี้ขลาด

ฝั่งตรงข้ามเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแปรเปลี่ยนซึ่งแข็งแกร่งกว่าเขาเป็นสิบ ๆ เท่า เขาจะไปสู้กับคนแบบนั้นได้ยังไง?!

ไม่ใช่ว่ามันเป็นการรนหาที่ตายโดยเปล่าประโยชน์งั้นเหรอหากเขายังคงดึงดันสู้ต่อไป?

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอวี้ฮ่าวหรานนั้นมันเกินที่เขาจะจินตนาการได้ไปไกลโข

อันที่จริงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอวี้ฮ่าวหรานในตอนนี้สามารถบดขยี้เขาให้ร่างแหลกเละได้เพียงใช้แค่นิ้วเดียวเท่านั้น!

หลังจากขับรถหนีไปได้ราวครึ่งชั่วโมง หัวหน้ากลุ่มคนชุดสูทก็กลับไปถึงคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่ง

“เฉินซิว ทำไมสภาพของแกเป็นแบบนี้ แกไปโดนอะไรมา?”

ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ในห้องโถง ถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าเฉินซิวเดินเข้ามาหาด้วยสภาพยับเยิน

ชายวัยกลางคนผู้นี้คือหัวหน้าของเฉินซิว มีชื่อว่าหยวนหลง เป็นหัวหน้าใหญ่ของแก๊งมังกรครามอันโด่งดังในเมืองฮ่วยอัน!

“หัวหน้า กำไลหยกอันนั้นที่หัวหน้าส่งผมไปประมูลมันถูกชายหนุ่มคนหนึ่งประมูลตัดหน้าไป จากนั้นผมก็เลยพยายามที่จะชิงคืนมาในระหว่างทางกลับแต่ไม่นึกเลยว่าชายหนุ่มคนนั้นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจนผมเดาไม่ถูกว่าอยู่ในระดับไหน!” เฉินซิวคุกเข่าลงที่พื้นพร้อมกับตอบกลับด้วยสีหน้าขมขื่น

“เดาไม่ถูกว่าอยู่ในระดับไหน? เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแปรเปลี่ยนรึเปล่า?” หยวนหลงถามกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ผมไม่แน่ใจ แต่ผมไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่ชายเสื้อของฝั่งตรงข้าม ผมคิดว่าอย่างน้อย ๆ ฝั่งตรงข้ามคงไม่น่าอยู่ขอบเขตต่ำกว่าแปรเปลี่ยนเป็นแน่!”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ เฉินซิวก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกรอบที่ฝั่งตรงข้ามยอมปล่อยเขามาแต่โดยดี ไม่งั้นป่านนี้หากฝั่งตรงข้ามไม่คิดจะละเว้นเขาแล้วล่ะก็เขาคงตายไปแล้ว

“เอาเถอะ ๆ เรื่องนี้แกไม่ผิดอะไรหรอกมันเป็นความประมาทของฉันเอง ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าที่เมืองนี้จะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแปรเปลี่ยนอาศัยอยู่ด้วย เฮ้อ ดูเหมือนว่าการทะลวงระดับของฉันคงต้องเลื่อนต่อไปอีกซะแล้ว…”

หยวนหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับถอนหายใจพลางมองออกไปยังวิวด้านนอกคฤหาสน์