บทที่ 117 ระบายแค้น

พวกเขานั้นมัวแต่หลงระเริงไปกับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ เมื่อมาถึงในตอนนี้จึงได้เริ่มรู้สึกตัวว่าเฉินเฉียงผู้ล่วงเข้ามาในกองทัพของศัตรูที่ลึกกว่าใครนั้น ยังไม่พบร่องรอยแต่อย่างใด

“ด้วยความสามารถของน้องเฉินเฉียงสมควรที่จะไม่พบเจออันตรายได้ง่ายๆหรอกน่า”

“หรือน้องเฉินเฉียงจะ…หลงทาง”

“หลางซานเอ๋อ นี่เจ้าพูดบ้าอะไรออกมา น้องเฉินเขามีกำไลสื่อสารอยู่นะโว้ย แล้วเขาจะหลงทางได้ยังไง”

“น้องเฉินอาจจะสวนทางกับเราไปรอที่อ่าวจันทร์เสียวแล้วก็ได้นะ เขาอาจจะรออยู่ที่นั่นเพื่อรอเลี้ยงฉลองอยู่ที่นั่น”

“พวกเจ้าอาจจะพูดถูก นายพลหลิว หากทางนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าขอกลับไปที่อ่าวจันทร์เสี้ยวเพื่อดูก่อนแล้วกัน”

“ได้สิ กัปตันจาง ที่นี่ยังมีเรื่องให้ข้าต้องจัดการอยู่ก่อน เดี๋ยวจัดการเสร็จแล้วข้าจะกลับไปฉลองกับพวกเจ้า”

หลังจากพูดจบ ทั้งสองได้แยกจากกัน กองกำลังเทียนเว่ยได้พุ่งตรงไปยังอ่าวจันทร์เสี้ยวอย่างสุดกำลังราวกับจะบินได้ เพื่อหาคำตอบในสิ่งที่พวกเขากำลังกังวล

แต่เมื่อกลับไปถึง เขาไม่เห็นเฉินเฉียงอยู่ที่นั่นแม้แต่เงา

มาถึงตอนนี้ เหล่าคนของกองกำลังเทียนเว่ยทั้งแปดคนเริ่มตื่นตระหนก

ในสงครามครั้งนี้ หากไม่ได้เฉินเฉียง พวกเขาคงไม่อาจได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ แต่หลังจากจบสิ้นสงครามแล้ว คนที่ทำให้เกิดชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้กลับหาไม่เจอแม้แต่ร่องรอยเลยสักนิด

“กัป กัปตัน พวกเราจะเอายังไงต่อ” หนอนหนังสือหลู่จี้ถามออกมาด้วยท่าทีที่ร้อนรน

“รอ”

จางหยวนพูดออกมาอย่างเชื่อมั่น “ไม่ว่ายังไงก็ตามพวกเราจะรอคอยจนกว่าเฉินเฉียงจะกลับมา ต่อให้กลับมาแบบเป็นศพ พวกเราก็ต้องเห็นร่างเขาก่อน”

ทุกคนพยักหน้ารับ

เมื่อทุกคนรู้สถานะที่แท้จริงของเฉินเฉียงแล้ว แถมความสามารถของเขานั้นยังสูงล้ำกว่าใคร ต่อให้จางหยวนไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่เขาเองก็ยอมรับนับถือตั้งแต่แรกที่ได้ยินแล้วว่าเฉินเฉียงเหมาะสมกับการเป็นนายน้อยแห่งกองกำลังเทียนเว่ย และเขานั้นต้องการปลุกปั้นนายน้อยผู้นี้ด้วยตัวเองในอนาคต และดูจากท่าทางของทุกคนในกองกำลังแล้วก็สมควรที่จะคิดไม่ได้ต่างไปจากเขาแม้แต่น้อย

ครึ่งวันผ่านไป หลิวเซียงก็กลับมาถึง เมื่อเขาได้เห็นท่าทางอมทุกข์ของทุกคนเขาก็รู้ในทันทีว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ

“กัปตันจาง ยังไม่ได้ข่าวของเฉินเฉียงอีกรึ”

จางหยวนพยักหน้าอย่างเงียบงั้น ก่อนที่จะพูดออกมา “นายพลหลิว ที่นี่สมควรกำลังต้องการกำลังพลเพื่อฟื้นฟูสิ่งต่างๆใช่หรือไม่”

“กองกำลังเทียนเว่ยของเรานั้นตั้งใจจะรออยู่ที่นี่ และช่วยฟื้นฟูที่นี่ไปด้วย พวกเราหวังว่าท่านจะฟังคำขอของพวกเรา”

“ข้าเข้าใจแล้ว กัปตันจาง เจ้าไม่ต้องกังวลในเรื่องนั้น เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ตราบใดที่เจ้าต้องการ เจ้าจะอยู่ที่นี่แล้วออกตาหาเฉินเฉียงอย่างเดียวก็ได้นะ แล้วข้าจะส่งคนช่วยเจ้าอีกแรงหนึ่ง”

“ข้าขอขอบคุณนายพลหลิว”

แล้วกองกำลังเทียนเว่ยก็เริ่มฟื้นฟูอ่าวจันทร์เสี้ยวจนใช้เวลาล่วงเลยเป็นเวลากว่าสามเดือนเต็ม

แต่ในช่วงสามเดือนนี้ พวกเขาไม่แม้แต่จะเห็นร่องรอยของเฉินเฉียง

“นายพลหลิว พวกข้านั้นเฝ้ารออยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว พวกข้าคงต้องกลับไปรายงานผลการรบแล้ว พวกข้าต้องขอโทษที่สร้างปัญหาให้กับท่านในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยท่านนายพล พวกข้าต้องขอโทษจริงๆ”

จางหยวนได้นำหลิวไฮ่และคนอื่นๆในกองกำลังเข้าไปกล่าวลากับนายพลหลิวที่ฐานบัญชาการอย่างเป็นทางการ

หลังจากผ่านไปสามเดือนแล้ว ในที่สุด พวกเขาก็เลือกที่จะยอมรับและเผชิญหน้ากับความจริงในข้อนี้

หากเฉินเฉียงยังคงอยู่ พวกเขาคงได้ข่าวมาบ้างแล้ว

“โปรดรอสักครู่” หลิวเซียงได้ส่งเอกสารจำนวนหนึ่งให้จางหยวน “กัปตันจาง โปรดมอบเอกสารนี้ให้กับท่านผู้การแห่งกันหนัน ในนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับวีรกรรมทั้งหมดที่กองกำลังเทียนเว่ยได้สร้างขึ้นมาในการสงครามครั้งนี้ เพื่อให้ผู้การเว่ยได้รับรู้”

“ถึงแม้ข้าหลิวเซียงผู้นี้จะเป็นเพียงผู้ดูแลป้อมปราการที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง แต่ตัวข้าเองก็เป็นคนที่ยึดมั่นในความยุติธรรม และข้าเองก็มีรางวัลในผลงานของพวกเจ้าที่ได้สร้างขึ้นมาในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน”

“ตอนนี้ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เจ้าเองก็ช่วยข้ากล่าวคำขอบคุณให้กับผู้การแห่งกันหนันหน่อยที่ได้ส่งพวกเจ้ามาช่วยเหลือข้า ต้องขอบคุณการเสียสละของกองกำลังเทียนเว่ยแห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทราในครั้งนี้ที่ทำให้พวกข้าพบกับสันติสุขในทุกวันนี้ได้”

“ท่านนายพล….” จางหยวนได้ทำการจับมือกับหลิวเซียงอีกครั้ง ในตอนนี้เขารู้สึกตื้นตันจนสามารถพูดออกมาได้เพียงคำเดียวเท่านั้น “ขอบคุณ…”

หลังจากออกจากอ่าวจันทร์เสี้ยวได้หนึ่งสัปดาห์ กองกำลังเทียนเว่ยก็ได้กลับไปถึงพื้นที่เมืองของเขตกันหนันด้วยบรรยากาศที่เงียบงัน

ในห้องข้อมูลของตึกจอมพลแห่งกันหนันนั้น เมื่อจางหยวนและพวกได้เข้าไปในห้อง เว่ยหยวนตี้ได้ร้องไห้ออกมาพร้อมน้ำตาแห่งความดีใจ

หลังจากที่เขาส่งเฉินเฉียงและพวกลงไปยังเขตทะเลแดนใต้ เขานั้นรู้สึกกระสับกระส่ายกินไม่ได้นอนไม่หลับไปร่วมเดือน ถึงแม้ว่าจะได้รับข่าวมาบ้างว่ากองกำลังเทียนเว่ยได้มีบทบาทในการยุติสงครามแดนใต้อย่างมาก แต่นั่นก็เพียงแค่ทำให้เขานั้น ใจชื้นขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“จางหยวน พวกเจ้ากลับมาแล้ว ข้าเป็นกังวลเกี่ยวกับพวกเจ้านัก”

เว่ยหยวนตี้ได้กล่าวต้อนรับจางหยวนและคนอื่นๆในทันทีที่ห้องข้อมูลด้วยความรู้สึกยินดีปรีดา

แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของจางหยวนและคนอื่นๆแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาอย่างสับสน “จางหยวน เกิดอะไรขึ้นกัน เจ้าไม่มีความสุขกับการที่จะสร้างชัยชนะอันยิ่งใหญ่ให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างนั้นรึ”

หลังจากนั้นเว่ยหยวนตี้ก็เริ่มรับรู้ถึงต้นเหตุแห่งความผิดปกตินี้ “หลานข้า หลานข้าเฉินเฉียงอยู่ไหนล่ะ” เว่ยหยวนตี้ถามออกมา “ทำไม ทำไมเขาไม่ได้กลับมาพร้อมพวกเจ้า”

เมื่อจางหยวนได้ยินคำถามนี้ เขารู้สึกผิดและพร้อมดวงตาที่แดงก่ำและทรุดเข่าลงกับพื้นในทันที

คนอื่นๆอีกเจ็ดคนก็เช่นกัน

“ท่านผู้การ…ข้าขอโทษ น้องชายเฉินเสียสละชีวิตของเขา…”

“อะไรนะ”

ท่าทางของเว่ยหยวนตี้เปลี่ยนไปในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากปากของจางหยวน นี่ทำให้เขาแทบจะทรุดไปบนเก้าอี้

“อย่า…..อย่าได้พูดไร้สาระ”

เว่ยหยวนตี้ตะคอกออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้าอย่าได้มาโกหก ข้าคือผู้ทรงพลังในระดับราชาเลยนะ”

“ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงนั้นจะเป็นเพียงระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขายังแข็งแกร่งกว่าเจ้าอีกไม่ใช่รึไง”

“ข้ารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี พวกเจ้าอย่าได้มาหลอกข้า”

“ข้าขอโทษ ท่านผู้การแห่งกันหนัน เป็นเพราะข้าไม่ดูแลเขาให้ดี….พวกเขาพร้อมที่จะยอมรับโทษทัณฑ์”

คนทั้งแปดแห่งกองกำลังเทียนเว่ยได้พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียง

“ระยำ”

เว่ยหยวนตี้โกรธจัดจนต้องทุบโต๊ะน้ำชาตรงหน้าจนแหลกเป็นผุยผง

“นายท่าน ท่านเป็นอะไรรึ…..”

ลีปิงที่อารักขาอยู่ด้านนอกได้พุ่งเข้ามาในห้องในทันทีที่ได้ยินเสียงดังโครมคราม เขาก็พบกับเว่ยหยวนตี้ที่มีท่าทีโกรธจัด และโกรธจัดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นเขาเข้ามาในห้อง

“ลีปิง ไอ้เลวระยำ เป็นเพราะเจ้า เอาหลานชายข้าคืนมา”

เว่ยหยวนตี้ที่บ้าเลือดได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าลีปิงในชั่วพริบตาราวกับภูตผีและตบเข้าไปที่ใบหน้าของเขา

แม้ว่าลีปิงจะมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง แต่เขาก็ไม่อาจจะตอบสนองได้ทัน และตกตายในการตบของเว่ยหยวนตี้เพียงหนึ่งครั้งโดยยังไม่ทันรู้ตัว

เมื่อเห็นฉากนี้ แม้แต่จางหยวนและคนอื่นๆเองก็ยังต้องนิ่งอึ้งไป

เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้สมควรได้รับการบาดเจ็บที่จุดชีพจรหัวใจเพราะได้รับฟังข่าวร้ายนี้ และนี่เองเป็นเหตุผลทำให้เขาเสียสติและเริ่มไล่ฆ่าคน หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าคนทั้งแปดนี้ก็จะตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน

นั่นก็เพราะเว่ยหยวนตี้เองก็อยู่ในระดับราชา

แล้วใครจะสามารถกำราบเขาลง

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นี้ มีใครคนหนึ่งที่เข้ามาจากด้านนอกห้องก่อนที่จะใช้มือแตะไปที่หลังหัวของเว่ยหยวนตี้และนี่ทำให้เขานั้นหมดสติลงในทันที

“ท่านผู้การสูงสุด”

เมื่อเห็นว่าใครมา จางหยวนและคนอื่นๆได้ก้มหัวให้กับคนคนนี้ด้วยความเคารพอย่างลึกสุดใจ

ชายวัยกลางคนในชุดสีดำผู้ซึ่งมีความสูงกว่าสองเมตร หลังจากทำให้เว่ยหยวนตี้สลบก็ไม่ได้ใส่ใจการคงอยู่ของจางหยวนและพวกแต่อย่างใด เขาได้นั่งลงที่ข้างหลังของเว่ยหยวนตี้ก่อนที่จะปลดปล่อยกระแสพลังสายเลือดอย่างช้าๆเข้าไปในร่างของเว่ยหยวนตี้

หลังจากผ่านไปสิบห้านาที เว่ยหยวนตี้ก็ได้ฟื้นคืนสติ

“ท่านผู้การสูงสุด ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่”

หลังจากได้เห็นชายวัยกลางคนผู้นี้ เว่ยหยวนตี้ที่ฟื้นคืนสติก็ได้รีบก้มหัวทำความเคารพในทันที

“หยวนตี้ หากข้ามาช้ากว่านี้ คนทั้งแปดนี่ก็คงจะไม่มีร่างให้วิญญาณได้คงอยู่อีกต่อไปในห้องนี้”

ผู้บัญชาการสูงสุดได้ชี้ไปที่ซากร่างของลีปิงที่อยู่ที่พื้นแล้วถามออกมา “หยวนตี้ ลีปิงติดตามเจ้ามากว่ายี่สิบปี แล้วอะไรทำให้เจ้านั้นเสียสติจนทำเรื่องนี้ขึ้นมา”