ตอนที่ 122 วางแผนปล่อยเช่าบ้าน

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 122 วางแผนปล่อยเช่าบ้าน

แม้หล่อนจะไม่พอใจมากที่ลูกสาวตัวเองเรียกคนอื่นว่าพ่อแม่ โดยที่ไม่สามารถจดจำพ่อแม่แท้ ๆ ได้เลย แต่ความไม่พอใจก็ส่วนความไม่พอใจ หล่อนต้องยอมรับว่าลูกสาวของตนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจริง ๆ

ดูใบหน้ากลมแป้นของลูกสาวหล่อนสิ แล้วก็เสื้อผ้า ตุ๊กตา กับหนังสือภาพสำหรับเด็กอีก

เป็นเพราะพวกเขาสามีภรรยากลับมาแล้ว ของพวกนี้จึงถูกนำมาด้วย แม้หล่อนจะคิดว่าซูตานหงมีเจตนาแอบแขวะเล็กน้อย แต่นั่นก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าสวนผลไม้ของเธอมีรายได้มหาศาลในปีนี้ และของพวกนี้ก็ล้วนเป็นของจริง

สิ่งของทุกอย่างล้วนเป็นของดี แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดก็ไม่มีตัวไหนราคาต่ำกว่า 10 หรือ 20 หยวนเลย ซึ่งเป็นราคาที่เกรงว่าพวกเขาคงไม่กล้าซื้อลง พวกมันล้วนเป็นเสื้อผ้าแบบยอดนิยมที่สุดของปีนี้ และใส่กันทั่วไปในเมืองเจียงสุ่ย เช่นเดียวกับของเล่นและอาหารพวกนั้น

ปีนี้หล่อนกับเจี้ยนเหวินไม่ได้ส่งเงินกลับมามากนัก แค่คิดว่าลูก ๆ ของพวกเขาไม่ควรกินอาหารที่บ้านมากขนาดนั้น แล้วพวกเขาคิดว่าจะเลี้ยงลูกสาวให้เติบโตอย่างดีได้อย่างไรล่ะ?

นอกจากนี้การไม่นำลูกสาวกลับไปด้วย ก็ทำให้พวกเขาทั้งสองมีมือว่างพอจะมาทำงานหาเงินแทน…

อวิ๋นลี่ลี่ย่นคิ้วอย่างสับสน

“ถ้าหนูกินเสร็จแล้ว หนูจะไปหาน้องชาย”

ได้ยินลูกสาวของหล่อนบอกกับพ่อของเธอเองที่ด้านนอก หล่อนก็รู้แล้วว่าน้องชายที่เธอหมายถึงนั้นคือใครโดยที่ไม่ต้องบอก เหรินเหรินนั้นเด็กกว่าเธอ สองพี่น้องจึงมีความรักใคร่สนิทสนมเป็นอย่างดี และเยียนเอ๋อร์นั้นก็อยากแบ่งของกินให้น้องชายของเธอบ้าง

แน่นอนว่าน้องชายของเธอก็เป็นมิตรมาก เขาเต็มใจแบ่งของให้เธอกินถ้าเห็นว่ามีอาหารอยู่ เหมือนสองสาวเสี่ยวเจินเสี่ยวอวี้ และโหวหวาจือ ที่แทบไม่ต้องจะเอ่ยปากขออะไรจากเขาเลย

“ได้ครับ หลังกินข้าวเช้าเสร็จแล้วจะพาหนูไปหาน้องชายนะ” จี้เจี้ยนเหวินพูด

เยียนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างพอใจแล้วก็ไปแปรงฟัน ตอนนี้เธอแปรงฟันเองได้แล้ว โดยที่ซูตานหงเป็นคนสอน แม้ซูตานหงจะเอาอกเอาใจเธอ แต่ก็ไม่เคยเลี้ยงเธอแบบตามใจทุกเรื่อง ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับเหรินเหริน หากมีอายุครบ 3 ขวบและมีฟันขึ้นก็ให้แปรงฟันกันเองได้แล้ว

เห็นว่าลูกสาวของเขาอยากแปรงฟัน จี้เจี้ยนเหวินก็รู้สึกทึ่ง ทั้งพ่อและลูกสาวมาแปรงฟันด้วยกัน และลูกสาวของเขาก็ยังแปรงฟันได้อย่างเหมาะสมจนเขาไม่จำเป็นต้องสอนอีกด้วย

“แม่ พี่สะใภ้สามเป็นคนดีจังครับ หล่อนสอนลูกสาวผมได้ดีมากเลย” จี้เจี้ยนเหวินยิ้มให้คุณแม่จี้หลังแปรงฟันเสร็จแล้ว

“ก็ดีแล้ว อย่าเอ็ดไปล่ะ จำไว้ว่าแกยังต้องไปหาพี่ชายสามของแกอีกนะ” คุณแม่จี้บอก

“ครับ” จี้เจี้ยนเหวินรับคำ

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เยียนเอ๋อร์ก็ไม่ค่อยประทับใจกับอาหารเช้าเท่าใดนัก แต่เธอก็ไม่ได้บ่นอะไร เพียงแต่กินอย่างว่าง่าย

“แกคงยังไม่ชินล่ะสิ สะใภ้สามมักจะทำโจ๊กไป๋เหอใส่เนื้อล้วนในตอนเช้า บางครั้งก็เป็นโจ๊กงาซี่โครงหมู หรือไม่ก็เป็นโจ๊กเนื้อล้วนใส่ไข่น่ะ มีน้อยมากที่เป็นโจ๊กข้าวขาวธรรมดา” คุณแม่จี้บอก

“อาหารมื้อนี้มัน…” จี้เจี้ยนเหวินยิ้มและเอ่ยกับลูกสาว “เยียนเอ๋อร์ พรุ่งนี้ให้คุณแม่ทำโจ๊กเนื้อล้วนดีไหมคะ?”

“ตกลงค่ะ” เยียนเอ๋อร์พยักหน้ารับ

หลังพ่อและลูกสาวกินกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินมายังบ้านของครอบครัวสาม เหรินเหรินเองก็คิดถึงพี่สาวของเขาเหมือนกันหลังจากไม่ได้เจอเธอมาหนึ่งคืน เมื่อเห็นเธอมาถึงเขาก็ร้องเรียกพี่สาวด้วยอาการดีใจสุดขีด

“น้องชาย” เยียนเอ๋อร์เองก็มีความสุขเช่นกัน เธอผละจากอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อแล้ววิ่งไปหาเขา

“นายกินข้าวมาหรือยัง?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม

“พวกเรากินมาแล้วครับ” จี้เจี้ยนเหวินตอบพลางหัวเราะ

“เยียนเอ๋อร์ได้กินเยอะแค่ไหนจ๊ะ” ซูตานหงถาม

“ชามหนึ่งค่ะ” เยียนเอ๋อร์ตอบด้วยสายตาที่ยังไม่พอใจนัก

ซูตานหงยิ้มแล้วเดินเข้าไปหยิบชามมาตักโจ๊กหมูล้วนใส่ไข่ให้เธอครึ่งชาม จากนั้นก็หันไปบอกกับจี้เจี้ยนเหวินว่า “เยียนเอ๋อร์แกกินจุน่ะค่ะ เธอยังกินได้อีกชามหนึ่ง น้องสี่ควรให้เธอกินมากกว่านี้นะจ๊ะ”

“ครับ” เมื่อจี้เจี้ยนเหวินเห็นลูกสาวจ้องมองที่เธอ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้และจัดการป้อนโจ๊กให้ลูกสาว

เห็นชัดว่าลูกสาวของเขาพอใจกับอาหาร และยิ่งชอบโจ๊กแบบนี้มากขึ้นอย่างชัดเจน

จี้เจี้ยนเหวินคุยกับพี่ชายสามเกี่ยวกับรายได้ของสวนผลไม้ในปีนี้

จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม “กิจการปีนี้ถือว่าดีมาก รายได้ต่อปีถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้อยู่น่ะ”

“ถ้าพี่มีเงินแล้ว พี่ก็ซื้อห้องชุดในเมืองเก็บไว้ก็ได้นะครับ จะได้เอาไว้ให้เหรินเหรินกับคนอื่น ๆ ในอนาคต” จี้เจี้ยนเหวินบอก

พี่ชายสามของเขาเพิ่งซื้อรถกลับมา และรถคันนี้ก็มีราคาพอ ๆ กับบ้านของเขาเลยทีเดียว เห็นชัดว่ามันต้องขายได้กำไรอย่างแน่นอน ถ้าเขาได้กำไรที่ดีแบบนี้ในทุกปี เขาก็ยินดีกับพี่ชายสามด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรให้คนอื่น ๆ รู้ว่าสวนผลไม้ทำรายได้ดี

ยิ่งมีสวนผลไม้มากขึ้น ราคาขายผลไม้ก็จะยิ่งตกลง ซึ่งนั่นยังไม่ปลอดภัยเท่าใดนัก

และราคาบ้านในปีนี้ก็พุ่งสูงขึ้น ล่าสุดพวกมันก็ได้ขึ้นราคาอย่างช้า ๆ ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งพื้นที่ 1 ตารางเมตรก็มีราคาเกือบ 35 หยวนแล้ว ตอนที่เขาซื้อมัน มันยังมีราคาแค่ 20 หยวน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาล

ต่อให้มันจะขึ้นราคาช้า ๆ แต่ก็ถือว่ามันขึ้นราคาอยู่ดี ยิ่งตอนนี้มีการปฏิรูปและเปิดประเทศ มันก็ทำให้เมืองใหญ่ ๆ ข้างนอกดูมีสีสันอย่างเห็นได้ชัดและก้าวไปข้างหน้า จึงจำเป็นที่ราคาบ้านจะต้องเพิ่มขึ้น ต่อให้ราคาบ้านจะไม่เพิ่มขึ้น แต่ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นแล้ว มันก็ไม่มีทางลดลง ดังนั้นหากมีเงินเหลือก็ควรซื้อห้องชุดไว้เผื่อบ้าง ดีกว่าทำสวนผลไม้ไปวัน ๆ มากมาย และยังมีหลักประกันมั่นคงกว่าด้วย

แต่ติดที่ว่ามันแพงเกินไป หากซื้อบ้านในตอนนี้ มันก็จะมีราคา 3,000 หยวนสำหรับบ้านหลังเล็ก และ 3,000 ถึง 4,000 หยวนสำหรับบ้านที่ใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย ส่วนบ้านหลังใหญ่นั้นแพงมาก ราคาขายอยู่ที่ 5,000-6,000 หยวนเลยทีเดียว

อย่างเช่นในชุมชนชั้นนำติดกับโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของเมืองเจียงสุ่ยนั้น ราคาบ้านโดยปกติอยู่ที่ราคานี้กันทั้งหมด

สิ่งที่เขายังไม่รู้ก็คือซูตานหงได้ซื้อห้องชุดในชุมชนนั้นไปแล้วหนึ่งชุด และยังมีขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ตารางเมตร ตอนที่เธอซื้อในขณะนั้นมันยังมีราคามากกว่า 2,000 หยวน ซึ่งตอนนี้มันก็มีราคาเพิ่มเป็น 5,000 ถึง 6,000 หยวนแล้ว เรื่องนี้หงเจี่ยเพิ่งมาบอกเธอหลังจากไปดูมันในไม่กี่วันมานี้เอง

ตอนที่ไปซื้อนั้นยังมีคนอยู่ในชุมชนไม่มากนัก แต่ตอนนี้กลับมีคนอยู่เต็ม หงเจี่ยยังเคยถามว่าเธอมีความคิดอยากจะปล่อยให้เช่าบ้านไหม ห้องใหญ่ขนาดนั้นก็น่าจะเก็บค่าเช่าได้เดือนละ 10 หยวน

แม้ราคานี้จะไม่ถูก แต่สภาพแวดล้อมที่อาศัยก็ไม่ได้แย่สำหรับคนที่อยู่ในชุมชนนั้น ๆ ขอแค่มีเงินพอก็อยู่ได้

แต่ซูตานหงกำลังพิจารณาอยู่ รายได้ 10 หยวนต่อเดือนถือว่าไม่ใชเงินน้อย ๆ ทว่ามันก็ไม่ได้ดึงดูดใจเธอมากนัก เธอไม่สนใจเงินจำนวนเท่านี้มากเท่าไหร่นัก และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเธอไม่ได้อยู่ในเมืองเจียงสุ่ย ซึ่งนี่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งสำหรับการเก็บค่าเช่า

เมื่อจี้เจี้ยนเหวินกลับไปแล้ว ซูตานหงก็บอกจี้เจี้ยนอวิ๋นในเรื่องนี้

“งั้นรอจนกว่าปีหน้าเราจะหาเงินได้ จากนั้นก็ซื้อบ้านที่นั่นไว้ ถ้าเราไม่ได้ไปอยู่ก็ปล่อยเช่า แล้วให้เจี้ยนเหวินเป็นคนเก็บค่าเช่าแทน” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

การซื้อบ้านไม่จำเป็นต้องซื้อมาเก็บไว้เฉย ๆ เสมอไป และเขาก็คิดว่าเป็นเรื่องดีทีเดียวหากสามารถปล่อยให้เช่าได้

“งั้นก็ทำอย่างที่คุณบอกแล้วกันค่ะ” ซูตานหงยิ้ม

“ในย่านเมืองมหาวิทยาลัยดีไหมครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามเธอ

“บ้านแถวนั้นก็ปล่อยให้เช่าได้เหมือนกันค่ะ เพียงแต่เราไม่จำเป็นต้องเก็บค่าเช่าทุกเดือน เราเก็บเป็นรายปีก็ยังได้ และแน่นอนว่าจะต้องวางมัดจำ 3 เดือนก่อน ถ้าคุณจะปล่อยให้เช่าบ้าน คุณจะต้องไม่พูดขึ้นมาลอย ๆ ต้องบอกสิ่งที่คุณต้องการจะพูดไปให้ชัดเจน เช่นเดียวกับบ้านที่เมืองเจียงสุ่ยด้วย” ซูตานหงพูด

ความจริงแล้วเธอไม่อยากปล่อยเช่าบ้านเลย ถ้าเกิดปล่อยเช่าให้ผู้เช่าที่ไม่ดีพวกนั้นล่ะ? แต่ในเมื่ออาหารติดคอแล้วก็ไม่อาจคายออกมาได้ ดังนั้นก็ปล่อยให้เช่าเถอะ ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาสักหน่อย ถึงอย่างไรก็มีค่ามัดจำเป็นกุญแจสำคัญอยู่ หากในอนาคตออกจากบ้านไปแล้วยังคงสภาพบ้านไว้เป็นอย่างดีก็จะได้ค่ามัดจำคืน แต่ถ้ามีความเสียหายใด ๆ เกิดขึ้นก็ริบค่ามัดจำนั้นไว้ได้

ถ้าให้เช่าบ้านทั้งสามห้อง เธอก็จะได้เงินมากกว่าร้อยหยวนต่อปี ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียว

…………………………………