บทที่ 116 ชัยชนะ

หลังจากดำดินลงไปแล้ว เขาได้กลับไปยังสถานที่ที่กำลังมีการต่อสู้ระหว่างสัตว์ประหลาดแห่งผืนดินและสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลในทันที เมื่อไปถึง เขาก็ได้ซ่อนตัวในพงหญ้า และโผล่เพียงหัวออกจากดินมาเท่านั้น ก่อนที่จะรับชมการต่อสู้อย่างสนุกสนาน พลางเปิดเตกิลาที่ได้รับมาจากเขตกันหนันมาดื่มพลางไปด้วย

“ฆ่ากัน ฆ่ากัน ฆ่ากัน”

เฉินเฉียงดื่มเตกีลาไปพลางเชียร์ให้ทั้งสองฝั่งต่อสู้กันไปพลางอยู่ในใจ

ในตอนนี้เขากำลังเห็นปูยักษ์กำลังโดนกะซวกโดยแรดเขาเดียวอยู่จนกระทั่งอวัยวะภายในของมันกระจายไปทั่ว นี่ทำให้เฉินเฉียงอดที่จะสาปแช่งไม่ได้

แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใด ยังไงซะที่นี่ก็คือบนบก สัตว์ประหลาดแห่งแผ่นดินย่อมเป็นต่อ เหล่าสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลในตอนนี้หากไม่ตกตายอย่างไม่เหลือชิ้นดีก็หนีลงกลับทะเลไป ยิ่งดูก็รู้ว่ายังไงซะสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลสมควรจะต้องพ่ายแพ้

“แม่เอ๊ย จะจบไปอย่างนี้รึ”

แต่ในตอนนั้นเฉินเฉียงต้องเบิกตากว้างในทันที เมื่อเขาได้มองเห็นหมูป่าตัวใหญ่ยักษ์เขี้ยวโง้งกำลังทิ่มแทงร่างกายของหมึกยักษ์ที่มีแปดหนวด และกินมันเสียตรงนั้น

“อ่า…อาหารทะเลนี่มันสุดยอดจริงๆ”

สัตว์ประหลาดแห่งแผ่นดินเมื่อเห็นแบบนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีดูแคลนหมูป่าแต่อย่างใด กลับกัน พวกมันเริ่มฆ่าสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลและกัดกินพวกมันเสียตรงนั้น

และเป็นตอนนี้ที่มีสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลจำนวนมาก ได้ตีคลื่นทะเลตรงมายังที่ตรงนี้ สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลบางตัวนั้นมีขนาดใหญ่ยักษ์ บางตัวมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าห้าถึงหกตัน หลังจากที่พวกมันปะทะเข้ากับชายหาด พวกมันก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในทันทีโดยไม่รีรอ

และด้วยการได้กำลังเสริมมานี้ เหล่าสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลก็เริ่มเรียกคืนสถานการณ์ และทำให้ทั้งสองฝั่งนั้นกำลังต่อสู้อย่างคู่คี่สูสีอีกครั้ง

ปูยักษ์ที่เขาเห็นก่อนหน้านี้เองเพื่อให้สถานการณ์กลับมาสูสีก็เริ่มที่จะต่อสู้อย่างเต็มแรงอีกครั้ง ดังที่รู้กันว่าสัตว์ประหลาดก็คือสัตว์ร้าย และเมื่อเริ่มการล่าสังหาร พวกมันจะไม่หยุดไม่คิดถอยหนี และยังคงดำเนินการสู้กันต่อไป

เฉินเฉียงได้เฝ้ามองการต่อสู้อยู่ครึ่งวันสัตว์ประหลาดเหล่านี้ได้สู้กันตั้งแต่กลางวัน ยันเย็นและพลบค่ำ พื้นที่โดยรอบในตอนนี้เต็มไปด้วยซากสัตว์ประหลาดอยู่มากมาย แต่กระนั้น ทั้งสองฝั่งก็คงไม่คิดจะหยุดพัก

แต่เดิม เหล่ามวลหมู่สัตว์ประหลาดรวมกันนั้นมีอยู่ประมาณสามหมื่นตัว แต่ในตอนนี้กับหลงเหลือเพียงหมื่นกว่าตัวเห็นจะได้ และนี่เฉินเฉียงก็ได้วางเหยือกเตกีลาลง

“รอก่อนรอก่อน ข้าต้องรอจนกว่าสัตว์ประหลาดที่เป็นตัวบงการสู้กันให้เสร็จก่อน แล้วถึงตอนนั้นค่อยถึงตาหลิวเซียงและคนอื่นๆ”

เฉินเฉียงได้จ้องมองมวลหมู่สัตว์ประหลาดอีกครั้ง เขาต้องการรอจนกว่าสัตว์ประหลาดที่ตัวใหญ่ยักษ์ที่เขาไม่รู้จักชื่อนั้นได้ตกตาย เมื่อใดก็ตามที่พวกมันตกตายไปสักตัว นั่นจึงเวลาที่เหมาะสมที่มนุษย์จะโจมตี

เป็นดังคาด หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง สถานการณ์ก็ได้เปลี่ยนอีกครั้ง

ถึงแม้สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลจะเหนือกว่าในเรื่องของจำนวน แต่ด้วยการที่ความแข็งแกร่งของพวกมันนั้นถูกสะกดเอาไว้ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม นี่จึงทำให้จำนวนของมันลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

และนี่ทำให้สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลที่เหลืออยู่ ไม่มีทางเลือกจนต้องกลับลงสู่ท้องทะเลอีกครั้ง แน่นอนว่าสัตว์ประหลาดแห่งแผ่นดิน ไม่มีตัวใดที่จะกล้าแม้แต่เหยียบผิวน้ำทะเล

แต่ในท้องฟ้านั้น ในตอนนี้มีอินทรีย์ดาวฟ้าครามตัวหนึ่งได้ลอยอยู่กลางอากาศ ด้วยการที่มันคือจ้าวเวหา มันได้มองลงมาจากท้องฟ้า ก่อนที่จะใช้กรงเล็บอันแหลมคมของตัวเองโฉบฉีกกระชากไปยังสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลตัวยักษ์ที่กำลังหนีลงทะเลจนกลายเป็นแผลเหวอะหวะไปทั่ว ท้ายที่สุด สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลตัวยักษ์นั่นก็ตกตายอย่างไม่อาจต่อต้านด้วยกรงเล็บของอินทรีย์ดาวฟ้าคราม

สนามรบในตอนนี้ สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลนั้นหากไม่ตกตายก็ถูกขับไล่ลงทะเล ส่วนสัตว์ประหลาดแห่งแผ่นดินนั้นในตอนนี้หลงเหลืออยู่น้อยกว่าสองพันตัว ยิ่งไปกว่านั้นคือด้วยการที่มันพึ่งผ่านศึกใหญ่มาเกือบทั้งวัน ทำให้พวกมันในตอนนี้เหนื่อยล้าอย่างที่สุด และนี่คือจังหวะดีที่สุดที่มนุษย์จะลงมือ

เมื่อเฉินเฉียงคิดได้ดังนี้ก็ได้รีบนำธนูแสงที่ได้มาทำการเอาผนึกกั้นแสงที่หัวธนูออกก่อนที่จะยิงขึ้นฟ้าไป และนี่ส่งผลให้มันระเบิดออกกลายเป็นดอกไม้ไฟสุดอลังการที่ทะยานขึ้นสูงนับพันเมตร

และในตอนนี้ เมื่ออินทรีย์ดาวฟ้าครามที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงที่พึ่งเสร็จกิจกับสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลตัวยักษ์ที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก ด้วยสายตาที่แหลมคมของมันก็ได้เห็นเฉินเฉียงที่กำลังปล่อยธนูแสงขึ้นฟ้าในทันที

“แกว้กกกก…”

ด้วยเสียงที่ลากยาวของมัน ในตอนนี้อินทรีย์ดาวสีครามได้โฉบไปที่เฉินเฉียงในทันใด

เฉินเฉียงเองในตอนนี้เขาก็ได้ระแวดระวังอยู่ก่อนแล้วว่ามีสัตว์ประหลาดระดับนายพลวิญญาณได้พบเห็น และเมื่อเห็นว่าอินทรีย์ดาวสีครามได้โฉบลงมา เขาก็ได้มุดลงดินไปในทันที ก่อนที่จะโผล่หัวออกมาอีกที่หนึ่ง

“แกว้ก”

หลังจากสิ้นเสียงร้องที่สองนี้ แม้มันจะฟังดูเป็นเสียงที่ลากยาวธรรมดา แต่เฉินเฉียงที่โผล่หัวมาพอดีนั้น เขาได้ยินความหมายของมันอย่างชัดถนัดหู

“ไอ้พวกมนุษย์มันแอบมาอยู่นี่ มันมีทักษะขุดดิน นิ่มเกราะเหล็ก ฟังคำสั่ง จงฆ่ามันเดี๋ยวนี้”

ด้วยคำสั่งของอินทรีย์ดาวสีครามนี้ เฉินเฉียงก็สังเกตเห็นว่าครึ่งไมล์ห่างจากเขาไปก็ได้มีตัวนิ่มเกราะเหล็กสองตัวขุดดินและพุ่งตรงมาที่เขาด้วยความเร็วสูง

“ไอ้ฉิบหาย”

เมื่อเฉินเฉียงเห็นฉากนี้ เขาก็รู้สึกได้ราวกับว่าวิญญาณได้ลอยออกจากร่าง เขาได้มุดลงดินออกไปอีกครั้ง ก่อนที่จะพุ่งจากไปไกล

ในขณะเดียวกัน ที่อ่าวจันทร์เสี้ยว หลิวเซียง จางหยวน และนักรบสายเลือดอีกเกือบสองหมื่นคนที่มาจากตึกจอมเป่ยฉิง(ตึกจอมพลของผู้บัญชาการสูงสุด)ที่ได้มาถึงและเตรียมพร้อมที่จะเข้าร่วมสงครามในทันที

“ท่านนายพล นั่น…”

นักรบสายเลือดที่กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นั้น เขาได้ชี้ไปยังดอกไม้ไฟที่อยู่บนฟากฟ้า เมื่อหลิวเซียงได้เห็นฉากนี้ ก็รีบออกคำสั่งให้โจมตีอย่างรวดเร็ว

“ฆ่า….”

จางหยวนเองเมื่อเห็นก็ได้นำกองกำลังเทียนเว่ยไปกับเขา ด้วยการที่เขานั้นไม่ต้องการให้ใครตัดหน้า เขาจึงใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งเข้าสัตว์ประหลาดที่เห็นเป็นตัวแรก และสังหารมันในทันที เขาสังหารสัตว์ประหลาดทุกตัวที่เขาได้เห็นเลยก็ว่าได้

ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ในตอนนี้สัตว์ประหลาดนั้นเหลือเพียงไม่ถึงสามพันตัว แถมพวกมันพึ่งจะสู้กับสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลมาเสร็จและยังไม่ได้พักแต่อย่างใด แล้วพวกมันจะเหลือแรงอะไรไปต่อกรกับมนุษย์ได้ในตอนนี้

ยี่งไปกว่านั้นก็คือ เหล่านักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณเหล่านี้ ได้มารอเตรียมพร้อมกว่าครึ่งค่อนวันแล้ว นี่ทำให้พวกเขานั้นมีขวัญกำลังใจอย่างที่สุด พวกเขาในตอนนี้ราวกับเสือร้ายที่ย่างกายออกมาจากเขา ส่งผลให้พวกเขานั้น ได้ตีกองทัพสัตว์ประหลาดที่เหลือนี้ แตกกระเจิงในทันที

หากเป็นสถานการณ์ปกติแล้ว หากสัตว์ประหลาดมีระดับการบ่มเพาะเดียวกับมนุษย์ พวกมันจะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์อยู่หลายเท่าตัว แต่ด้วยในตอนนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นมีจำนวนที่มากกว่าสัตว์ประหลาด และนี่ย่อมไม่นับว่าทั้งสองฝั่งสมดุลแต่อย่างใด จะพูดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นต่ออยู่ก็ว่าได้ด้วยซ้ำ

หลังจากผ่านไปเกือบสองชั่วโมง กองทัพสัตว์ประหลาดที่เหลืออยู่ได้แตกพ่าย นี่ทำให้สัตว์ประหลาดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงนับร้อยต้องหลบหนี

และในระหว่างที่สัตว์ประหลาดเหล่านี้กำลังหลบหนี เหล่านักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณทั้งหลายต้องพบเจอเรื่องที่ไม่คาดฝัน นั่นก็คือในระหว่างที่พวกเขากำลังคิดที่จะติดตามสัตว์ประหลาดที่หนีไปนี้เอง เหล่าสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลได้พุ่งฉากมาจากด้านข้างและไล่ฆ่าสัตว์ประหลาดแห่งแผ่นดินที่เชื่องช้ากว่าใคร ก่อนที่จะไล่กวดสัตว์ประหลาดแห่งแผ่นดินที่คิดหลบหนีด้วยกำลังทั้งหมดที่พวกมันมี

พวกเขาเหล่ามนุษย์จะไปเข้าใจความเกลียดชังที่สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลมีต่อสัตว์ประหลาดแห่งแผ่นดินได้อย่างไร

“ฮ่าฮ่า กัปตัน สุดยอดไปเลย ข้าไม่ได้รู้สึกดีในสนามรบแบบนี้มาเกือบปีครึ่งแล้ว”

“เหรินหมิง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะเว้ย เจ้าฆ่าสัตว์ประหลาดไปได้ไม่ถึงสิบตัวด้วยซ้ำ แล้วยังมีน่าทำท่าภูมิอกภูมิใจทำบ้าอะไรกัน”

“ไอ้ฉิบ เจ้านี่มันลูกแมวน้อยชัดๆ ขนาดข้าที่อ่อนแอกว่ายังฆ่าได้มากกว่าเจ้าเลย เจ้านี่แมนแต่ร่าง แต่ความแข็งแกร่งได้ไม่เท่าผู้หญิงอย่างเม่ยหลัวหลันผู้นี้”

หลังจากพูดทับถมกันไปมาด้วยเรื่องสัตว์ประหลาดที่ฆ่าได้แล้ว นี่ทำให้สมาชิกในกองกำลังเทียนเว่ยราวกับได้ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจ และถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุขเข้ามาแทน

หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างแล้ว หลิวเซียงก็ได้เดินมาทางกองกำลังเทียนเว่ยด้วยท่าทางที่เปี่ยมสุขอย่างหยุดไม่อยู่

“จางหยวน เป็นยังไงบ้าง หนำใจแล้วสินะ”

“แต่เดิม ข้าไม่ได้คาดหวังการมาของกองกำลังเทียนเว่ยของพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อยเลยจริงๆ หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าแล้ว พวกเราคงไม่มีทางได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไปได้แน่ๆ”

“โดยเฉพาะเฉินเฉียงของพวกเจ้าด้วยแล้ว เขานั้นเต็มไปด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ เขาประสบความสำเร็จในการสร้างความขัดแย้งภายในระหว่างสัตว์ประหลาดทั้งสองกลุ่ม นี่ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราที่มีเขาอยู่”

“เรื่องในครั้งนี้ข้าจะอวยยศให้พวกเจ้าอย่างงามเลย”

“เออ จะว่าก็ว่าเถอะ เจ้าเด็กเฉินเฉียงนั่นอยู่ไหนล่ะ”

“เรียกเขาออกมาหน่อยสิ เวลาแบบนี้พวกเราจะลืมเขาไปไม่ได้หรอกนะ”

จางหยวนเองเมื่อได้ยินแบบนี้ก็เริ่มหน้าถอดสีในทันที

“เฉินเฉียงอยู่ไหนเหรอ…..หลิวไฮ่ เจ้าเห็นรึเปล่า”