บทที่ 53 จอมยุทธ์ชี่ไห่

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 53 จอมยุทธ์ชี่ไห่

 

พลังที่รุนแรงพุ่งส่งผ่านหอกเข้ามา ทำให้เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยรู้สึกชาๆ ที่ง่ามมือ ลำตัวก็ถอยร่นไป หอกยาวก็เกือบหลุดมือ

ใบหน้าเรียวๆ ก็แหยๆ เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยคิดไม่ถึงว่าแค่2กระบวนท่าเท่านั้น ตนเองก็จะพลาดท่าให้กับหลัวซิวเสียแล้ว

“นี่………” บนห้องใต้หลังคา รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าสำนักซินฉือก็ค้างไป ส่วนเจ้าสำนักชิงหยุนก็อมยิ้ม ในใจก็แทบจะมีดอกไม้บ้านขึ้นมา

เห็นบนเวทีประลองยุทธ์นั้น เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยลงมือต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าเธอจะออกกระบวนท่าสุดยอดแค่ไหน ก็ไม่มีทางโจมตีถูกเนื้อต้องตัวหลัวซิวได้แม้แต่ชายเสื้อ ปราณแท้ก็สู้หลัวซิวไม่ได้ ถูกโจมตีถอยกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า

สีหน้าของเจ้าสำนักซินฉือก็เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ หรือว่าครั้งนี้จะต้องแพ้ให้กับเจ้าสำนักชิงหยุนอีกแล้วหรือไง?

“ตุบ!” “เพล๊ง!” ……

บนเวทีประลองยุทธ์ ทุกครั้งที่เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยประมือกับหลัวซิวก็ต้องถูกโจมตีจนถอยร่นเสียทุกครั้งไป ถูกโจมตีจนมาถึงขอบเวทีประลองแล้ว

“ยัยผู้หญิงลูกคุณหนู ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือไง?” หลัวซิวยิ้มเย็นพูด

“นาย….นายมันไอ้คนบ้า!” เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยมีสีหน้าโมโหเล็กน้อย ใครๆ ก็ฟังออก ว่าหลัวซิวกำลังเยาะเย้ยเธอ

“ตุบ!”

หลัวซิวซัดฝ่ามือไป ปราณแท้ที่แข็งแกร่งส่งผ่านหอกยาวเข้าสู่ร่างของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย เห็นเธอตัวสั่นๆ เท้ายืนไม่มั่นคง แล้วร่างก็ร่วงลงเวทีประลองไป

“ฮ่าๆ ดีมาก!”

บนห้องใต้หลังคา เจ้าสำนักชิงหยุนหัวเราะลั่น “เจ้าสำนักซินฉือ ต้องขอบคุณสำหรับยาพรสวรรค์ด้วยนะครับ!”

ผู้อาวุโสทั้งหลายในสำนักยุทธ์ทางด้านหลังเขา ก็เผยรอยยิ้มออกมาเหมือนกัน หลัวซิวได้ชัยชนะ ก็ถือว่าได้รักษาศักดิ์ศรีของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนไว้ได้แล้ว

“เหอะ ต้องขอแสดงความยินดีกับสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนด้วยแล้วกัน ที่มียอดอัจฉริยะแบบนี้ ถ้าหากว่าทางสำนักใหญ่รับเข้าสำนัก เจ้าสำนักชิงหยุนก็คงจะได้รางวัลไม่น้อยเลยทีเดียว”

เจ้าสำนักซินฉือบึนปากพูดอย่างอิจฉา แล้วก็พลิกมือหยิบเอาขวดหยกมาวางไว้บนโต๊ะ “กล้าพนันก็กล้าเสีย นี่คือยาพรสวรรค์ ขอตัวลาล่ะ!”

เจ้าสำนักซินฉือลุกขึ้น แล้วก้าวขายาวเดินจากไป พอเห็นใบหน้าของเจ้าสำนักชิงหยุนยิ้มตาหยีแบบนั้น เขาก็โมโหหลายเรื่องมากกว่าเดิม

“หลัวซิว ฉันจำชื่อนายไว้แล้ว นายคอยดูแล้วกัน!สักวันฉันจะต้องเอาชนะนายให้ได้!”เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยพูดเสียงเย็นขึ้นมา แล้วก็จากไปพร้อมกับเจ้าสำนักซินฉือ

สำหรับเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยแล้ว หลัวซิวไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย เขาไม่ได้ใช้พลังหนึ่งในสิบออกมาเลยด้วยซ้ำ เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนเองแล้ว ต่อจากนี้ความแตกต่างด้านพลัง ก็คงจะยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ

วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพหมุ่นเวียนอยู่ในจุดตันเถียน ทุกวินาทีจะมีความล้ำลึกของกฎการเวียนว่ายตายเกิดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจ ทำให้เขาได้เห็นเส้นทางที่จะก้าวเข้าสู่ยอดยุทธ์

“สุดยอดมาก แค่เดือนกว่าๆ หลัวซิวก็ฝึกจนถึงจอมยุทธ์ชี่ไห่แล้ว เขาอายุแค่14เองนะเนี่ย!”

“เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยคนนั้นก็แค่ฝึกถึงระดับชี่ไห่สำเร็จตอนอายุ15 ก็ไม่มองใครอยู่ในสายตาแล้ว เมื่อเทียบกับหลัวซิวแล้ว ยัยนั่นไม่เท่าไรหรอก”

เจ้าสำนักซินฉือและเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยก็จากไป เหล่านักเรียนของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนก็ยังคงคุยกันเรื่องนี้ต่อไป

……

ที่ห้องเจ้าสำนักของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน

“ฮ่าๆ หลัวซิว เอ็งอายุแค่14ก็สามารถบรรลุแดนชี่ไห่ ต่อให้ในสำนักเซียวเหยา คนที่สามารถทำได้แบบนี้ ก็มีไม่มาก!”

“ครั้งนี้เอาชนะเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยของสำนักยุทธ์แห่งมืองซินฉือได้ รักษาชื่อเสียงของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนไว้ได้ กำไลอัญมณีฟ้าอันนี้ก็เป็นของเอ็งแล้วกัน!”

เจ้าสำนักชิงหยุนยืนมือออกมา ก็เห็นเป็นหินคริสทัลสีฟ้าแกะสลักเป็นกำไลข้อมือ แล้วก็โยนมาให้หลัวซิว

หลัวซิวก็ยื่นมือไปรับไว้ เห็นว่ากำไลข้อมือนี้สวยดี แต่ตนเองเป็นผ็ชาย จะใช้ของสวยๆ งามๆ แบบนี้ไปทำไมกัน?

“ฮ่าๆ หลัวซิว เอ็งอย่าดูถูกกำไลข้อมือนี้เชียวนะ นี่คือของล้ำค่าที่อาจารย์ค่ายกลขั้น3 ทำขึ้นมาเลยเชียวนะ ขอเพียงใช้ปราณแท้ขับเคลื่อน ก็จะกลายเป็นเกราะกำบัง จอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น7ลงไม่มีทางทำลายได้” เจ้าสำนักชิงหยุนยิ้มพูด

“ร้ายกาจขนาดนั้นเลยหรือ?” หลัวซิวมีสีหน้าตกใจ

สำหรับเจ้าสำนักชิงหยุนที่เป็นเหมือนฝึกจิตครึ่งแล้วนั้น กำไลอัญมณีฟ้าแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา แต่สำหรับหลัวซิว ที่เป็นจอมยุทธ์ที่เพิ่งเข้าสู่แดนชี่ไห่แล้วนั้นถือว่าเป็นของล้ำค่าป้องกันตัวที่หาได้ยากเลยทีเดียว

“หลัวซิว ในเมื่อเอ็งก็ได้บรรลุแดนชี่ไห่แล้ว มีบางเรื่อง ก็ควรจะที่บอกเอ็งได้แล้ว”

เจ้าสำนักชิงหยุนพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ “สำนักยุทธ์ใหญ่ทั้งหลายในเขตการปกครองหยุนหลง คนอายุน้อยกว่า18ที่มีผลการฝึกตนถึงระดับแดนชี่ไห่ ก็จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบเข้าสำนัก พอถึงตอนนั้น สำนักยุทธ์ทั้ง18เมือง ถ้ามีจอมยุทธ์ที่ผ่านคุณสมบัติ ก็จะมาเข้าร่วม แต่มีเพียง3คนเท่านั้นที่จะสอบผ่าน แล้วกลายเป็นศิษย์นอกสำนัก”

“เดิมทีอาจารย์ยังคิดไว้ว่าจะให้เอ็งไปร่วมสอบปีหน้า แบบนี้เอ็งจะได้มีเวลาเพิ่มพลังให้ตัวเอง ผ่านได้อย่างมั่นใจหน่อย แต่ในเมื่อเอ็งได้บรรลุแดนชี่ไห่ก่อนแล้ว จะไปเข้าร่วมสอบหรือไม่ เอ็งก็ตัดสินใจเองก็แล้วกัน”

“การสอบเข้าสำนักมันจะเริ่มขึ้นตอนไหนครับ?” หลัวซิวถามขึ้นมา

“วันที่8หลังจากนี้อีก3เดือน!” เจ้าสำนักชิงหยุนกล่าว “ตามที่ได้ยินมา คนที่เข้าร่วมปีนี้ มีคนที่ฝึกตนถึงวิชาชี่ไห่ขั้น2และขั้น3 เหลือเวลาให้เอ็งน้อยมาก เอ็งสู้กับพวกนั้นยาก”

“แล้วถ้าปีนี้สอบไม่ผ่าน ปีหน้าสามารถเข้าสอบอีกได้ไหมครับ?” หลัวซิวถามอีก

“ได้สิ ขอเพียงอายุไม่เกิน18ก็พอ เอ็งมีโอกาส4ครั้ง” เจ้าสำนักชิงหยุนยิ้มตอบ

“แบบนี้ล่ะก็ งั้นปีนี้ผมก็ขอลองหน่อย บางทีอาจจะสำเร็จ” หลัวซิวกล่าว

“ฮ่าๆ ดีมาก!อาจารย์หวังว่าเอ็งจะทำสำเร็จในครั้งเดียว!” เจ้าสำนักชิงหยุนยิ้มพูด “ไปฝึกให้ดี พอถึงตอนนั้นจะส่งคนไปบอกข่าวเอง”

สำหรับเจ้าสำนักยุทธ์ของแต่ละเมือง สำนักเซียวเหยาก็มีกติกาการให้รางวัล อัจฉริยะที่เดินออกมาจากสำนักยุทธ์แล้วมาเข้าร่วมสำนักเซียวเหยา มีผลงานที่โดดเด่นเท่าไร ก็จะได้ผลสำเร็จสูงเท่านั้น เจ้าสำนักยุทธ์ของอัจฉริยะคนนั้นก็จะได้รางวัลที่ดีขึ้นไปอีกด้วย

ดังนั้นเจ้าสำนักชิงหยุนก็เลยมองหลัวซิวเป็นพิเศษ ฝากความหวังไว้ที่เขา

หลังจากที่ผลการฝึกตนบรรลุมาถึงแดนชี่ไห่ หลัวซิวก็สามารถดูดเอาพลังธาตุไฟจากโรคชีพจรขาดธาตุไฟในตัวของลู่เมิ่งเหยาออกมาได้แล้ว

หลังจากทำไป2ครั้ง โรคชีพจรขาดธาตุไฟของลู่เมิ่งเหยาก็รักษาจนหายขาด จากนี้ก็ไม่ต้องเจ็บปวดเหมือนไฟเผาไหม้หัวใจทุก7วันอีกแล้ว

“หลัวซิว ขอบคุณนายมาก”

หลังจากแก้ผ้าให้กัน สองคนก็เอาเสื้อผ้ามาใส่ ลู่เมิ่งเหยารู้สึกว่าใจของตนเอง เริ่มสับสนวุ่นวายขึ้นมา

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก……” หลัวซิวยิ้มตอบ

จริงๆ แล้วที่รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟให้ลู่เมิ่งเหยา เขาเองก็ได้ประโยชน์ไม่น้อย ไม่เพียงสามารถเพิ่มผลการฝึกตนได้ ยังสามารถครอบครองพลังธาตุไฟได้อีกด้วย

ตอนนี้ก็รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟหายแล้ว ในหัวของหลัวซิวก็ผุดภาพที่ทั้งสองคนแก้ผ้าเผชิญหน้ากันขึ้นมา ในใจก็กระตุกเบาๆ

ตอนนี้ ทั้งสองคนก็นิ่งเงียบไป ลู่เมิ่งเหยาค่อนข้างไม่กล้ามองตาของหลัวซิว ผ่านมาหลายเดือนนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากจะลืมได้

“หลัวซิว คือฉัน….” ลู่เมิ่งเหยาเอ่ยขึ้นมมา ทำลายความเงียบไป “ฉันจะไปแล้ว”

“ไป?ไปไหน?” หลัวซิวขมวดคิ้ว

“ไปสำนักเซียวเหยา”

พอได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก เขาเดาออกนานแล้ว ว่าตัวตนของลู่เมิ่งเหยาไม่ธรรมดา เพราะเจ้าสำนักยุทธ์และเหล่าผู้อาวุโส ล้วนมีท่าทางที่เกรงใจเธอ