บทที่ 97 น้องเยว่เขินอาย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

เก้าสิบเจ็ด

น้องเยว่เขินอาย

เช้าวันรุ่งขึ้นฝนโปรยปรายลงมา เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ตื่นมาเห็นสายฝนด้านนอกเรือน คิ้วเรียวงามก็ขมวดเข้าหากันทันที

เมื่อวานป้าหยางมาหาเธอ โดยบอกว่าตนได้มอบชุดกระโปรงเหล่านั้นให้แก่สตรีในตระกูลร่ำรวยแล้ว อีกทั้งพวกนางยังมีความสุขจนไม่อาจวางชุดลงได้ แต่เมื่อได้ยินว่าป้าหยางมอบให้โดยไม่คิดเงินแม้แต่อีแปะเดียว พวกนางปฏิเสธสองสามประโยคทันที สุดท้ายก็รับเอาไว้และรับปากว่าจะสวมชุดเหล่านั้นออกไปชมดอกเบญจมาศเมื่อเทศกาลฉงหยางมาถึง

อีกสามวันก็จะถึงเทศกาลฉงหยางแล้ว หากฝนยังตกเช่นวันนี้ แล้วงานชมดอกเบญจมาศจะจัดขึ้นเช่นไร ถ้าจัดงานไม่ได้ สตรีเหล่านั้นจะออกมาจากเรือนของพวกนางได้อย่างไร เช่นนั้นความพยายามทั้งหมดของเธอก็คงสูญเปล่า

พอคิดได้ดังนี้ คิ้วเรียวงามก็ยิ่งขมวดแน่นกว่าเดิม

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งออกมาจากห้องของตน ก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่กำลังยืนจับกรอบประตู และเหม่อมองม่านฝนด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

ช่วงที่พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงนั้นได้กินอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้นสองปีที่ผ่านมาเขาจึงเลี้ยงดูเสวี่ยเจียเยว่ให้ดี กระนั้นร่างกายของเด็กสาวก็ยังคงซูบผอมเช่นเดิม ขณะที่ยืนอยู่ใกล้ประตูทั้งยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าหลายตัวเช่นนี้ เมื่อสายลมพัดพาสายฝนมากระทบร่างบอบบาง เสวี่ยหยวนจิ้งก็อดทุกข์ใจไม่ได้

เขาเดินไปหยิบเสื้อคลุมตัวนอกของตนมาคลุมร่างอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ย “ตอนนี้อากาศเริ่มหนาว เหตุใดตื่นนอนแล้วถึงสวมเสื้อผ้าน้อยเช่นนี้ หากหนาวจนไม่สบายขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร”

เขาพาเสวี่ยเจียเยว่ไปนั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะผูกเชือกเสื้อคลุมตัวนอกให้ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีก

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องอันใดอยู่ วันนี้เจ้าเห็นฝนตก ในใจจึงกลัวว่ามันจะตกในวันเทศกาลฉงหยางด้วย หากเป็นเช่นนั้นความพยายามทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า แต่เจ้าวางใจเถิด วันแข่งขันจีจวีรอบชิงชนะเลิศระหว่างสำนักศึกษาไท่ชูกับสำนักศึกษาถัวเยว่จัดขึ้นในวันนั้นเช่นกัน ถ้าฝนตกลงมาจริงๆ การแข่งขันก็ต้องถูกยกเลิกไป และเลือกวันที่อากาศดีในภายหลัง ส่วนสตรีเหล่านั้น เจ้าสามารถไปเชื้อเชิญพวกนางมาดูการแข่งขันได้ เรื่องตั๋วเข้าชมเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าสามารถเจรจากับท่านอาจารย์ที่รับผิดชอบเรื่องการขายตั๋วในสำนักศึกษาของพวกเราได้ ไม่ว่าอย่างไรก็คงรวบรวมตั๋วไม่กี่ใบได้อยู่แล้ว”

เขาเอ่ยเรื่องนี้ออกมาโดยไม่เร่งรีบ สีหน้าดูนิ่งสงบราวกับว่าเรื่องใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นท่าทางเช่นนั้น ในใจก็ค่อยๆ สงบลงโดยไม่รู้ตัว

แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเป็นคนพูดน้อยในวันปกติ ตั้งแต่อยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงจนมาถึงเมืองผิงหยาง แต่เขาก็เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดของเธอเสมอมา ในช่วงเวลาสำคัญเขาสามารถปลอบโยนหัวใจที่กระวนกระวายของเธอให้สงบลงได้

“ท่านพี่” เสวี่ยเจียเยว่คว้ามือเสวี่ยหยวนจิ้ง เงยหน้ามองเขาพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ “ข้าดีใจที่มีท่านอยู่ข้างๆ”

ใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งปรากฏรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับไหล่อีกฝ่าย แล้วคว้าร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก็ก้มหน้าลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เหตุผลที่ข้ายอมให้เจ้าเปิดร้านตัดชุด ก็เพราะข้าอยากให้เจ้ามีความสุข เจ้าไม่ต้องบังคับตัวเองให้ทำมันออกมาดีที่สุด แต่ทำให้เหมือนเป็นแค่เรื่องสนุกๆ หากเจ้ามีความสุขก็ทำไป แต่ถ้าทุกข์ใจไม่ต้องทำ วางใจเถอะเยว่เอ๋อร์ เจ้ายังมีพี่ชายคนนี้คอยเลี้ยงดู แม้จะไม่สามารถทำให้เจ้าได้กินเนื้อในทุกวัน แต่ก็จะมีโจ๊กและผักให้เจ้าได้กินไม่ขาด ในภายภาคหน้าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงยามนั้นเจ้าจะได้กินไก่กินเป็ดทุกวันแน่นอน”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น เธอเผลอหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านพี่ ท่านเห็นข้าเป็นเด็กน้อยหรือเจ้าคะ หรือว่าข้าโวยวายกับท่านเพราะไม่ได้กินไก่ กินเป็ด กินปลาทุกวัน ท่านวางใจเถอะ ข้าเพียงกังวลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เอามาใส่ใจมากนัก”

เสวี่ยหยวนจิ้งสบายใจขึ้นแล้ว แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเสวี่ยเจียเยว่ออกจากอ้อมกอด ยังคงโอบกอดร่างบอบบางเอาไว้เช่นนั้น

ฝนยังคงตกกระทบใบการบูรและหลังคาเรือน สายฝนหยาดลงมาจากชายคาไม่หยุด เมื่อมีลมพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่างและประตู ก็พัดพาละอองฝนที่โปรยปรายเข้ามาด้วย ทำให้บรรยากาศเย็นฉ่ำและหวานชื่น

เสวี่ยหยวนจิ้งโอบกอดร่างบางของเสวี่ยเจียเยว่ สัมผัสถึงความอ่อนนุ่มดุจปุยนุ่นและความสงบราวกับอยู่ใต้ทะเลลึก

เขาอยากจะกอดเสวี่ยเจียเยว่ไว้เช่นนี้และไม่ปล่อยไปตลอดกาล คอยป้องกันลมฝนให้ ทำให้อีกฝ่ายไร้เรื่องกังวลใจใดๆ

ชายหนุ่มยังคงกลัวว่าเสวี่ยเจียเยว่จะสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา จึงหลับตาลงแล้วผลักอีกฝ่ายออก

เสวี่ยหยวนจิ้งอยากให้เด็กสาวยอมรับในตัวเขาอย่างช้าๆ ไม่อยากให้รู้เรื่องนี้ในทันที หากเป็นเช่นนั้นเขากังวลว่าจะทำให้อีกฝ่ายตกใจได้ ตอนนี้คนร่างบางยังเด็กนัก จึงไม่เหมาะที่จะเอ่ยเรื่องในใจ

เมื่อวานเสวี่ยเจียเยว่ซื้อขนมเซาปิ่งกลับมา วันนี้ก็ตื่นแต่เช้ามาทำโจ๊กเอาไว้ก่อนที่เสวี่ยหยวนจิ้งจะออกมาจากห้อง และตอนนี้โจ๊กใกล้จะสุกแล้ว เธอจึงวุ่นอยู่กับการอุ่นขนมเซาปิ่ง

ฝนยังคงตกไม่หยุด เสวี่ยเจียเยว่จึงไม่มีอารมณ์จะออกไปทำกับข้าวที่ลานเรือน โชคดีที่มีชามผักดองอยู่ในตู้ถ้วยชาม อาหารเช้าในวันนี้จึงมีผักดอง โจ๊ก และขนมเซาปิ่ง

หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเจียเยว่เห็นเส้นผมติดอยู่บนไหล่ของเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่ตัวเขาไม่ได้สังเกต เธอจึงเอื้อมมือไปเพื่อจะปัดผมเส้นนั้นออก

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ขณะนั้นเขากำลังลุกขึ้นหลังกินอาหารเสร็จ แต่โต๊ะที่กั้นกลางระหว่างพวกเขาไม่ได้แข็งแรงนัก เมื่อเขายืนขึ้นลำตัวก็ชนกับขอบโต๊ะ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสวี่ยเจียเยว่เอื้อมมือไปปัดเส้นผมให้เขาพอดี ทำให้ขอบโต๊ะอีกด้านกระแทกหน้าอกของเธอ

จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ร้องโอดโอย สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ตกใจยิ่งนัก เขารีบไปดูว่าอีกฝ่ายถูกกระแทกตรงไหน และเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เจ็บมากหรือไม่”

พอเห็นเสวี่ยเจียเยว่กุมหน้าอก เขาก็รู้ทันทีว่าตรงนี้คือจุดที่โดนขอบโต๊ะกระแทก จึงรีบจับในทันใด แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป

“ถูกโต๊ะกระแทกตรงนี้หรือ เจ็บหรือไม่ ให้ข้าดูหน่อย”

จู่ๆ ใบหน้าที่ซีดเผือดของเสวี่ยเจียเยว่ก็แดงเรื่อขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบผลักมือเสวี่ยหยวนจิ้งออกไป

แต่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เพราะตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังกังวลว่าเธอเจ็บตรงไหน ถูกขอบโต๊ะกระแทกแรงหรือไม่ จึงไม่เพียงกดมือลงเท่านั้น ยังคลำขึ้นลง ซ้ายที ขวาที และเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าถูกกระแทกตรงไหนกันแน่ เจ็บตรงไหน รีบบอกข้ามาเร็ว”

ขณะนี้ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แดงฉานราวกับหยดเลือดก็ไม่ปาน เธอใช้แรงทั้งหมดผลักมือเขาออกไป ทว่ายังไม่สามารถทำตามความต้องการได้ สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงเอ่ยออกไปอย่างเขินอาย “ท่านพี่ เอามือของท่านออกไปก่อนเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ก่อนจะตะลึงงันไปชั่วขณะ เขาอยากจะตรวจดูว่าเสวี่ยเจียเยว่ถูกโต๊ะกระแทกตรงไหน แต่ใบหน้าของเด็กสาวแดงก่ำและน้ำตาซึม เห็นเช่นนั้นเขาก็ไม่กล้าจับต่อ ได้แต่เก็บมือกลับมาโดยดี

ทว่าเขาไม่อาจวางใจได้จึงเอ่ยถาม “เจ้าถูกกระแทกตรงไหน เหตุใดถึงไม่บอกข้า”

พอกล่าวประโยคนี้จบลง เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง จากนั้นราวกับว่ามีเสียงฟ้าคำรามอยู่ในหัวของตนจนทำอันใดไม่ถูก

เมื่อครู่เขาคลำหน้าอกของเสวี่ยเจียเยว่ด้วย ดูเหมือนว่าจะสัมผัสกับอะไรบางอย่าง…

ใบหน้าหล่อเหลาพลันเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อทันที ไม่รู้ว่าจะเอามือไปวางไว้ตรงไหนดี และไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดกับเสวี่ยเจียเยว่ คนที่สงบเยือกเย็นมาตลอด ยามนี้กลับกลายเป็นเอ่ยตะกุกตะกัก

“เอ่อ… เรื่องนั้น… ข้า… ข้าไม่ได้… ข้าไม่ได้ตั้งใจจะจับตรงนั้นของเจ้า… ข้า…”

เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสวี่ยเจียเยว่ผู้เขินอายจนกลายเป็นความโกรธเอ่ยตำหนิเสียงต่ำ

“ท่านยังไม่รีบไปสำนักศึกษาอีกหรือเจ้าคะ หากไม่รีบไปอีก ประตูสำนักศึกษาจะปิดก่อนนะเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น ก็รีบลุกพรวดพราดขึ้นและเดินออกจากเรือนไป

เสวี่ยเจียเยว่ทั้งโกรธทั้งขำ ก่อนจะรีบเรียกเขา “ท่านไม่เอาตำราไป จะรอให้อาจารย์ลงโทษเอาหรือ ตอนนี้ฝนยังตกอยู่ ไม่เอาร่มไปด้วย อยากตัวเปียกจนไม่สบายหรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งเพียงหันกลับมามองเธอเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยิบถุงผ้าในห้องของตน แล้วหยิบร่มกระดาษน้ำมัน

เขาก้าวไปถึงหน้าประตูแล้ว แต่ขณะกำลังจะกางร่มออกก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ จึงเดินกลับไปก้มมองเสวี่ยเจียเยว่แล้วถาม

“ตรงนั้นของเจ้า… ตรงนั้นของเจ้าเจ็บหรือไม่ หากเจ้าเจ็บมาก… เจ้า… เจ้าก็ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเอง แล้ววันนี้เจ้าก็ไม่ต้องไปร้านตัดชุด ให้ป้าเฝิงดูแลที่นั่นไปก่อน ส่วนเจ้าก็พักผ่อนอยู่ที่เรือน”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น ก็ทั้งโกรธและอับอาย สีแดงบนใบหน้าที่เพิ่งจางลงเมื่อครู่ กลับแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง

ความจริงแล้วเธอไม่ได้ถูกโต๊ะกระแทกรุนแรงขนาดนั้น หากในยามปกติ นวดครู่เดียวก็หายเจ็บแล้ว แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนมือเธอบังเอิญชนหน้าอกของตนตอนอาบน้ำ จู่ๆ ก็รู้สึกปวดขึ้นมา เมื่อก้มลงมองก็พบว่าหน้าอกที่เคยแบนราบเหมือนพื้นดินกลับนูนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ได้ เพียงใช้มือคลำเบาๆ ยังเจ็บ นับประสาอะไรกับถูกขอบโต๊ะกระแทกเข้าอย่างจังเมื่อครู่นี้ เธอจึงเจ็บปวดจนหน้าซีด

เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าร่างของเอ้อร์ยาอายุสิบสองปีแล้ว อวัยวะส่วนนั้นจึงเริ่มเติบโตขึ้น เพียงแต่หลายวันมานี้เธอยุ่งมาก จึงไม่ได้สังเกตเรื่องเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้ เมื่อเห็นเธอเจ็บปวดจึงรีบมาดู ทั้งยังเอื้อมมือมาจับ กระทั่งจะดูให้ได้ว่าตรงนั้นของเธอได้รับบาดเจ็บหรือไม่…

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที แต่เธอไม่คิดจะตำหนิเสวี่ยหยวนจิ้ง เพราะถึงอย่างไรคนไม่รู้ย่อมไม่ผิด เขาเป็นห่วงเธอเท่านั้น แต่เธอกลับเขินอายเสียได้

สตรีคนใดไม่อายบ้างเมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เสวี่ยหยวนจิ้งยังเอ่ยถามราวกับว่าเธอเจ็บไปทั้งตัว ไม่ใช่แค่หน้าอก

เมื่อเห็นใบหน้าของเขาแดงเรื่อ และไม่กล้าจับจ้องมาที่เธอ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้ว่าเขาคงเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้สัมผัสก้อนเนื้อสองก้อนนั้นหรือไม่…

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าร่างกายของเธอร้อนผ่าว ราวกับอีกไม่กี่อึดใจมันจะถูกแผดเผาไปทั่วร่าง

เธอกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโมโห “ยังไม่รีบไปอีกหรือเจ้าคะ มัวแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้แล้วพูดจาไร้สาระอันใดก็ไม่รู้”

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ไม่กล้ารบกวนอีก อันที่จริงเขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับตัวเองอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยเจียเยว่ จึงทำได้เพียงตอบว่า “อือ” ก่อนจะหันไปกางร่มแล้วพุ่งตัวออกไปท่ามกลางสายฝน