ตอนที่ 121 อย่าเย็นชากับพี่สะใภ้สามของพวกเธอนัก

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 121 อย่าเย็นชากับพี่สะใภ้สามของพวกเธอนัก

ในตอนเที่ยงของวันต่อมา จี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่ก็มาถึงบ้าน ทั้งยังมีจี้อวิ๋นอวิ๋นมากับพวกเขาด้วย

ตอนนี้จี้อวิ๋นอวิ๋นเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วในเมืองมหาวิทยาลัย แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังอยู่ใกล้ชิดกับอวิ๋นลี่ลี่ จึงไม่ได้กลับมาในช่วงวันหยุด

ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนปีนี้ ครอบครัวนี้ล้วนมีงานยุ่ง หล่อนจึงไม่ได้โทรศัพท์กลับมา ส่วนจี้เจี้ยนเหวินนั้นเคยโทรศัพท์กลับมาแล้ว แต่เขากำลังเปิดโรงเรียนกวดวิชากับอวิ๋นลี่ลี่อยู่จึงยุ่งมาก

เป็นเพราะกิจการกำลังวุ่นวายจนไม่อาจพูดได้ว่าเป็นการโยนกลองกันไปมา จี้เจี้ยนอวิ๋นกับซูตานหงจึงไม่ใส่ใจมากนัก ถึงอย่างนั้นจี้เจี้ยนเหวินก็ยังต้องจ่ายค่าจำนองบ้านอยู่ และตอนนี้ยังเหลือที่ต้องจ่ายอยู่เป็นร้อย ๆ หยวน เงินจำนวนนี้ถ้าเป็นจี้เจี้ยนอวิ๋นกับซูตานหงใช้เวลาหามาได้ไม่นานนัก แต่สำหรับชนชั้นแรงงานทั่วไปแล้ว เงินจำนวนนี้ถือว่าเป็นเงินที่มากทีเดียว

ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องพูดถึงคนทั้งสองที่หมุนเงินกันตัวเป็นเกลียวเลย

อวิ๋นลี่ลี่นั้นยังพอรักษาหน้าอยู่บ้าง ช่วงวันหยุดฤดูร้อน หล่อนก็ได้ส่งเสื้อผ้ากลับไปให้บางส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของเยียนเอ๋อร์ อีกสองตัวเป็นของเหรินเหริน

หล่อนเองก็ได้ยินสิ่งที่คุณแม่จี้เล่าให้ฟังแล้ว ว่าตอนนี้ลูกสาวของหล่อนถูกเลี้ยงดูมาในบ้านของครอบครัวสาม

ซูตานหงไม่สนใจอะไรมากนักกับการที่หล่อนส่งเสื้อผ้ากลับมาให้ ซึ่งเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของการแสดงน้ำใจมากกว่า

แน่นอนว่าสิ่งของเหล่านี้ไม่ได้ดีเท่ากับของที่เธอซื้อให้เยียนเอ๋อร์หรอก

อวิ๋นลี่ลี่กับจี้เจี้ยนเหวินนั้นยังพอพูดได้ว่ามีความเกรงใจกันบ้าง แต่จี้อวิ๋นอวิ๋นนั้นไม่เกรงใจใยดีอะไรกับซูตานหงและไม่ได้อยากกลับมาช่วยเหลืออะไรเลย หล่อนเพียงแต่บอกว่าได้งานชั่วคราวที่มหาวิทยาลัยแล้วเลยไม่ว่างกลับมา

แต่เรื่องนี้ซูตานหงก็ไม่สนใจ จี้อวิ๋นอวิ๋นจะกลับมาเมื่อไรก็แล้วแต่หล่อน ไม่กลับมาก็ยังได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของหล่อน ไม่สมควรที่ใครจะเข้าไปยุ่ง

และเธอก็รู้สึกดีเช่นกันหากจี้อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้กลับมา เธอไม่รู้สึกยินดีที่จะเห็นหน้าของจี้อวิ๋นอวิ๋นนัก ต่อให้หล่อนเป็นน้องสาวสามีก็ตาม

ตัวเธอเองก็พยายามประนีประนอมแล้ว แต่พอคนอื่นเห็นว่าเธอทำดีด้วย พวกเขาก็เอาเปรียบรังแกเธอ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้มันไม่จำเป็นเลย

มีเงินแล้วจะจ้างคนไม่ได้หรือ? มีคนในหมู่บ้านเยอะแยะไปที่ดิ้นรนหาเงินกันอยู่

คราวนี้ที่คนทั้งสามกลับมา คุณแม่จี้ก็กลับไปทำอาหารเองโดยไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนภูเขาอีก ซึ่งแน่นอนว่าคุณพ่อจี้ยังกินข้าวกับซูตานหงและจี้เจี้ยนอวิ๋นอยู่ ถ้าเขาต้องกินอาหารที่คุณแม่จี้ทำแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่สามารถกินได้อีกต่อไป

คุณแม่จี้ได้ยินก็ไม่ชอบใจ หาว่าเขากินของอร่อยจนเคยตัว แต่นางก็ทำเพียงพูดแบบนี้เท่านั้น

แม้คุณแม่จี้จะกลับไปกินข้าวที่บ้านเดิม แต่นางก็ไม่ให้จี้อวิ๋นอวิ๋นกินอาหารของที่บ้าน ปีนี้นางโมโหลูกสาวคนเล็กมาก จึงวางแผนจะดัดนิสัยหล่อน

ในปีที่ผ่านมาหล่อนมีท่าทางอิดออดเมื่อต้องทำอาหาร ทั้งยังตื่นสายโด่งในตอนเช้า และบอกให้มาปลุกหล่อนในทันทีที่อาหารทำเสร็จแล้ว ถึงจะเป็นอย่างนี้หล่อนก็ยังมีท่าทางไม่พอใจมากและบ่นกระปอดกระแปดอยู่เรื่อย

แต่ในเช้าตรู่ถัดจากวันที่พวกเขากลับมาถึงบ้าน คุณแม่จี้ก็ได้เดินตรงไปที่ประตูและตะโกนเรียกจี้อวิ๋นอวิ๋นให้มาทำกับข้าว

จี้อวิ๋นอวิ๋นโมโหใส่นาง นั่นทำให้คุณแม่จี้ยิ่งโมโหหล่อนมากขึ้นและหยิกเนื้อหล่อนไปหลายหน จนจี้อวิ๋นอวิ๋นต้องร้องลั่นและซ่อนตัว แต่ในที่สุดหล่อนก็ต้องไปทำอาหารเช้าทั้งน้ำตา

“คุณย่า หนูจะไปหาพ่อกับแม่” เยียนเอ๋อร์เดินเข้ามากอดขาคุณแม่จี้ด้วยดวงตามีหยาดน้ำเอ่อคลอ

“แล้วที่อยู่นี่ไม่ใช่พ่อกับแม่หนูหรอกเหรอจ๊ะ?” คุณแม่จี้ถาม

“พ่อกับแม่หนูอยู่นู่น” เยียนเอ๋อร์ร้องไห้ ที่บ้านนั้นมีน้องชายของเธออยู่ เธออยากไปที่นั่น

คุณแม่จี้เห็นแล้วก็ขบขัน จากนั้นเมื่อเห็นครอบครัวบ้านสี่เดินออกมา นางจึงเอ่ยขึ้น “ลี่ลี่ เธอรีบมาปลอบลูกเธอเร็ว”

“คุณแม่พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไรคะ ฉันฝากลูกของฉันไว้กับบ้านสาม แต่ทำไมลูกถึงเรียกพี่ชายสามกับพี่สะใภ้สามว่าพ่อกับแม่ไปแล้ว” เมื่อคืนนี้อวิ๋นลี่ลี่ถูกลูกสาวของหล่อนรบกวนตลอดทั้งคืน ในตอนนี้หล่อนนึกโมโหขึ้นมาบ้างเมื่อคิดว่าบ้านสามจงใจเลี้ยงดูปรนเปรอลูกของหล่อนจนเสียเด็ก

ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่หล่อนพูด คุณแม่จี้ก็ตระหนักว่าตอนนั้นนางไม่ได้สนใจสิ่งที่สามีชราของนางพูดอย่างจริงจังนัก มาตอนนี้นางถึงรู้สึกว่าสามีของตนพูดถูกแล้ว

คุณแม่จี้จึงสวนกลับหล่อนอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน “เธอเลี้ยงได้เองเธอก็เอาไปเลี้ยงเลยสิ อย่ามาแว้งกัดคนที่มีบุญคุณกับเธอแบบนี้ บ้านสามอุตส่าห์เลี้ยงลูกของเธอให้เปล่า ๆ แล้ว แต่เธอมาถึงก็กลับมาบ่นอย่างเดียว เป็นพ่อแม่ประสาอะไรกัน เด็ก ๆ เขาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นหรอก ใครดีกับเขา เขาก็เรียกว่าเป็นพ่อเป็นแม่หมด ดูเยียนเอ๋อร์สิ ดูดีกว่าตอนที่อยู่กับพวกเธอสองสามีภรรยาเสียอีก ตานหงทั้งตุ๋นน้ำแกงเนื้อให้กิน แถมหลังพักกลางวันก็ให้กินแอปเปิลอีก เลี้ยงลูกสาวเธอจนอ้วนจ้ำม่ำแบบนี้ เธอยังไม่พอใจอีกเหรอ?”

อวิ๋นลี่ลี่ไม่คิดเลยว่าหล่อนแค่บ่นนิดเดียว แม่สามีก็สวดหล่อนยับขนาดนี้แล้ว

จี้เจี้ยนเหวินเองก็ได้ยินเช่นกัน เขาถึงกับรีบพูดแก้ว่า “แม่ครับ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก พวกเรารู้ว่าสะใภ้สามดูแลเยียนเอ๋อร์ดีแค่ไหนเหมือนกันนะครับ”

ดูแค่นี้ก็มั่นใจได้เลยว่าลูกสาวของพวกเขาดูเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว? เสื้อผ้าที่เธอใส่ล้วนไม่ใช่เสื้อผ้าที่ลี่ลี่ซื้อมา แต่ต้องเป็นเสื้อผ้าที่สะใภ้สามซื้ออย่างแน่นอน ซึ่งดูไม่ต่างจากเสื้อผ้าที่บรรดาเด็กหญิงในเมืองใส่กันเลย ทั้งดูสุภาพและไม่กระจอกงอกง่อย จนกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขาได้

การที่เธอเรียกพี่ชายสามกับพี่สะใภ้สามว่าพ่อกับแม่นั้นช่างดูน่าขบขันในความคิดของจี้เจี้ยนเหวิน เขาไม่สนใจในเรื่องนี้เลย เขาคิดว่าการที่เธอเรียกสะใภ้สามว่าแม่ได้นั้นต้องเป็นเพราะสะใภ้สามเลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดี

“รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว อย่าเย็นชากับพี่สะใภ้สามของพวกเธอนักเลย ปีนี้เรียกได้ว่าพี่สะใภ้สามอุทิศตัวต่อการเลี้ยงเยียนเอ๋อร์ก็ไม่เกินจริงนักหรอก ความจริงพี่สะใภ้สามของพวกเธอก็เลี้ยงหลานคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่เยียนเอ๋อร์นั้นต่างออกไป หล่อนเลี้ยงออกมาดีเป็นพิเศษ อาหารที่นั่นมีอะไร มีหรือที่เยียนเอ๋อร์จะไม่ได้กิน?” น้ำเสียงของคุณแม่จี้ฟังดูดีขึ้นมากยามพูดกับลูกชาย

“ครับ ผมรู้แล้ว ๆ เดี๋ยวผมจะพาเยียนเอ๋อร์ไปนั่งที่บ้านสามนะครับ” จี้เจี้ยนเหวินเอ่ยรัวเร็ว

เยียนเอ๋อร์ลืมหน้าพ่อแม่ของเธอไปนานมาก พวกเด็ก ๆ จะคุ้นเคยกับผู้เลี้ยงดูเสมอ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นครอบครัวผู้ให้กำเนิดและมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเธอ เยียนเอ๋อร์จึงไม่อาจรังเกียจคนทั้งสองได้ ได้แต่ทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมาอยู่ซ้ำ ๆ

อวิ๋นลี่ลี่รู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย ลูกสาวของหล่อนกลายเป็นลูกของคนอื่นไปเสียแล้ว

ตอนที่หล่อนเข้ามาช่วยจี้อวิ๋นอวิ๋นทำกับข้าวในครัว หล่อนก็เอ่ยขึ้น “เธอมีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง? ถ้ายังปล่อยให้อยู่บ้านนี้ เยียนเอ๋อร์จะยังจำพี่ว่าเป็นแม่ได้อยู่ไหมนะ?”

“ฉันคิดว่าพี่สะใภ้สี่ควรพาเยียนเอ๋อร์ไปอยู่เมืองเจียงสุ่ยจะดีกว่าค่ะ หล่อนกำลังอิจฉาพี่ที่ตัวหล่อนเองไม่ได้ลูกสาว ถ้ายังให้หล่อนเลี้ยงเยียนเอ๋อร์อยู่แบบนี้ ต่อจากนั้นน้องจะกลายเป็นคนเหมือนหล่อน พี่ไม่รู้หรอกว่าหล่อนโน้มน้าวใจคนอื่นเก่งขนาดไหน ดูคุณแม่สิคะ ตอนนี้ฉันไม่ใช่คนในครอบครัวของท่านแล้ว ได้แต่เป็นที่ระบายโทสะของท่านเท่านั้นเอง เพราะนังนั่นแท้ ๆ ที่ทำให้ฉันต้องโมโหตั้งแต่ต้นปี!” จี้อวิ๋นอวิ๋นขบฟันกรอด

ใบหน้าของอวิ๋นลี่ลี่บิดเบี้ยว แม้หล่อนจะไม่อยากให้ลูกสาวของตนกลายเป็นลูกของคนอื่น แต่หล่อนก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เลี้ยงดูเธอได้ ในปีนี้หล่อนเก็บเงินจำนวนหนึ่งไว้เป็นค่าจ้างพี่เลี้ยงเด็กแล้ว และในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนี้ก็ทำกิจการโรงเรียนกวดวิชากับเจี้ยนเหวินและหาเงินมาได้มากมาย การมีลูกสักคนทำให้เก็บเงินไม่อยู่จริง ๆ เสียด้วยสิ

หลังจากปีนี้ไป ค่าจำนองบ้านของพวกเขาจะเหลือแค่มากกว่า 200 หยวน แต่หลังจากจ่ายค่าจำนองบ้านไปแล้ว หล่อนกับเจี้ยนเหวินก็ยังต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูครอบครัวทางแม่อีก ในตอนแรกครอบครัวของหล่อนให้เงิน 500 หยวนกับพวกเขาสองสามีภรรยา และยังมีครอบครัวฝั่งสามี…ซึ่งหล่อนพูดว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายคืน เพราะได้เงินคืนจากสวนผลไม้แล้ว แต่เจี้ยนเหวินก็ยังยืนยันว่าเขาจะต้องจ่ายคืน

เมื่อรวมทั้งหมดแล้วจะเป็นหนี้ครัวเรือนเท่าไหร่กันล่ะ? หล่อนอยากพาลูกสาวกลับไปเลี้ยงก็จริง แต่หล่อนก็ไม่ได้โง่หรอกนะ

……………………………………