ตอนที่ 560 ผู้นำทางความตายแห่งแดนใต้พิภพ

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

เสือดำนอนหมอบลงกับพื้น และฉินมู่รีบโยนหีบขึ้นไปบนหลังของเขา จากนั้นเขาก็แบกฮู่หลิงเอ๋อขึ้นไปด้วยกันกับเขา ขณะที่เด็กสาวทั้งสามและกิเลนมังกรตามไปข้างหลัง เทพเสือขนดำเริ่มวิ่งตะบึงไปทันที และผ่านภูเขาทั้งหลายในพริบตา ความเร็วของเขาไร้เทียมทาน

ฉินมู่ยอบตัวลงต่ำชิดหลังเสือและฟังเสียงหายใจของเสือเทพยดา มันค่อยๆ เร็วขึ้น และเขาก็คิด ข้าว่าแล้ว การฝึกบำเพ็ญชั่วชีวิตของศิษย์พี่เสือถูกมังกรอ้วนทำลายลงไปในวันเดียว เขาถูกมังกรอ้วนล้างสมองไปเสียแล้ว หวังว่าเขาคงจะไม่อ้วนมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่อาจมีคำอธิบายต่อครูบาศักดิ์สิทธิ์ได้…จริงสิ ก็ยังไม่รู้อีกนั่นแหละว่าพวกเราจะฝ่าค่ายทัพศัตรูและกลับไปยังเมืองหลีได้หรือไม่…

ในตอนนั้นเอง เสียงที่คล้ายๆ กับเขื่อนยักษ์แตกทำลายและมวลน้ำก็ถั่งโถม ทำให้หูของเขาอื้ออึงไปหมด ฉินมู่เมินลมที่พัดมาปะทะหน้าและมองไปข้างหน้า เขาเห็นแสงกระบี่ที่ฉีกทึ้งผ่านปราณมาร และสร้างรูโหว่ขนาดใหญ่ในค่ายทัพหลักของเหล่ามาร

ที่ตามมาหลังจากนั้นคือน้ำเต้าขนาดยักษ์มากมายลอยอยู่ในอากาศ พร้อมกับผู้ฝึกวิชาเทวะที่อยู่ข้างหลังพวกมัน พวกเขาขับเคลื่อนทักษะเทวะ และสายฟ้าก็พวยพุ่งออกมาจากน้ำเต้า โหมถล่มลงไปยังค่ายทัพใหญ่ของเผ่ามาร

ข้างหลังน้ำเต้าสายฟ้าคือไจกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันนับหมื่นหมุนปั่นอย่างดุร้าย หลังจากที่สายฟ้าฟาดลงไป กระบี่จำนวนไร้ประมาณก็โหมถล่มลงมายังค่ายใหญ่เผ่ามาร

ข้างหลังไจกระบี่เหล่านั้น ก็ยังมีเรือเหาะอีกระลอกแล้วระลอกเล่า ปืนใหญ่แก่นกำเนิดถูกติดตั้งอยู่บนเรือเหาะพวกนั้น และด้วยลำแสงปืนใหญ่ที่ยิ่งไปยังพื้น ค่ายทัพใหญ่ก็ถูกทำลาย!

“มันคือกองทัพแห่งสันตินิรันดร์!” ฉินมู่จิตวิญญาณฟูฟ่องขึ้นมา “ที่เปิดฉากทำลายค่ายนั่นคือแสงกระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์! เจ้าหมอนี่ก็ยังคงชอบจะเอาชัยได้เปรียบด้วยวิธีที่ปลอดภัยที่สุด มารเทวะตนนั้นที่พุ่งออกมาจากค่ายหลักเพื่อสังหารพวกเรา น่าจะเป็นผู้บัญชาการของค่ายหลัก ในพริบตาที่เขาออกไปจากค่าย ราชครูเห็นช่องโหว่และฉวยโอกาสเพื่อทำลายพยุหะกระบวนรบ! มีก็แต่ราชครูเท่านั้นที่จะกลอกกลิ้งขนาดนี้!”

เพลงกระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์ได้ย่างกรายสู่เขตขั้นเต๋า และมันได้ฝึกปรือบ่มเพาะจิตเต๋าของเขา ไม่มีช่องโหว่ใดของศัตรูที่เล็ดรอดสายตาหรือแสงกระบี่ของเขาไปได้ มันก็ไม่ต่างกันกับพยุหะกระบวนรบของปรปักษ์ เขาได้แปรเปลี่ยนมรรคากระบี่ของตนให้กลายเป็นมรรคาแห่งสงคราม และมันก็ประสบความสำเร็จในทุกๆ ศึก

ฉินมู่คลายใจ แม้ว่าเทพเสือขนดำจะยังหอบหายใจแฮ่กๆ แต่เขาก็ยังสามารถนำพวกฉินมู่ออกไปจากเขตแดนเผ่ามารได้

ที่ข้างหน้า ราชครูสันตินิรันดร์และเจ้านครเว่ยกำลังกรุยทางให้กับเรือเหาะข้างหลังพวกเขา ทหารมากมายที่มีน้ำเต้าสายฟ้าก็ลดระดับการบิน และลงเหยียบบนเรือเหาะเหล่านั้น

ขณะเดียวกันที่ด้านหลัง มันก็ยังมีกองทัพที่ก่อขึ้นมาจากสัตว์พิสดารกับผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนนับไม่ถ้วน

เทพเสือขนดำบุกตะลุยเข้าไปในสนามรบ และเขย่าร่างของเขา สะบัดทุกๆ คนให้ลงจากหลัง เขาลุกขึ้นยืนคว้าจับค้อนยักษ์สองด้ามเพื่อหมุนปั่นไปราวกังหันลม บดขยี้อริศัตรูรอบๆ ราวกับว่าเขาคือพายุลูกหนึ่ง

ตูม!

เมื่อเทพเสือขนดำฟาดค้อนของเขาใส่พื้น พลานุภาพอันไร้ประมาณของมันก็กวาดซัดไปทั่วทิศทาง มารจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเป่ากระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า

เทพเสือขนดำโจมตีกระบวนรบของศัตรูพลางร้องคำราม “พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าจะอยู่ที่นี่และย่อยสลายพลังยาวิญญาณ ใช้ไขมันส่วนเกินในพุงของข้าให้หมด เพื่อให้นายท่านกลับมาจะได้ยังจดจำข้าได้!”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น ปีศาจเทวะก็ทำลายล้างทุกๆ สิ่งรอบตัวเขา และพุ่งไปยังแนวหน้าเพื่อนำการบุกทะลวงฟัน เขาทำลายพยุหะของศัตรูและอ้าปากกว้างเพื่อเป่ามารเทวะตนหนึ่งที่พุ่งเข้ามา ด้วยลำแสงสีขาวเข้มข้น มันพุ่งยาวไปไกลกว่าร้อยลี้ ก่อนที่จะจางหายไป

ฉินมู่อ้าปากค้าง เขาหันไปมองมังกรกิเลนที่ทั้งอ้วนและกลมดิกอันถูกเป่ากระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาพลันรวดร้าวใจอีกคำรบหนึ่ง สัตว์ขี่ของครูบาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังดีกว่า แม้ว่าเขาจะค่อนข้างตะกละ แต่เขาก็ยังรู้จักฝึกฝนและรักษารูปร่างของตนเอง เข้าไม่ทำให้การฝึกปรือของตนล่าช้า…

กิเลนมังกรเองก็มองตาค้าง เมื่อเขาเหลือบไปเห็นสีหน้ารวดร้าวใจของฉินมู่ เขาก็จมในความคิดทันที

เรือเหาะลำหนึ่งลอยลงมาจากท้องฟ้าและเฉียดผ่านร่างของพวกเขา แม่ทัพผู้หนึ่งยืนอยู่บนกราบเรือ ด้วยการโบกมือของเขาหนึ่งที ดอกบัวทองคำมากมายก็ปรากฏขึ้น พวกมันยกทุกๆ คนขึ้นมายังเรือเหาะ

“ฉินเฟยเยว่ แม่ทัพน้อยฉิน!” ฉินมู่รีบคารวะทักทาย เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

ฉินเฟยเยว่ใส่เกราะรบชุดหนึ่ง แต่เขาก็ยังคงค้อมหัวเล็กน้อยเพื่อทักทายกลับไป “จ้าวลัทธิฉิน องค์หญิงจิว แม่ทัพผู้นี้สวมใส่ชุดเกราะอยู่ ดังนั้นคงยากที่จะคารวะตอบ”

ข้างหลังเขา บุคคลผู้หนึ่งถลันออกมา นั่นคือฉินอวี้ และก็ยังมีมังกรอายุเยาว์ตัวหนึ่งที่กระหวัดพันรอบตัวเขา “ฉินอวี้น้อมคารวะจ้าวลัทธิฉิน องค์หญิงจิว และธิดาเทพเซี่ยง” เขาทักทายอย่างทันท่วงที

พี่น้องสองคนนี้ถือกำเนิดในตระกูลฉินแห่งแม่ทัพแผนสวรรค์ และพวกเขาเป็นหนึ่งในลูกศิษย์มากมายของราชครู พวกเขาติดตามราชครูเพื่อฝึกปรือวิชาเป็นระยะเวลาหนึ่ง มีความสำเร็จเป็นของตนเอง และครอบครองตำแหน่งในกองทัพ

ราชครูสันตินิรันดร์มีลูกศิษย์ลูกหาหลายคน และส่วนใหญ่แล้วก็จะเข้าในกองทัพเพื่อรับตำแหน่งสำคัญ หลิงอวี้จิวมีธรรมชาติอันโอ่อ่าเปิดเผย คบหามิตรสหายกับวีรบุรุษโดยกว้างขวาง อันก็คือศิษย์ทั้งหลายของราชครู

ครั้งแรกที่ฉินมู่ได้พบกับหลิงอวี้จิว นางได้เข้ามาในแดนโบราณวินาศกับฉินเฟยเยว่ วางแผนที่จะวาดภาพแผนที่ภูมิประเทศเพื่อเตรียมการยึดครองแดนโบราณวินาศในภายหลัง

มังกรเยาว์บนร่างของฉินอวี้โงหัวของมันขึ้นมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ และเพ่งพิศมองดูฉินมู่ มันพลันเลื้อยลงไป และไต่ขึ้นมาบนตัวเขา มันถูไถเขาของมันบนใบหน้าของฉินมู่ และร้องออกมาเบาๆ “มาฮา…”

ฉินอวี้ตกตะลึง เขารีบนำลูกแก้วมังกรของเขาออกมา และพยายามเรียกมังกรน้อยกลับบไป แต่มันอิดเอื้อนไม่ยอมออกมาจากฉินมู่

หัวใจฉินอวี้เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย “ข้าก็สู้เขาไม่ได้อยู่แล้วในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ถูกเขาอัดจนน่วมมาตั้งหลายครั้งหลายหน และหลังจากที่เขากลายเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า ข้าก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา หรือว่ามังกรของข้าก็จะถูกเขาชิงไปอีก”

ฉินมู่ดึงมังกรน้อยออกมาและเพ่งพิศดูซ้ำแล้วซ้ำอีก จากนั้นเขาก็ถามด้วยความตื่นใจ “หรือว่านี่จะเป็นมังกรแท้จากวังมังกรแม่น้ำหย่ง”

ฉินเฟยเยว่ผงกหัว “ราชครูใช้ให้ราชาพิษน้อยมาช่วยชีวิตของมัน จากนั้นก็ยกมันให้กับน้องชายของข้า”

ฉินมู่จิตใจสะท้านเล็กน้อย และเขาถามด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องฉินอวี้ เจ้าให้ข้ายืมมังกรน้อยของเจ้าสักไม่กี่วันได้หรือไม่”

ฉินอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และฉินเฟยเยว่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิมีศักดิ์ฐานะอันเหนือธรรมดา ทั้งยังเป็นอธิการบดีแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์อีก เขาจะโกหกเจ้าได้อย่างไร”

ฉินอวี้จึงได้แต่ผงกหัว และฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องฉินอวี้ ข้าไม่ได้ยืมมันไปเปล่าๆ หรอกนะ ข้าจะให้ของดีๆ กับเจ้า หลังจากที่ข้าคืนมังกรน้อยนี้ให้กับเจ้าแล้ว เจ้าก็จะเข้าใจเอง”

มังกรน้อยย่อหดร่างของมันและปีนไต่ไปยังใบหูของเขา จากนั้นมันก็ห้อยตัวอยู่ที่นั่นเหมือนกับต่างหู

ฉินมู่มองออกไปที่ไกลๆ และเห็นกองทัพแห่งสวรรค์ไท่หวงฉวยโอกาสตอนที่กองทัพสันตินิรันดร์ตีทำลายกระบวนทัพของศัตรู เพื่อเร่งรุดมาขัดขวางกองหนุนของทัพมาร พวกเขาเหมือนกับกำปั้นสองกำปั้นที่ซัดเข้าไปอย่างโหดเหี้ยมยังจุดตายของศัตรู

รอบๆ คณะ เรือเหาะมากมายถูกนำโดยนายกองหนุ่มเข้าไปยังการศึก แสงปืนใหญ่ยิงภาคพื้นจนกระจุย และผู้ฝึกวิชาเทวะบนเรือเหาะก็ช่วงใช้ไจกระบี่ของตน ทักษะเทวะของพวกเขาถล่มพื้นดินระดมเข้าไป

เมื่อภาคพื้นดินถูกกวาดล้าง คนงานกำยำก็เข้ามากวาดเส้นทาง ขณะที่กองทัพสัตว์พิสดารและอัศวินของพวกมันก็สังหารมารตนใดก็ตามที่ยังรอดชีวิตจากการระดมยิงรอบใหญ่

“นายกองบนเรือพวกนั้นก็เป็นศิษย์ของราชครูด้วยเช่นกัน!” หลิงอวี้จิวกล่าวหลังจากที่กวาดตามองรอบๆ “ศิษย์ของราชครูส่วนใหญ่จะเป็นครูผู้สอนกิตติมศักดิ์แห่งสถาบันสุสานแม่น้ำ พวกเขามักจะไปสอนบรรยายที่นั่น และส่วนใหญ่ก็จะเป็นยอดฝีมือจากกองทัพ ดูสิ ยังมีพวกที่พวกเราคุ้นเคยมากกว่านี้อยู่ตรงนั้นด้วย นั่นคือศิษย์พี่และศิษย์น้องของพวกเราจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ!”

ฉินมู่มองไปตามที่นางชี้ และเห็นเว่ยหยง เฉินหว่านอวิ๋น และคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงรีบโบกมือให้กับพวกนั้น แต่ทว่า พวกเขากำลังเพ่งสมาธิกับการขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณของตนเพื่อระดมถล่มศัตรูจึงไม่ทันมองเห็น

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ กองเรือเหาะก็ขับไล่กระบวนรบของศัตรูจนกระเจิดกระเจิง กองทัพมารถูกเป่าให้กระจายออกเป็นเสี่ยงๆ และด้วยมีสัตว์พิสดารที่วิ่งตะลุยเข้ามาเหยียบพวกเขาจากแนวรบด้านหน้า มันก็กลายเป็นการต่อสู้อันขมขื่นสำหรับฝ่ายมาร

ฉินเฟยเยว่สั่งให้เรือเหาะหยุดลง และหยุดการทำงานของปืนใหญ่ด้วย เขาต้องการให้ใช้อาวุธวิญญาณทั้งหลายเพื่อโจมตีศัตรูอันหนีพล่านไปทั่วสารทิศพลางยึดครองพื้นที่นี้เอาไว้

เขาอธิบายแก่ฉินมู่ “สาเหตุที่กองทัพสันตินิรันดร์เป็นแนวหน้าทะลวงฟัน ก็เพราะว่าทักษะพีชคณิตของสวรรค์ไท่หวงนั้นอ่อนแอจนเกินไป พยุหะกระบวนรบของพวกเขาทั้งหละหลวมและสามัญ ราชครูรู้สึกว่าแรงปะทะของพวกเขาไม่เพียงพอ ดังนั้นกองทัพสันตินิรันดร์ของพวกเราจึงถูกส่งออกมาก่อนเพื่อทำลายพยุหะศึกของเผ่ามาร

“ราชครูเป็นผู้มีความสามารถอันล้ำเลิศ พีชคณิตของสวรรค์ไท่หวงก็ค่อนข้างอ่อนแอจริงๆ นั่นแหละ”

ซังฮั่วหน้าแดง และก้มหน้าของนางลงอย่างเงียบเชียบ

“แม้ว่าพีชคณิตของสวรรค์ไท่หวงจะอ่อนแอยิ่ง แต่ทักษะเทวะของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างสุดๆ พวกเขามีในสิ่งที่สันตินิรันดร์ของพวกเราขาดพร่องไปในมรรคาแห่งการฝึกปรือวรยุทธ ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่อาศัยพยุหะกระบวนศึกเพื่อบุกตะลุยไปข้างหน้า ขณะที่การต่อสู้ประชิดตัวก็ยังต้องอาศัยผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงอยู่ดี”

ฉินเฟยเยว่ขับเคลื่อนไจกระบี่ของเขาและก้มลงมองมารพวกนั้นจากที่สูง เขาถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ข้าคิดว่าตัวข้านั้นเหนือธรรมดาในวรยุทธขั้นชาวสวรรค์ แต่หลังจากที่ได้พบพานผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง ข้าก็ได้เปิดหูเปิดตา ด้วยวรยุทธของข้าเท่านี้ แม้แต่จัดอันดับข้าก็คงไม่อาจติดชื่อบนนั้น! ราชครูสันตินิรันดร์ได้ออกคำสั่งว่า ในการศึกนี้ จะต้องไม่มีใครออกไปจากเรือเหาะเพื่อต่อสู้ด้วยตนเอง นั่นก็เพราะว่าในวรยุทธขั้นเดียวกันแล้ว ทหารของพวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมาร”

การศึกดำเนินไปเป็นเวลานาน จนกระทั่งดวงตะวันบนท้องฟ้าดับมืดไป นั่นแหละทั้งสองฝ่ายถึงค่อยตีฆ้องเป่าแตรเพื่อเรียกทัพกลับ

“พวกเราเอาชนะศึกนี้ชัดๆ ทำไมพวกเราจะต้องถอยด้วยล่ะ ทำไมพวกเราไม่ฉวยโอกาสนี้ตอนที่ศัตรูแตกพ่ายเพื่อเข้าไปในเมือง” ซังฮั่วถามด้วยความฉงน

“กำลังทหารของพวกเราไม่เพียงพอ หากว่าพวกเราบุกตะลุยเข้าไปในเมือง ก็มีแต่จะทำให้ไพร่พลกระจัดกระจายออกไปเท่านั้น เปิดโอกาสให้พวกมารทำลายพวกเราได้ ราชครูเลือกที่จะล่าถอยทันทีที่มีชัยเพราะว่าเขาใช้วิธีการค่อยๆ กัดเซาะศัตรูไปทีละนิด ด้วยการทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ทัพมารก็จะอ่อนแอลงจนกระทั่งพวกเขาล้วนแต่เหนื่อยล้าหมดแรง ในกรณีนั้น พวกเขาก็จะไม่เป็นอันตรายต่อพวกเราอีกต่อไป!”

ฉินมู่ย้อนนึกถึงคำพูดของนักบุญคนตัดไม้ว่า สวรรค์ไท่หวงไม่อาจต้านยันเอาไว้ได้ มันหมายถึงว่าไม่มีทางป้องกันรักษาเอาไว้ได้ เผ่ามารจะต้องไม่ดำเนินไปตามแผนการศึกที่ราชครูสันตินิรันดร์หวังว่าพวกเขาจะใช้เป็นแน่ ฟู่ยื่อลัวจะต้องมีความคิดอื่นๆ

ในความมืดของสนามรบ ดวงไฟผีโขมดจำนวนมากพลันปรากฏจากโลกอื่น พวกมันคือตะเกียงบนเรือน้อยที่ล่องลอยออกมาจากแดนใต้พิภพพร้อมกับผู้เฒ่ามากมายที่ใบหน้าเลือนลาง พวกเขามาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยววีรชนอันสิ้นชีพ

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมาร เมื่อพวกเขากลายเป็นภูตผี ก็จะถูกแดนใต้พิภพเก็บเกี่ยวเอาไป

ในเวลาเดียวกันนั้น กองทัพที่กำลังล่าถอยไปเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ไม่สนใจผู้นำทางความตาย ดูท่าว่าพวกเขาคงจะคุ้นเคยกับภาพนี้แล้ว

ฉินมู่ยืนอยู่บนกราบเรือเหาะ มองลงไปยังสมรภูมิรบ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน เขาไม่พูดอะไรสักคำ

ในตอนนั้นเอง เรือน้อยลำหนึ่งก็แล่นลอยมาตรงหน้าเรือเหาะ ผู้เฒ่าบนนั้นลุกขึ้นยืนและยกตะเกียงขึ้นมาส่องไปยังฉินมู่

“ฉินเฟิงชิง เจ้าได้รบกวนความสงบของแดนใต้พิภพ ภูติบดีเชิญเจ้าไปเข้าพบเพื่อสนทนาถึงสาเหตุและผลลัพธ์ของพฤติการณ์เจ้า”

ด้วยความแตกตื่นข้างในใจ ฉินมู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ใครคือฉินเฟิงชิง ผู้เฒ่า ท่านเข้าใจผิดแล้ว”

ตะเกียงส่องไปบนหน้าของเขา แต่ผู้เฒ่าไม่กล่าวอะไรอื่น

ทันใด้นั้น แสงสีดำก็พุ่งวาบมา และเทพเสือขนดำก็ปรากฏที่กราบเรือ ขัดขวางฉินมู่เอาไว้ข้างหลัง “ผู้นำทางความตายใส่ใจแต่เรื่องคนตาย เมื่อไหร่กันที่เจ้าหันมายุ่มย่ามกับเรื่องของคนเป็นด้วย”

ใบหน้าของหลังตะเกียงดูเลอะเลือนมองไม่ออก “แดนใต้พิภพมีกฎของมัน แดนใต้พิภพไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องราวในโลกของคนเป็น เว้นแต่ว่าบุคคลจากที่นั่นขัดจังหวะทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ แดนใต้พิภพจึงต้องออกมาควบคุมสถานการณ์”

“ฉินเฟิงชิงได้ปลดปล่อยดวงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงออกมาจากแดนใต้พิภพและฝ่าฝืนกฎของมัน เมื่อสิบห้าวันก่อน พวกเรามาเพื่อบอกกล่าวและเชิญเขาลงไปยังแดนใต้พิภพเพื่อสนทนา แต่เขามีสมบัติวิเศษที่สามารถขัดขวางผู้นำทางความตายได้”

ราชครูสันตินิรันดร์เดินเข้ามา และถามด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม “แล้วหากว่าข้าไม่ให้เจ้าพาเขาไปล่ะ?”

“โลกมากมายถูกเคยทำลายเพราะการทำเช่นนั้น” ผู้เฒ่ากล่าวออกมาจากข้างหลังตะเกียง

ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงสิ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน–ราชามารตู้เถียนคร่ำครวญอยู่ในความมืด และปาดป้ายน้ำตาแห่งความอาดูร “ราชครู ศิษย์พี่เสือ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าจะไปกับเขา”

……………….