ตอนที่ 559 การคำนวณเทพยดา

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

“ผู้อาวุโสเฉือแบบนี้ตัวแน่นจับนุ่มมือกว่าเดิมอีก!” ฮู่หลิงเอ๋อกล่าวแก่ฉินมู่ด้วยสีหน้าจริงจัง จิ้งจอกน้อยเข้าไปจับเขาสองรอบและนางก็รู้สึกว่าเขาค่อนข้างตุ้ยนุ้ย

ฉินมู่กังวลอยู่เล็กน้อยว่าศิษย์พี่ของเขาจะหยุดตัวเองไม่ได้ และกลายเป็นอ้วนพีจากการกินยาพลังชีวาผสมทองและน้ำมากเกินไป

แต่ถึงอย่างไร เสือเทพยดาขนดำก็เป็นศิษย์พี่ของเขา และได้ติดตามนักบุญคนตัดไม้มาช้านาน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นเทพเจ้าผู้เลื่องชื่อลือชา ในฐานะศิษย์น้อง ฉินมู่ย่อมไม่มีฐานะไปบอกเตือนอะไรได้

ต่อให้เขาขอให้เทพเสือขนดำกินยาพลังชีวาผสมนี้น้อยๆ หน่อย เขาก็คิดว่าเทพเสือคงไม่ฟังเขาหรอก ตอนนี้เทพเสือขนดำฟังกิเลนมังกรมากกว่าเขา

ข้าควรปล่อยให้นักบุญคนตัดไม้ปวดหัวไปเองดีกว่า

ฉินมู่หันกลับไปและเห็นรอยทางของปราณมารที่พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บ้างก็เป็นรูปดอกบัว และบ้างก็เหมือนกับก้อนเมฆ และยังมีบางเส้นสายปราณมารที่ดูเหมือนนกยูงและมารเทวะ ทั้งหมดนี้เป็นรูปเงาที่ก่อขึ้นจากปราณชีวิตของยอดฝีมือเผ่ามาร

ในการที่สามารถสร้างพวกมันขึ้นมาได้ พวกเขาอย่างน้อยจะเป็นยอดฝีมือระดับชาวสวรรค์หรือสูงกว่านั้น!

กระนั้น ยอดยุทธฝีมือแกร่งเผ่ามารก็ไม่รีบพุ่งทะยานเข้ามาสังหารพวกเขา ราวกับว่าพวกนั้นกำลังรออะไรสักอย่างอยู่

“ยอดฝีมือระดับสะพานเทวะมาถึงแล้ว!”

ฉินมู่เพ่งสายตาไป และพลันเห็นสะพานเทวะเส้นหนึ่งที่ทอดยาวหลายสิบลี้ข้ามท้องฟ้า จิตวิญญาณดั้งเดิมของมารเทวะตนหนึ่งเดินมาบนนั้นพร้อมด้วยปราสาทสวรรค์ของมรรคามารเหนือหัวของเขา นี่คือรูปเงาของยอดฝีมือแกร่งแห่งขั้นสะพานเทวะ

ในสันตินิรันดร์ พวกที่ยืนอยู่บนสะพานเทวะคือตัวตนระดับจ้าวลัทธิ กำลังฝีมือของพวกเขาล้ำเลิศที่สุด แต่นั่นคือเรื่องในอดีต หลังจากที่ฉินมู่เผยแพร่วิธีการซ่อมแซมสะพานเทวะและวิธีเข้าสู่ปราสาทสวรรค์ ใครก็ตามจะถูกนับว่าเป็นยอดฝีมือระดับจ้าวลัทธิก็ต่อเมื่อพวกเขาบรรลุเป็นเทพเจ้าแล้วเท่านั้น

แต่ถึงอย่างไร ผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นสะพานเทวะก็ยังคงเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างสุดขีด หากว่าพวกเขาไล่ล่ามา ก็คงมีแต่เทพเสือขนดำเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องคณะเดินทางจากอันตรายได้!

ไม่นาน ฉินมู่ก็เห็นสะพานเทวะลำที่สอง ตามด้วยสามและสี่…

ยอดยุทธขั้นสะพานเทวะปรากฏขึ้นข้างหลังพวกเขามากขึ้นทุกทีๆ พวกเขามีจิตวิญญาณดั้งเดิมทุกรูปแบบ และตำแหน่งของพวกเขาบนสะพานเทวะก็แตกต่างกันไป แสดงให้เห็นความแตกต่างของระดับวรยุทธ

จิตวิญญาณดั้งเดิมเหล่านั้นมองมาที่พวกฉินมู่จากไกลๆ ขณะที่ลำแสงมารกวาดผ่านพวกเขาอย่างไม่เกรงใจ

แต่แม้ว่าจะมียอดยุทธขั้นสะพานเทวะมาถึงมากมายแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังคงไม่โจมตี

พวกเขากำลังรอตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ลงมาที่นี่! ฉินมู่หรี่ตาและมองออกไปพลางครุ่นคิด ตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสะพานเทวะก็มีแต่มารเทวะที่เข้าไปยังปราสาทสวรรค์แล้ว! เพียงแต่ว่าไม่มีทางรู้ว่ามารเทวะนั้นที่กำลังเร่งรุดมาได้ก้าวผ่านประตูสวรรค์ทักษิณหรือยัง…

เขามองไปยังเทพเสือขนดำที่กำลังนอนแผ่อยู่บนหีบกับกิเลนมังกร ตั้งแต่เมื่อสองคนคุยถูกคอกัน พวกเขาก็กลายเป็นเกียจคร้าน เทพเสือขนดำเอาแต่นอนอยู่บนหีบและกระซิบกระซาบบางอย่างกับกิเลนมังกร

ฉินมู่รู้สึกว้าวุ่นในใจ หวังว่าผู้ที่มาจะยังไม่ได้ก้าวผ่านประตูสวรรค์ทักษิณ…

ด้วยสีหน้ากังวล ซังฮั่วกล่าวด้วยเสียงเบา “พี่ชายจ้าวลัทธิ หากว่าพวกเรายังคงมุ่งหน้าต่อไป ไม่นานก็จะถึงแนวหน้าสนามรบ ที่นั่นมียอดฝีมือเผ่ามารอันแข็งแกร่งมากมาย”

ฉินมู่จิตคิดสั่นสะท้าน เขารู้ทันทีว่ามารพวกนั้นกำลังรออะไรอยู่

ทางด้านหน้าพวกเรามียอดยุทธฝีมือแกร่งดักรออยู่จำนวนมาก และด้วยผู้ไล่ล่าที่ตามมาข้างหลัง พวกเขาก็จะขนาบพวกเราจากทั้งสองทางได้ ทำให้พวกเราไม่อาจรับมือทั้งหน้าและหลัง พวกมารข้างหลังนั้นมิได้กำลังรอการมาถึงของมารเทวะ ในเมื่อมารเทวะที่มานั้นอยู่ท่ามกลางพวกเขาเรียบร้อยแล้ว แต่รอให้พวกเราตกลงไปในกับดักต่างหาก!

ฉินมู่ตั้งสติตนเองและมายังข้างๆ หีบ เสือเทพยดาขนดำและกิเลนมังกรกำลังพึมพำอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้ พวกเขาก็รีบหุบปากทันที

ฉินมู่บอกเล่าถึงข้อสันนิษฐานของตนแก่พวกเขา และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่เสือ ยิ่งพวกเราเดินทางไปข้างหน้ามากเท่าไร และยิ่งเข้าใกล้แนวหน้าสนามรบมากเท่าไร พวกเราก็จะเสี่ยงอันตรายมากขึ้นเท่านั้น! เมื่อพวกเราเข้าไปใกล้ ก็จะต้องมีมารเทวะที่มาขัดขวางเส้นทางของพวกเรา และในเวลาเดียวกัน จากทางด้านหลังก็จะมีมารเทวะอีกตนมาขัดขวางเส้นทางล่าถอย! หากว่าพวกเราถูกขนาบจากทั้งสองด้าน พวกเราก็จะถูกกำจัด!”

เสือเทพยดาขนดำลุกขึ้นยืนเหมือนแมวตัวใหญ่และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พิชัยยุทธที่ยอดเยี่ยม! แต่ทว่า พวกเขาดูแคลนข้ามากเกินไป! ข้าได้ติดตามนายท่านไปยึดครองทั้งเหนือและใต้ ทั้งยังผ่านการศึกมานับครั้งไม่ถ้วน ข้าได้ชื่อเสียงกิตติศัพท์มาจากการอาบย้อมไปด้วยโลหิตของศัตรู! หลังจากที่นายท่านเปลี่ยนเป็นหิน ข้าเองก็ได้หลับใหลลงไปเช่นกัน ดูท่าไอ้มารเด็กหัวขนพวกนี้จะลืมไปเสียแล้วถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของข้า! ไม่ต้องกลัว เมื่อพวกเราอยู่ห่างจากแนวหน้าหนึ่งพันลี้ ค่อยเรียกข้า!”

ฉินมู่อ้าปาก แต่ไม่พูดอะไร

เทพเสือขนดำนอนลงอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหัวขึ้นมา “เจ้ายังมีสมุนไพรวิญญาณอยู่อีกไหม พวกที่เจ้าให้ข้ามามันเอาไปหลอมปรุงยาจนหมดแล้ว ให้ข้าอีกสักหน่อย ถ้าข้าท้องอิ่มก็จะออกไปสังหารศัตรูได้ดีขึ้น”

ฉินมู่นำเอาสมุนไพรวิญญาณออกมาจากถุงเต๋าตี้จำนวนหนึ่ง เพียงพอแค่หลอมได้หนึ่งหม้อ เขายื่นมันออกไป และกล่าว “ศิษย์พี่เสือ อย่ากินมากเกินไป ระวังจะกลายเป็นเหมือนกับมังกรอ้วนนี่”

เสือเทพยดาขนดำหัวเราะร่า ดูผยองเป็นพิเศษ “เจ้าประเมินข้าต่ำไปแล้ว ข้าสามารถสลายยาวิญญาณพวกนี้ได้ด้วยการฝึกบำเพ็ญ และจะไม่มีเนื้อหนังส่วนเกินเพิ่มขึ้นมา ข้ารู้ขีดจำกัดของข้าดี ข้าจะเผยให้เจ้าได้เห็นความองอาจเกรียงไกรของข้าในภายหลัง!”

“น้องสาวฮั่ว พวกเราอยู่ไกลจากแนวหน้าอีกเท่าไรหรือ” ฉินมู่ไต่ถาม

ซังฮั่วนำแผนที่ออกมาฉบับหนึ่งและค้นดูทั่วๆ นางนำไม้บรรทัดออกมาวัด “นี่คือ…ภูเขารวมเมฆา พวกเรายังคงอยู่ห่างไปอีกสี่พันลี้”

ฉินมู่มองไปยังอัตราส่วนและวัดระยะด้วยตนเอง เขาส่ายหัวและกล่าว “สี่พันสองร้อยหกสิบเอ็ดลี้”

“ทำไมเจ้าจะต้องวัดแม่นยำขนาดนั้นด้วย” ซังฮั่วถามด้วยรอยยิ้ม

ฉินมู่ส่ายหน้า เพราะแบบนี้พีชคณิตของสวรรค์ไท่หวงพวกเจ้าถึงหย่อนยานขนาดนี้อย่างไรล่ะ ขนาดดวงตะวันของพวกเจ้าก็ยังหลอมสร้างออกมาบิดๆ เบี้ยวๆ จนทนมองดูไม่ได้

แน่นอนว่า เขาไม่อาจกล่าวเช่นนี้ใส่หน้านางตรงๆ

หลิงอวี้จิวและซีอวิ๋นเซี่ยงเรียกซังฮั่วไปหาตอนที่นางว่างแล้ว เด็กสาวทั้งสามสนทนากันอย่างเซ็งแซ่ และแลกเปลี่ยนฝีมือคำชี้แนะในด้านมรรคา วิชาและทักษะเทวะระหว่างสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์

หลิงอวี้จิวและซีอวิ๋นเซี่ยงมุ่งแสวงความรู้อย่างจริงใจจากซังฮั่ว ถึงวิธีการฝึกปรือบ่มเพาะให้เป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์ และซังฮั่วก็บอกพวกนางถึงทุกสิ่งที่นางรู้โดยไม่มีปิดบัง นางยังคงถามทั้งคู่ถึงเวทมนตร์ของสันตินิรันดร์ และเด็กสาวทั้งสองก็สอนทักษะเทวะที่เพิ่งคิดค้นใหม่ๆ ในสันตินิรันดร์ให้แก่ซังฮั่ว–นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม

“นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมจะต้องใช้การฝึกประสานคู่ ดังนั้นวิชานี้ควรใช้เพียงระหว่างสามีและภรรยาเท่านั้น” ซังฮั่วกล่าวด้วยความแตกตื่น

หลิงอวี้จิวแย้มยิ้มให้แก่นาง “เหลวไหลน่า! ตราบเท่าที่จิตวิญญาณดั้งเดิมสามารถสั่นพ้องกันได้ ใครๆ ก็สามารถฝึกปรือได้ทั้งนั้น แม้แต่หลวงจีนและนักพรตมากมายในสันตินิรันดร์ก็ยังฝึกวิชานี้เลย!”

ซังฮั่วอ้าปากค้าง ผ่านไปสักพัก นางก็ถามอย่างสงสัย “แม้แต่หลวงจีนและนักพรตก็ยังฝึกหรือ พวกเจ้าสองคนก็ฝึกมันหรือ”

“ข้าฝึกมันกับเด็กเลี้ยงวัว” หลิงอวี้จิวกล่าว

ซังฮั่วผิดหวังและอิจฉาอยู่เล็กๆ นางมองไปที่ซีอวิ๋นเซี่ยงและถาม “แล้วพี่สาวเซี่ยงล่ะ?”

ซีอวิ๋นเซี่ยงยิ้มให้แก่นาง “ข้าเองก็ฝึกกับจ้าวลัทธิ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก และเจ้าจะรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วหากว่าฝึกประสานคู่จิตวิญญาณดั้งเดิมกับเขา!”

ซังฮั่วดวงตาเบิกกว้างและร้องออกมา “พวกเจ้า…สองคน…ได้อย่างไร…นั่นไม่ถูกต้องแล้ว! ฝึกประสานคู่จิตวิญญาณดั้งเดิม ทำได้กับคู่ใจเต๋าเพียงคนเดียวเท่านั้น!”

ขณะที่นางกำลังเกือบสติหลุด ซีอวิ๋นเซี่ยงก็กล่าวอย่างล่อลวง “เมื่อเจ้าได้ลองฝึกประสานคู่กับจ้าวลัทธิ เจ้าก็จะเข้าใจ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาแข็งและแกร่งจริงๆ!”

ซังฮั่วหน้าแดงและกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “กฎเกณฑ์ของสวรรค์ไท่หวงพวกเราได้มองเรื่องการฝึกประสานคู่จิตวิญญาณดั้งเดิมแตกต่างไปจากสันตินิรันดร์ของพวกเจ้า การฝึกประสานคู่จิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นข้อห้ามถือสาที่นี่ มีก็แต่สามีและภรรยาเท่านั้นที่สามารถฝึกประสานคู่ได้ แม้แต่จะเป็นคู่หมั้นกันก็ยังไม่เพียงพอ”

หลิงอวี้จิวและซีอวิ๋นเซี่ยงหันไปมองหน้ากัน และดูราวจะรู้ใจซึ่งกันและกัน “กฎเกณฑ์สวรรค์ไท่หวงของพวกเจ้าคร่ำครึเกินไปแล้ว แต่ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ทุกๆ ที่ก็มีกฎเกณฑ์ของมันทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นในแผ่นดินตะวันตก สตรีทุกนางล้วนเป็นนางจิ้งจอกน้อย เพื่อกรุยทางปูลาดถนน ราชครูก็ได้นำพวกนางปีศาจน้อยเป็นพันคนมาด้วยและสร้างความวุ่นวายไม่ใช่น้อย!”

ฉินมู่ก้าวขึ้นไปบนอากาศสูงและมองออกไปยังทิศไกลๆ เขามองเห็นปราณมารอันคละคลุ้งอย่างเหลือเชื่อกลิ้งเกลือกอยู่ห่างไกลออกไปหนึ่งพันลี้จากพวกเขา มันเหมือนกับกำแพงสูงที่ยืดยาวไปกว่าหมื่นลี้

ค่ายทัพใหญ่ของเผ่ามารในแนวหน้า!

เขาสำรวจดูด้วยเนตรเทวะสวรรค์เก้าและเห็นภาพปรากฏการณ์อันผิดแผกและพิสดารต่างๆ กันไป พวกมันเป็นรูปเงาที่ก่อขึ้นมาจากยอดฝีมือระดับชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะในกองทัพของเผ่ามาร!

“น้องสาวฮั่ว เอาแผนที่ให้ข้าหน่อย!”

นางนำแผนที่ออกมาและฉินมู่ใช้ปราณชีวิตของเขาเป็นไม้บรรทัดเพื่อวัดมันอย่างแม่นยำ เขาหันกลับไปมองยังผู้ไล่ล่าและปราณมารจากพวกนั้นที่หนาแน่นมากขึ้นทุกทีๆ สายตาเขาวูบไหว นี่ยังคงห่างไปหนึ่งพันหนึ่งร้อยลี้ ศิษย์พี่เสือบอกข้าให้เรียกเขาตอนหนึ่งพันลี้ แต่เขาดูเหมือนจะอ้วนขึ้นไปอีกในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ฉินมู่หันหัวกลับไปและมองไปที่เทพเสือบนหีบ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่เสือ พวกเราอยู่ห่างจากแนวหน้าหนึ่งพันลี้แล้ว”

เสือน้อยกระโจนผลุงขึ้นมาจากหีบและหัวเราะ “อยู่ที่นี่แหละ และรอดูฝีมือข้า!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาก็พุ่งไปข้างหน้ายังผู้ไล่ล่าที่ตามมาข้างหลังพวกเขา

ฉินมู่มองไปยังเสือเทพยดาขนดำ และเห็นเขาวิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ขณะที่เขาวิ่งไป กายเนื้อของเขาก็แปรเปลี่ยน และไม่ทันถึงชั่วอึดใจ เขาก็แปลงจากเสือน้อยสีดำสูงคืบเดียว กลายเป็นสัตว์ยักษ์ตัวมหึมาปานขุนเขา เขาดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แม้ว่าพุงของเขาจะใหญ่ไปเสียหน่อย

เมื่อเสือเทพยดาขนดำวิ่งไป เขาก็เปลี่ยนจากวิ่งสี่เท้าเป็นวิ่งสองเท้า อักษรรูนมากมายแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเขาราวกับชุดเกราะคลุมตัว ค้อนใหญ่สองค้อนปรากฏในอุ้งเท้าหน้าของเขา

ในชั่วอึดใจ เทพเสือขนดำก็ได้ไปปะทะกับผู้ไล่ล่า และกระดูกของยอดฝีมือมารมากมายก็แตกหัก ร่างกายของพวกเขากระเด็นพลิกหัวหางไปในอากาศและร่วงลงมาอย่างอ่อนเปลี้ย

มารเทวะตนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มมารเหล่านั้นจริงๆ และเขาพุ่งทะยานไปบนอากาศในจังหวะนั้น ด้วยง้าวศึกเพื่อประจันกับค้อนยักษ์สองด้ามในมือเทพเสือขนดำ ฝ่ายหลังนั้นห้าวหาญอย่างอัศจรรย์ แต่มารเทวะก็มิได้อ่อนแอเช่นกัน ในพริบตาที่ทั้งคู่ปะทะ ฉินมู่พลันเห็นยอดเขาหนึ่งลอยขึ้นมาหลังจากถูกฟันขาด

“ไปเร็วเข้า!” ฉินมู่กล่าวอย่างรวดเร็ว “มุ่งหน้าไปต่ออีกหนึ่งร้อยลี้! มังกรอ้วน ลงมาจากหีบ!”

ซังฮั่วไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร แต่นางก็ยังคงทำตามคำของเขา นำเอาหีบเ่งรีบไปข้างหน้า กิเลนมังกรกระโดดและตามไปข้างหลังพวกเขา

ที่ด้านหลังคณะเดินทาง มียอดฝีมือมารมากมายที่มิได้ตายในเงื้อมมือของเทพเสือขนดำ พวกมันรีบละทิ้งเทพเสือขนดำเอาไว้ข้างหลังเพื่อไล่ล่าตามคนกลุ่มเล็กๆ นี้

ในขณะเดียวกัน ที่ตรงหน้าค่ายใหญ่แนวหน้า การต่อสู้ระหว่างเสือเทพยดาขนดำและมารเทวะก็ได้สร้างคลื่นกระเพื่อมที่ทำให้มารเทวะในบริเวณรอบๆ แตกตื่น มันใดนั้น ปราณมารสายหนึ่งก็แยกตัวออกมาจากกลุ่มมวลปราณมารอันหนาแน่นเหนือค่ายทัพใหญ่ และพุ่งมายังทิศทางฉินมู่ ดูท่าจะเป็นยอดฝีมือแข็งแกร่งแห่งเผ่ามารที่พุ่งเข้ามาขนาบพวกเขา

ฉินมู่วิ่งไปหนึ่งร้อยลี้พร้อมๆ กับทุกคน จากนั้นก็ตะโกน “หยุด!”

ข้างหลัง เสียงระเบิดสะท้านโลกาก็พลันสะเทือนเลื่อนลั่นออกมา เมื่อเทพเสือขนดำและมารเทวะพุ่งผ่านไประหว่างที่ต่อสู้ ด้วยเสียงคำรามจากเสือ ภูเขาและป่าดงก็ถูกเป่ากระจุยขึ้นไปว่อนฟ้า หินทั้งหลายก็กระเซ็นซ่านไปทั่ว

เทพเสือขนดำมายังพวกเขาด้วยความเร็วอันดุเดือด และค้อนยักษ์คู่นั้นของเขาก็ฟาดทุบยอดฝีมือที่ไล่ล่าฉินมู่มาทีละคนสองคน

ฉินมู่เห็นสถานการณ์ก็กล่าวทันที “ถอยไปอีกร้อยลี้”

ซังฮั่ว หลิงอวี้จิว และคนอื่นๆ ไม่เข้าใจ แต่พวกนางก็ยังคงวิ่งเพื่อถอยห่างออกไปตามถ้อยคำของเขา หลังจากที่เทพเสือขนดำสังหารผู้ไล่ล่า เขาก็กระโจนเหนือหัวพวกฉินมู่ และเข้าไปประจันหน้ากับยอดฝีมือมารมากมายที่ไล่ตามพวกเขามา

ยอดฝีมือมารเหล่านั้นถูกนำมาด้วยมารเทวะ แต่พยุหะกระบวนรบของพวกเขาถูกเทพเสือขนดำปั่นป่วนเสียจนกระเจิง เทพสองตนต่อสู้กันขณะที่ยอดฝีมือคนอื่นๆ ที่เหลืออ้อมไปรอบๆ พวกเขาทั้งสอง และพุ่งไปยังฉินมู่กับคนอื่นๆ

หลังจากที่ฉินมู่นำทุกๆ คนถอยกลับมาหนึ่งร้อยลี้ เขาก็หยุดและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเราน่าจะปลอดภัยแล้ว”

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ จิตวิญญาณดั้งเดิมของยอดยุทธฝีมือแกร่งเผ่ามารก็มาถึง และทักษะเทวะของพวกก็พุ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไป แต่ค้อนใหญ่ปลิวเข้ามาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ ฟาดทำลายทักษะเทวะจิตวิญญาณดั้งเดิมของยอดฝีมือมารเหล่านั้นให้เป็นจุณวิจุณ!

ร่างของเสือเทพยดาขนดำวูบมายังพวกเขา และเขาคว้าจับค้อนยักษ์ที่กำลังบินเข้ามาหาทุกคน เขาเขย่ามันด้วยกำลังแรงและหัวร่อฮาๆ “ข้าเชื่อว่า คงไม่ทำให้ใครผิดหวัง! ทุกคน ปีนขึ้นมาบนหลังข้า และตามข้าบุกเข้าไปในค่ายศัตรู ข้าจะพาพวกเจ้าทั้งหมดกลับไปยังเมืองหลี!”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก และคิดในใจ พี่เสือนี่อ้วนขึ้นมากจริงๆ ในช่วงหลายวันมานี้ น้ำหนักของเขาเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความเร็วของเขาลดลงไปหนึ่งในสิบส่วน ดังนั้นข้าจึงเพิ่มระยะทางหนึ่งร้อยลี้เข้าไป ดูเหมือนว่าข้าจะคิดถูก!

……………..