บทที่ 96 ความขัดแย้งบนถนน

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

เก้าสิบหก

ความขัดแย้งบนถนน

ตันหงอี้เสียใจยิ่งนัก

เป็นเพราะเขาไม่อาจพูดคำที่ตรงกับใจได้ ทั้งที่ความจริงเขาบริสุทธิ์ใจ ทว่าสุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ก็เข้าใจว่าเขาคุยโวโอ้อวด ครั้นคิดจะเอ่ยคำอ่อนโยนออกมา ตั้งแต่เล็กจนโตก็มีแต่ผู้อื่นมาเอาใจเขา ส่วนตัวเขาไหนเลยจะเคยเอ่ยเอาใจใคร เพียงแค่อ้าปากก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยคำใดดี

เมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็ทำได้เพียงหันหลังกลับ และเดินจากไปด้วยสีหน้าผิดหวัง

ชายหนุ่มเดินออกมาถึงทางเดินใหญ่ด้านนอก ก็พบว่าคนคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้

แสงอาทิตย์ยามสายัณห์ตกกระทบร่างคนผู้นั้น ทำให้เงาร่างของเขาทอดยาวออกไป ใบหน้านั้นดูเลือนราง

ราวกับไก่ชนถูกต้อนเข้าสนามเพื่อประมือกับคู่ต่อสู้ ขนทั่วร่างตันหงอี้พลันลุกชัน และเริ่มระมัดระวังตัว

เสวี่ยหยวนจิ้งจำตันหงอี้ได้ เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายพร้อมจะจู่โจมตลอดเวลา เขาทำเพียงเหลือบมองด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นก็เดินต่อโดยไม่แยแสตันหงอี้แม้แต่น้อย

ตันหงอี้เห็นเช่นนั้นก็ไม่อยากปล่อยให้เสวี่ยหยวนจิ้งเดินผ่านไป เพราะรู้สึกราวกับเขามอบตำราการทำสงครามให้ผู้อื่น แต่อีกฝ่ายไม่คิดจะเปิดดู ถึงกับโยนลงบนกองไฟอย่างไร้เยื่อใย

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่สนใจเขาเลยสักนิด

ตันหงอี้ต้องการยั่วยุอีกฝ่ายเพื่อเรียกร้องความสนใจจึงรีบเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าไปพบน้องสาวของเจ้ามา”

ตั้งแต่เขาเข้าเรียนในสำนักศึกษาถัวเยว่ และเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าเรียนในสำนักศึกษาไท่ชู พวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดต่อกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายมาหาเรื่องเสวี่ยหยวนจิ้งถึงเรือน อีกฝ่ายจะไม่สนใจได้อย่างไรกัน

ตันหงอี้ให้คนไปติดตามข่าวคราวของเสวี่ยหยวนจิ้งเสมอ จึงรู้ว่าอีกฝ่ายห่วงใยน้องสาวของตนยิ่งนัก กระทั่งได้ยินคนในสำนักศึกษาไท่ชูพูดกันหนาหูว่า เสวี่ยหยวนจิ้งหวงน้องสาวมาก ครั้งหนึ่งเนี่ยหงเทาไปตีสนิทกับเสวี่ยเจียเยว่ที่หน้าสำนักศึกษา เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ไว้หน้าเขาสักนิด ยังมีเจี่ยจื้อเจ๋อที่เจรจาสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ เสวี่ยหยวนจิ้งก็หักหน้าเขาทันที แม้แต่คุณชายจากตระกูลทหารอย่างเจี่ยจื้อเจ๋อยังไม่เข้าตา แล้วจะมีผู้ใดเข้าตาเขาอีกเล่า ต่อไปต้องอยู่ให้ห่างจากน้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้ง อย่าริอ่านไปยุ่งเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจถูกชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์สง่างามบดขยี้ให้แหลกเป็นผุยผงเหมือนพู่กันด้ามนั้น

เป็นจริงดังคาด… เมื่อสิ้นประโยคของตันหงอี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็หยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา สายตาเฉียบคมดุจใบมีดมองไปที่อีกฝ่าย

“เจ้าไปหานางด้วยเหตุอันใด”

ตันหงอี้อยากจะยั่วโทสะอีกฝ่าย จึงไม่ได้ตอบคำถามตามตรง เพียงยิ้มอย่างกวนๆ “เดาดูสิ”

สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งเปลี่ยนเป็นดุดันในชั่วพริบตา ความกดดันดุจเมฆครึ้มแผ่ไปทั่วร่างของเขา “ไม่ว่าเมื่อก่อนเจ้าจะคิดเช่นไรกับนาง แต่จากนี้ไปห้ามเข้าใกล้นางอีก ไม่เช่นนั้น…”

เขายังพูดไม่ทันจบ ตันหงอี้ก็เอ่ยขัดอย่างไม่เกรงกลัว

“ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอันใด จะบดขยี้ข้าให้แหลกเป็นผุยผงเหมือนพู่กันด้ามนั้นหรือ ข้าไม่ใช่เจี่ยจื้อเจ๋อ ข้าไม่ตกใจกลัวคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเจ้าหรอก”

เมื่อสิ้นประโยคของตันหงอี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็กำมือแน่นทันที ไอสังหารแผ่ออกมาจากดวงตาของเขา

นี่คือสิ่งที่ตันหงอี้ต้องการ…

เมื่อก่อนบิดาเชิญคนมาสอนวรยุทธ์ให้เขา หลังจากเข้าเรียนในสำนักศึกษาถัวเยว่ ก็เคยได้ยินหัวหน้าสำนักศึกษาเอ่ยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นผู้รอบรู้ทั้งบุ๋นและบู๊ ในภายภาคหน้าจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถยอดเยี่ยมแน่นอน เขาจึงตั้งใจฝึกวรยุทธ์เพื่อแข่งขันกับเสวี่ยหยวนจิ้ง ให้รู้กันไปว่าผู้ใดจะร้ายกาจที่สุด

รอยยิ้มกวนๆ บนใบหน้าของตันหงอี้จางหายไป มือพลันกำแน่นทันใด

คนทั้งสองกำลังจะประมือกัน และบรรยากาศโดยรอบตึงเครียดอย่างฉับพลัน ทว่าจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ท่านพี่!”

บรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่นี้มลายไปจนสิ้น เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองตันหงอี้ครู่เดียวก็หันหน้าไปยังต้นเสียง สายตาเย็นชาหายไปแล้ว มีเพียงความอ่อนโยนเท่านั้น

“เยว่เอ๋อร์”

จากนั้นเขาก็สาวเท้าไปหาเสวี่ยเจียเยว่อย่างรวดเร็ว

เมื่อครู่หูจื่ออยากออกมาวิ่งเล่นที่นอกเรือน พอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับชายหนุ่มที่มาหาเสวี่ยเจียเยว่ยืนประจันหน้ากัน และดูเหมือนจะต่อสู้กันในไม่ช้า เด็กชายก็รีบวิ่งกลับไปบอกเสวี่ยเจียเยว่ด้วยความตกใจ เสวี่ยเจียเยว่จึงรีบวิ่งออกมา

พอเธอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งมีท่าทางเป็นปกติ และไม่ได้ต่อสู้กับตันหงอี้ หัวใจที่เต้นแรงก่อนหน้านี้ก็ผ่อนคลายลง จากนั้นจึงจับมือเขาพร้อมกับเอ่ยด้วยความหงุดหงิด

“กลับมาแล้วเหตุใดไม่เข้าไปในเรือนเจ้าคะ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ รีบกลับเถอะเจ้าค่ะ”

เธอดึงเขาให้เดินเข้าไปในลานเรือนกับตน

เสวี่ยหยวนจิ้งปล่อยให้เด็กสาวดึงเขาไปเช่นนั้น ไหนเลยจะทำท่าทางราวกับตัวเองเป็นกระบี่ที่ถูกชักออกมาจากฝัก หากไม่ได้ดื่มเลือดจะไม่ยอมเข้าฝักเหมือนเมื่อครู่

ชายหนุ่มไม่ต้องการให้เสวี่ยเจียเยว่เห็นด้านที่โหดเหี้ยมของเขา

เมื่อตันหงอี้เห็นท่าทางของคนทั้งสอง ก็รู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก ราวกับอีกไม่กี่อึดใจอกเขาจะระเบิดออกมาเสียอย่างนั้น

สองพี่น้องมองว่าเขาไม่มีพิษมีภัย แต่เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งแผ่รังสีอำมหิตต่อหน้าเขา ราวเสือที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อก็ไม่ปาน กรงเล็บอันแหลมคมได้โผล่ออกมาแล้ว พร้อมจะกระโจนใส่เหยื่อได้ทุกขณะ ทั่วร่างดูอันตรายยิ่งนัก ทว่าเหตุใดเมื่อเสวี่ยเจียเยว่ปรากฏตัว เสวี่ยหยวนจิ้งกลับทำท่าเหมือนแกะน้อยแสนเชื่อฟังเสียอย่างนั้น อีกฝ่ายแสร้งทำตัวให้เป็นปกติต่อหน้าน้องสาวของตนหรือไม่ กลัวเพียงว่าในใจของเสวี่ยเจียเยว่จะคิดว่าเขากำลังรังแกเสวี่ยหยวนจิ้ง

ด้วยเหตุนี้ตันหงอี้จึงตะโกนตามหลังพวกเขาอย่างเดือดดาล “เสวี่ยหยวนจิ้ง เจ้าอย่าเสแสร้งไปเลย มาสู้กับข้าให้มันจบๆ อย่างอื่นค่อยว่ากัน”

เป็นเช่นที่ตันหงอี้คิดเอาไว้… ในใจของเสวี่ยเจียเยว่นั้นมองว่าเขาเป็นคนนิสัยไม่ดี ความจริงแล้วเธอรู้จักเสวี่ยหยวนจิ้งดี ตราบใดที่ชายหนุ่มไม่ใส่ใจคนหรือเรื่องอันใด ก็จะมีท่าทีเย็นชาอยู่เสมอ คนเช่นนี้จะต่อสู้กับเขาโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร ต้องเป็นตันหงอี้ที่ยั่วโทสะอีกฝ่าย

ทว่าตอนนี้ทั้งที่เด็กสาวลากเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าไปในลานเรือนแล้ว ตันหงอี้ก็ยังไม่ยอมเลิกรา

เสวี่ยเจียเยว่ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก จึงหันไปถลึงตามองตันหงอี้พร้อมเอ่ยด้วยความเย็นชา

“ตันหงอี้ เจ้าเป็นถึงคุณชายผู้สูงศักดิ์ แต่พวกเราสองพี่น้องเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แล้วเจ้าจะมายุ่งวุ่นวายกับพวกเราด้วยเหตุอันใด ต่อให้เจ้าจะมีความโอหังของคุณชายใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีสิทธิ์มาแสดงต่อหน้าพวกเราสองพี่น้อง เจ้ารีบกลับไปดีกว่า ต่อไปก็อย่ามาที่นี่อีก”

เมื่อสิ้นประโยคนั้น เธอก็ดึงเสวี่ยหยวนจิ้งเดินต่อไป

เสวี่ยหยวนจิ้งหันกลับไปมองตันหงอี้ด้วยแววตาเย็นชา แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการเยาะเย้ยโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรสักคำ

ตันหงอี้เห็นเช่นนั้น ในที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงชกต้นหวยชู่[1] อย่างรุนแรงจนมันสั่นไหวอยู่หลายครั้ง ลำต้นเป็นรูโหว่คล้ายปากถ้วย ใบร่วงหล่นจากกิ่งก้านราวห่าฝนก็ไม่ปาน

ทว่าเขาไม่ได้สนใจความเจ็บปวด เพียงเอ่ยในใจด้วยความเดือดดาล ‘ข้าจะต้องเอาชนะเจ้าในการแข่งขันจีจวีรอบชิงชนะเลิศให้ได้ จะต้องทำให้ได้’

จากนั้นเขาก็มองถนนที่ไร้ผู้คนตรงหน้า ก่อนจะก้าวเดินจากไป

เมื่อเข้ามาในเรือนแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็เอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่ทันที “เมื่อครู่ตันหงอี้มาหาเจ้าด้วยเหตุอันใด เขากล่าวอะไรกับเจ้าบ้าง”

ก่อนหน้านี้เสวี่ยเจียเยว่หั่นผักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอจึงยุ่งอยู่กับการทำอาหาร เมื่อได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถามเช่นนั้นก็ตอบกลับไป

“ไม่มีอันใดมากเจ้าค่ะ เขาเพียงนำตั๋วชมการแข่งขันจีจวีรอบชิงชนะเลิศมาให้ข้า และบอกข้าว่าเขาจะเอาชนะท่านในวันนั้นให้ได้ จึงอยากให้ข้าไปดูโดยเฉพาะ ข้าไม่ได้รับตั๋วจากเขามา แต่เอ่ยถากถางแล้วไล่เขาไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะพบกับท่าน เขาคงเอ่ยวาจายั่วโทสะท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านพี่ คนผู้นั้นยังไม่ประสา ท่านไม่ต้องไปสนใจคำพูดของเขามากนะเจ้าคะ”

ถ้าเพียงบอกว่าใครจะแพ้หรือชนะในรอบนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งคงไม่มีทางสนใจ แต่ตันหงอี้จงใจพูดกับเสวี่ยเจียเยว่โดยเฉพาะ…

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าตันหงอี้ไม่ได้พูดเรื่องอื่นอีก และเห็นได้ชัดว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ชอบคนอย่างคุณชายผู้นั้น เขาจึงวางใจได้ไม่น้อย แต่เขาไม่ต้องการให้เสวี่ยเจียเยว่อยู่ใกล้ตันหงอี้ อันที่จริงคือไม่อยากให้เด็กสาวใกล้ชิดกับชายใดทั้งนั้น จึงเอ่ยกับอีกฝ่าย

“ต่อไปเจ้าอย่าพบหน้าตันหงอี้ผู้นั้นอีก หากเขามาเจ้าต้องบอกให้เขาไสหัวออกไปทันที”

ครั้นเอ่ยคำว่า ‘ไสหัวออกไป’ เขาก็ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาฉายความโกรธออกมาทันที แต่เมื่อคิดได้ว่าเสวี่ยเจียเยว่อาจจะเห็น เขาจึงรีบหลุบตาลง แล้วทำท่าตั้งอกตั้งใจช่วยจุดไฟ

เขาก้มศีรษะอำพรางสีหน้าไม่ให้เสวี่ยเจียเยว่เห็นได้ ทว่าไม่สามารถปกปิดน้ำเสียงเย็นชาได้เลยสักนิด ทันทีที่เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น มือที่ถือไม้พายก็หยุดชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงขนตางอนหนาและแก้มขาวเนียนของเสวี่ยหยวนจิ้ง ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ น้ำเสียงถึงได้ไม่สบอารมณ์เช่นนี้

เธออยู่กับเสวี่ยหยวนจิ้งมานาน เคยเห็นเขามีท่าทางดุดัน รวมถึงตนเองก็รู้ว่าเขาเป็นคนเย็นชา แต่ไม่เคยได้ยินคำพูดหยาบคายจากเขามาก่อน โดยเฉพาะคำว่า ‘ไสหัว’ เขาพูดคำนี้ตอนที่เธอเพิ่งข้ามภพมา และตอนนั้นก็เกลียดเธอเข้าไส้ แต่ตอนนี้…

เธอเข้าใจแล้วว่าในใจของเสวี่ยหยวนจิ้งเกลียดตันหงอี้มากจริงๆ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอันใด เพราะคนผู้นั้นทำตัวโอหังอวดดี ใครไม่เกลียดสิถึงจะแปลก

เสวี่ยเจียเยว่ตอบตกลง จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาทำอาหารต่อ

ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี ชายหนุ่มอยากประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่คือสตรีของเขา และจะเป็นเรื่องดีหากไม่มีบุรุษใดปรารถนาในตัวเด็กสาว เขาคิดกระทั่งว่าอยากให้เสวี่ยเจียเยว่อยู่เพียงในเรือน ห้ามออกไปข้างนอกแม้แต่ครึ่งก้าว เพื่อให้เขาได้มองแต่เพียงผู้เดียว แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่อาจขังเสวี่ยเจียเยว่ไว้ในเรือนได้ เด็กสาวเปรียบเหมือนนกน้อยตัวหนึ่งที่อยากจะบินทะยานขึ้นสู่ท้องนภาสีคราม จะถูกเขาหักปีกและจับใส่กรงเพราะความเห็นแก่ตัวได้เยี่ยงไร เขายังอยากให้แม่นางน้อยทำในสิ่งที่ตนอยากจะทำ มีความสุขในทุกวัน และรอยยิ้มนั้นจะออกมาจากใจ

แม้จะคิดได้เช่นนั้น ทว่าความปรารถนาจะครอบครองแต่เพียงผู้เดียวในใจเขาก็เสมือนกับสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง ยามนี้มันกำลังแยกเขี้ยวร้องคำรามตลอดเวลา

ภายใต้การโจมตีของจิตใจทั้งสองฝ่าย เสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้ว่าตนควรจะระบายออกมาอย่างไร จึงทำได้เพียงกระแทกเหล็กคีบถ่านในเตาอย่างรุนแรงจนประกายไฟปะทุออกมา

[1] ต้นฉัตรจีน