เก้าสิบห้า

ด่าถึงบ้าน

การแข่งขันจีจวีรอบชิงชนะเลิศใกล้เข้ามาแล้ว หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งเลิกเรียนก็จะต้องอยู่ฝึกซ้อมที่สำนักศึกษา เขาจึงไปรับเสวี่ยเจียเยว่กลับเรือนไม่ได้ เมื่อเป็นห่วงว่าเด็กสาวจะต้องกลับเรือนคนเดียว เขาจึงกำชับให้อีกฝ่ายกลับพร้อมป้าเฝิง พอเสวี่ยเจียเยว่ตอบตกลง เขาถึงได้วางใจ

เสวี่ยเจียเยว่ปิดประตูร้านในตอนเย็น จากนั้นก็เดินกลับเรือนพร้อมป้าเฝิง หลังจากเคาะประตูลานเรือน เสี่ยวฉานก็มาเปิดให้ เมื่อเธอกับป้าเฝิงเดินเข้าไปในลานด้วยกัน ก็พบว่ามีคนนั่งอยู่ใต้ต้นการบูร

ป้าเฝิงไม่รู้จักคนผู้นั้น แต่เมื่อมองพิจารณาครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าเขาคือชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี สวมชุดหรูหรา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาคือคุณชายตระกูลใหญ่ ใบหน้าดูสดใสและหล่อเหลาจนไม่อยากจะเชื่อสายตา

ป้าเฝิงอดที่จะมองชายหนุ่มผู้นั้นอีกครู่ไม่ได้ และคิดในใจว่าคนผู้นี้เป็นใคร เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้ เขามาหาผู้ใดกัน

เสวี่ยเจียเยว่จำได้ทันทีว่าเขาคือตันหงอี้ แต่เขามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด

แม้ว่าจะตกใจ แต่สีหน้าของเธอก็ยังคงเรียบเฉย และเอ่ยถามอย่างห้วนๆ “เจ้ามาที่นี่ทำไม”

ตันหงอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เก่าๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยนั่งบนเก้าอี้เช่นนี้ อีกทั้งเขาเป็นคนรูปร่างสูง ขาทั้งสองข้างยาว จึงวางขากับเท้าได้ไม่สะดวก และรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับมา เขาก็รีบเก็บสีหน้าเบื่อหน่าย แล้วยกขาขวาพาดบนขาซ้าย พยายามทำให้ตัวเองดูสง่าผ่าเผยที่สุด ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้ามาหาเจ้า…”

เขากล่าวยังไม่ทันจบดี ก็ได้ยินเสียงไม้ไผ่ปริแตก จากนั้นทั้งคนทั้งเก้าอี้ก็หงายไปด้านหลัง

ความจริงการจะนั่งเก้าอี้ตัวนี้ต้องมีเคล็ดลับ ไม่สามารถลงน้ำหนักทั้งตัวไปที่ด้านหลังได้ ไม่อย่างนั้นจะหงายได้ง่าย เมื่อตันหงอี้นั่งยกขาขวาพาดขาซ้ายเช่นนั้น ทำให้น้ำหนักตัวไปอยู่ที่ด้านหลัง หากเขาไม่หงายลงไปก็คงแปลกแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงว่าตนจะได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ หลังจากตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เธอก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ป้าเฝิงกับเสี่ยวฉานและหูจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็หัวเราะเช่นกัน

ส่วนตันหงอี้เมื่อยืนขึ้นได้ ใบหน้าของเขาก็หมองคล้ำราวกับก้นหม้อ แต่ใบหูกลับแดงอย่างน่าประหลาด

จากอายก็เปลี่ยนเป็นโกรธ ก่อนจะเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยความเดือดดาล “เจ้าหัวเราะอะไร มีสิ่งใดให้น่าหัวเราะกัน”

น้ำเสียงนั้นดุดันยิ่งนัก แต่ใบหูแดงจนลามไปถึงใบหน้าแล้ว ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงรู้ว่าเขาอับอาย และกำลังพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อรักษาหน้าเอาไว้

แต่เธอไม่ต้องการให้เขารักษาหน้าไว้ได้ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าโตขนาดนี้แล้วยังตกเก้าอี้อีก หูจื่อเพิ่งหกขวบ เขายังไม่เคยตกเก้าอี้เลยสักครั้ง คุณชายตัน นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เด็กคนหนึ่งเจ้ายังสู้ไม่ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตันหงอี้ก็เดือดดาลจนแทบจะเดินจากไป แต่สุดท้ายเขาก็พยายามข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเสวี่ยเจียเยว่ หยิบบางอย่างออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้อีกฝ่าย

เสวี่ยเจียเยว่ก้มลงมองใกล้ๆ ก็พบว่ามันคือตั๋วเข้าชมการแข่งขันจีจวีรอบชิงชนะเลิศระหว่างสำนักศึกษาไท่ชูกับสำนักศึกษาถัวเยว่

เธอเงยหน้าขึ้นมองตันหงอี้ แล้วเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าให้ตั๋วข้าทำไม”

ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงเป็นสีแดง ไม่รู้ว่าเขาอับอายหรือโกรธ แต่เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงหยิ่งยโส “นี่เป็นตั๋วที่นั่งที่ดีที่สุด เหตุผลก็เพราะข้าอยากให้เจ้าได้เห็นข้าเอาชนะพี่ชายของเจ้าในวันนั้นด้วยวิธีใดบ้าง”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเธอ “เกรงว่าอาจจะไม่ใช่เจ้าที่เอาชนะพี่ชายของข้าในวันนั้น แต่พี่ชายของข้าต่างหากที่จะเอาชนะเจ้า อย่ามาเสนอหน้าที่นี่อีก กลัวว่าศักดิ์ศรีของเจ้าไม่ยิ่งใหญ่พอหรืออย่างไร”

เธอกล่าวจบก็หมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปที่เรือนฝั่งตะวันออก หยิบกุญแจมาไขประตูโดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย

ทว่าตันหงอี้ไม่ได้เดินจากไป เขาตามเสวี่ยเจียเยว่มาและยังคงพูดไม่หยุด “การสอบเมื่อสองปีก่อนเป็นเพราะว่าพี่ชายของเจ้าโชคดีที่ชนะข้า แต่ครั้งนี้ข้าจะเอาชนะเขาให้เจ้าดู”

หลังจากเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาในเรือน เธอก็แขวนกุญแจไว้บนประตู จากนั้นจึงวางถุงกระดาษน้ำมันที่ใส่แผ่นแป้งปิ้งลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยกับคนที่ตามเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ

“ข้าว่าเจ้าไม่ใช่แค่หน้าใหญ่เท่านั้น แต่ยังหนาอีกด้วย การสอบเมื่อสองปีที่แล้ว หากเป็นเพียงสำนักศึกษาเดียวก็พอเข้าใจ แต่พี่ชายของข้าจะโชคดีชนะเจ้าได้ถึงสองครั้งเชียวหรือ ใต้หล้านี้ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนั้นมาก่อน ส่วนการแข่งขันจีจวีรอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้ ข้ามั่นใจว่าพี่ชายของข้าต้องชนะเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นหากเจ้ากล้าพูดถึงเรื่องความโชคดีอะไรนั่นอีก เกรงว่าคงจะมีแต่คนหัวเราะเยาะเจ้า”

เมื่อตันหงอี้ได้ยินเช่นนั้น เขาก็โกรธมากจนอยากจะกระทืบเท้า “ครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาชนะข้าอีก”

จากนั้นเขาก็ยื่นตั๋วให้เสวี่ยเจียเยว่อีกครั้งพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าฮึกเหิม “ตั๋วใบนี้ข้าให้เจ้า เมื่อถึงวันนั้นก็เบิกตากว้างๆ มองข้าเอาชนะพี่ชายของเจ้า”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจเขาสักนิด เธอสวมผ้าที่ใช้กันเปื้อนและดูว่าในตะกร้ามีผักอะไรบ้าง คิดว่าจะทำอะไรเป็นอาหารเย็นดี

ตันหงอี้วางตั๋วลงบนโต๊ะ จากนั้นก็มองไปรอบๆ ห้องโถง ก่อนจะจุ๊ปากสองครั้งแล้วเอ่ย “เจ้าอยู่ที่แบบนี้หรือ ข้าไม่ได้จะว่าเจ้าหรอกนะ บ่าวรับใช้ที่ฐานะต่ำที่สุดในเรือนข้ายังมีชีวิตดีกว่าเจ้า หากตอนนั้นเจ้ายอมเป็นสาวใช้ของข้า เจ้าคงไม่มีชีวิตเช่นทุกวันนี้ ที่ต้องทำกับข้าว ทำความสะอาดเรือนด้วยตัวเอง หากอยู่กับข้าเจ้าก็เพียงแค่รินน้ำชา จัดที่นอนให้ข้าเท่านั้น ข้ายังสามารถหาสาวใช้อีกคนมาให้เจ้าได้ใช้งานโดยเฉพาะ ชีวิตคุณหนูธรรมดาๆ ยังไม่ดีเท่ากับเจ้า เป็นเช่นไร มิสู้เจ้าลองไตร่ตรองดูอีกครั้ง ไปเป็นสาวใช้ให้แก่ข้า”

เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่ไม่คิดจะสนใจตันหงอี้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดไม่ยอมหยุดเช่นนี้ หากเธอไม่พูดตอบโต้ก็คงไม่ได้

เธอทำสีหน้านิ่งๆ ขณะหันกลับไปมองตันหงอี้ “ตันหงอี้ เจ้าเองก็บอกแล้วว่าบ่าวรับใช้ที่ฐานะต่ำที่สุดในเรือนของเจ้ายังมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าข้า เช่นนั้นเจ้ามาทำอะไรที่นี่ เดี๋ยวก็ทำเท้าอันสูงส่งของเจ้าสกปรกเอาได้ เจ้ารีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวพี่ชายของข้าก็ใกล้จะกลับมาแล้ว” เธอไม่อยากรักษามารยาทกับเขาแล้ว จึงไม่เรียกเขาว่า ‘คุณชาย’ ซึ่งช่วงหลังมานี้ก็ไม่เรียกเขาว่า ‘ท่าน’ แล้ว

ตันหงอี้รีบเอ่ยขึ้นทันที “พี่ชายเจ้ากลับมาแล้วจะอย่างไร ข้าไม่กลัวเขาเสียหน่อย ต่อให้เขากลับมา ข้าก็กล้าพูดเรื่องที่จะให้เจ้าเป็นสาวใช้ของข้าต่อหน้าเขาอยู่ดี”

เสวี่ยเจียเยว่หัวเราะอย่างเย็นชา “ความหมายของเจ้าคือต้องการจะบังคับซื้อขายหรือ แม้ว่าเจ้าจะเป็นคุณชายตระกูลร่ำรวย ส่วนข้าก็เป็นเด็กสาวของครอบครัวฐานะยากจน แต่ทั้งเมืองผิงหยางนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าเพียงคนเดียว ยังมีสถานที่ที่มีเหตุมีผลเสมอ ข้าไม่เชื่อว่าหากข้าไม่ยอม เจ้าจะยังสามารถบังคับข้าได้”

ตันหงอี้ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เขาชอบพูดจายั่วยุเสวี่ยเจียเยว่ หากได้เห็นอีกฝ่ายต่อปากต่อคำ แม้ว่าเขาจะรู้สึกโกรธจนแทบระเบิด แต่อีกใจกลับรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่ง หากเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจเขา ชายหนุ่มจะตั้งใจพูดให้อีกฝ่ายโกรธ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่โกรธจริงๆ เขาก็รู้สึกสับสนจนต้องรีบเอ่ย

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้า… ข้าหมายความว่า…”

เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ความจริงแล้วเรื่องจะให้เสวี่ยเจียเยว่เป็นสาวใช้นั้น ตันหงอี้เพียงพูดไปอย่างสนุกปาก ไม่ได้คิดจะใช้ประโยชน์จากฐานะของตนมาบังคับเด็กสาวจริงๆ แต่แน่นอนว่าถ้าเสวี่ยเจียเยว่เป็นสาวใช้ของเขาได้ก็ดีไม่ใช่น้อย เขาเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่ยังเด็ก บิดามารดามีลูกชายโดยชอบธรรมคือเขาเพียงคนเดียว จึงเลี้ยงดูเหมือนไข่หงส์ในฝ่ามือ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเขาเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าน่าสนใจ…

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะหมายความอย่างไร แต่ตอนนี้ข้าขอเชิญเจ้าออกไปจากเรือนข้าเสีย” ใบหน้าอันงดงามของเสวี่ยเจียเยว่ดูเย็นชา และน้ำเสียงก็ดูไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก แต่การที่เธอไม่พูดคำว่า ‘ไสหัวไป’ ก็ถือว่าควบคุมอารมณ์ได้ดีมากแล้ว

เธอมองตั๋วที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอาตั๋วของเจ้ากลับไปด้วย”

จากนั้นก็นำผักสองสามอย่างที่เลือกมาเมื่อครู่ออกไปล้างที่บ่อน้ำในลานเรือน

เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่โกรธจริงๆ ตันหงอี้ก็อยากจะเอ่ยคำที่นุ่มนวลสักสองสามประโยค แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นคนอื่นที่เอาใจเขา ไหนเลยจะเคยพูดเอาใจคนอื่น ทว่าทั้งที่อยากจะเอ่ยปาก กลับไม่รู้ว่าจะพูดคำใด สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงหยิบตั๋วบนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากเรือน

เสวี่ยเจียเยว่กำลังตักน้ำล้างผัก โดยมีเสี่ยวฉานเป็นคนช่วย ทั้งสองพูดคุยกันพลางทำงานของตัวเองไปด้วย

เสวี่ยเจียเยว่พูดคุยและหัวเราะกับเสี่ยวฉานซึ่งต่างจากท่าทางเย็นชาที่มีต่อเขา แสงแดดสีส้มอ่อนในยามพลบค่ำสาดส่องลงบนตัวเด็กสาว ทำให้ดูสดใสมีชีวิตชีวา

ตันหงอี้เห็นเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกกรงเล็บแมวข่วนหัวใจเบาๆ อีกทั้งกรงเล็บแมวตัวนั้นยังชุ่มไปด้วยน้ำผึ้ง ทำให้ทะเลสาบในหัวใจของเขาเกิดคลื่นซัดสาดครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาไม่อยากไปจากที่นี่เลย อยากจะยืนอยู่ตรงนี้ ได้มองเสวี่ยเจียเยว่ที่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นว่าเขายังไม่ไป จึงหันไปมองแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีก”

น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย

ตันหงอี้ไหนเลยจะมีความหยิ่งผยองเหมือนเมื่อครู่ เมื่อได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยตำหนิเช่นนั้น เขาพูดไม่ออกสักคำ กระทั่งหูทั้งสองข้างยังร้อนผ่าวขึ้นมา

มือที่ถือตั๋วกำแน่นแล้วคลายออกอยู่หลายครั้ง หัวใจของเขาพลันเต้นรัวเหมือนมีคนตีกลองอยู่ข้างใน สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้าถือตั๋วใบนั้นเดินไปเอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่

“เจ้าไม่อยากไปดูจริงๆ หรือ ข้าได้ยินมาว่าตั๋วรอบนี้ไม่ได้หาซื้อง่ายๆ ที่นั่งนี้ข้าก็ให้คนเก็บเอาไว้โดยเฉพาะ ห้ามขายออกไป หากหลังจากนี้เจ้าอยากซื้อก็คงหาซื้อไม่ได้แล้ว”

ความจริงแล้วเขาอยากให้เสวี่ยเจียเยว่รับตั๋วใบนี้เอาไว้ แต่เป็นเพราะถูกคนอื่นให้ท้ายมาตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าหัวใจของเขาจะอ่อนโยนเพียงใด ปากกลับไม่กล่าวคำอ่อนหวานออกมา ยังคงทำให้คนที่ได้ยินไม่สบอารมณ์เช่นเคย

ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่ดูไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก เพราะเธอรู้สึกว่าคำพูดของตันหงอี้ดูเกินจริง

สีหน้าของเธอเคร่งขรึมขึ้น “ไม่ว่าตำแหน่งที่นั่งในตั๋วใบนี้จะดีเพียงใดข้าก็ไม่รับ แต่เจ้าวางใจเถอะ พี่ชายของข้าซื้อตั๋วชมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศให้ข้าแล้ว แม้ว่าตำแหน่งจะไม่ดีเท่าไร แต่วันนั้นข้าต้องได้เห็นว่าเจ้าแพ้พี่ชายของข้าอย่างไรแน่นอน”