บทที่ 115 องครักษ์ที่ตายไป

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

สุดท้ายการไต่สวนเสร็จสิ้น บรรยากาศภายในตำหนักเจิ้งเสวียนล้วนหนักอึ้ง กู้หมิงเฟิ่งถูกควบคุมตัวออกไป รอฟังการตัดสิน

เซียวจิ่นและเซียวเยี่ยนที่อยู่ในตำหนัก ไม่มีใครเอ่ยวาจา

เมื่อหลินชิงเวยเข็นเก้าอี้รถเข็นของเซียวจิ่นออกประตูของตำหนักเจิ้งเสวียน เขาพูดออกมาประโยคหนึ่ง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเซี่ยนอ๋องหรือ เจิ้นไม่เชื่อ”

ดูแล้วเด็กน้อยคนนี้ป้องกันเซียวอี้อย่างรุนแรง เคียดแค้นที่ไม่อาจกำจัดเขาได้

หรือหลินชิงเวยควรจะเปลี่ยนสายตามองเซียวจิ่นใหม่อีกครั้ง เขาไม่ใช่เด็กน้อยคนหนึ่ง

กลับมาถึงตำหนักซวี่หยางเป็นเวลาใกล้อาหารเที่ยงแล้ว นางกำนัลยกอาหารขึ้นโต๊ะสำหรับสามคน

ดูเหมือนหลายวันมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเกินไป หลินชิงเวยรู้สึกว่านานมากแล้วที่ไม่ได้นั่งกินข้าวด้วยกันสามคน

เรื่องของกู้หมิงเฟิ่งโยนไปให้ข้างหลังก่อนชั่วคราว

ทันทีที่อาหารอันโอชะขึ้นโต๊ะมา กลิ่นหอมอบอวลแตะจมูก กระเพาะอันละโมบของหลินชงเวยก็ร้องโครกครากทันที ส่งผลให้แววตาของเซียวจิ่นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หลินชิงเวยกล่าว “เมื่อเช้ารีบมาจึงดื่มข้าวต้มไปเพียงถ้วยเดียวเพคะ เวลานี้ท้องร้องดังสองครั้งคงไม่เกินไปกระมัง”

เซียวจิ่น “ชิงเวย หิวแล้วเจ้าก็กินมากหน่อย”

เช่นนั้น ปัญหามาแล้ว

หลินชิงเวยได้รับบาดเจ็บที่แขนข้างขวา การใช้มือคีบตะเกียบเพื่อหยิบกับข้าวยังเป็นเรื่องที่กินแรงอยู่บ้าง ส่วนเซียวเยี่ยนก็ได้รับบาดเจ็บแขนขวาเช่นกัน เมื่อคืนบาดแผลปริแยกแล้ว วันนี้ไม่อาจใช้มือคีบตะเกียบได้

เซียวจิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นจนใจที่ไม่อาจคีบกับข้าวให้ทั้งสองคนได้ “อย่างนี้ เจิ้นให้นางกำนัลเข้ามาคีบกับข้าวให้พวกท่าน”

หลินชิงเวยส่ายหน้า “ไม่ๆๆ เพคะ มีคนมองอยู่ข้างๆ หม่อมฉันกินไม่สบาย”

เซียวจิ่นหันไปมองเซียวเยี่ยน “เสด็จอา อย่างนี้ให้ชิงเวยนั่งข้างท่านเถิด เมื่อคืนท่านมิใช่ใช้มือซ้ายกินหรือ”

งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ เพื่อไม่ให้ทุกคนเห็นว่ามือเขาได้รับบาดเจ็บ เขาใช้มือซ้ายกินข้าวจริงๆ อีกทั้งยังคงสง่างามดังเดิมไร้ซึ่งแรงกดดัน หันมาดูหลินชิงเวยท่าทางที่นางใช้มือซ้ายถือตะเกียบราวกับคนมือพิการ…ยังคงอย่าไปเปรียบเทียบกับคนที่พัฒนาสมองด้านขวาจะดีกว่า คนเปรียบเทียบกับคน คนโมโหแทบตาย

เซียวเยี่ยนพยักหน้า หลินชิงเวยจึงนั่งลงข้างเซียวเยี่ยน นางนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของเขา เซียวเยี่ยนพูดกับนางเรียบๆ “เจ้าอยากกินอะไรก็บอกเปิ่นหวาง”

หลินชิงเวย “ท่านกินอะไรข้าก็กินสิ่งนั้น”

ตะเกียบของเซียวเยี่ยนชะงักกึก จากนั้นยื่นออกไปคีบกับข้าว เพิ่งจะยื่นไปถึงขอบจานของอาหารทะเล หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “ท่านกินอาหารทะเลไม่ได้”

เซียวเยี่ยนจึงเลื่อนตะเกียบไปกับข้าวจานข้างๆ เป็นหูหมูสีแดงที่ผัดด้วยน้ำมันพริกดูแล้วรสชาติน่าอร่อย หลินชิงเวยมองเขาแวบหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยขึ้นอีกว่า “ไม่ใช่บอกท่านแล้วหรือ กินเผ็ดไม่ได้” นางพยักพเยิดคางของตนไปยังอาหารรสจืดหลายจานนั้น “กินพวกนี้”

เซียวจิ่นแอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง “ปกติเสด็จอากินอาหารรสชาติจืดอยู่แล้ว ดูเหมือนอาหารเหล่านี้ชิงเวยก็ชอบกิน เสด็จอาท่านอย่าตามใจนาง นางมีบาดแผลเช่นกัน ท่านกินอะไรนางก็กินสิ่งนั้นก็แล้วกัน”

ดังนั้นทุกครั้งที่เซียวเยี่ยนจะกินกับข้าวอะไร ล้วนต้องคีบให้หลินชิงเวยครั้งหนึ่ง ก่อนหน้าที่หลินชิงเวยจะมาที่นี่อาหลานคู่นี้ล้วนมีตะเกียบกลางสำหรับคีบกับข้าวคู่หนึ่งวางไว้บนโต๊ะ เวลานี้หลินชิงเวยไม่พิถีพิถันในเรื่องเหล่านี้ และไม่มีตะเกียบกลางให้ใช้ เซียวเยี่ยนจึงได้แต่ใช้ตะเกียบของตนคีบกับข้าวให้นาง

หลินชิงเวยมื้อซ้ายถือช้อน ได้แต่ใช้ช้อนตักข้าวในถ้วยมากิน แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้นางก็กินข้าวอย่างกินแรงพอควร น้ำมันเยิ้มรอบปาก เมื่อต้องกินกับข้าวที่ช้อนตักไม่ได้นางก็ยื่นมือไปหยิบแล้วส่งเข้าปาก ยังไม่ลืมจะดูดซีอิ๊วที่ติดอยู่ที่ปลายนิ้วดังจ๊วบๆ

แม้จะหยาบคายสักหน่อย ทว่ากับไม่ถึงกับเกินไปนัก

หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นพบว่าเซียวจิ่นมองนางอยู่ก่อนแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย หม่อมฉันมือพิการจริงๆ เพคะ”

เซียวจิ่นยิ้มอบอุ่น “ไม่มีอันใด มองชิงเวยกินข้าวรู้สึกว่าอาหารอร่อยเป็นพิเศษ เจิ้นลำพังแค่มองเจ้ากินข้าวก็รู้สึกอยากอาหารแล้ว”

เวลานี้เขาดูเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กน้อยปากหวาน

ยามบ่ายเซียวเยี่ยนไม่อยู่ในตำหนักซวี่หยาง ดังนั้นหน้าที่ดูแลเซียวจิ่นจึงตกเป็นของหลินชิงเวยโดยปริยาย

หลังพลบค่ำหลินชิงเวยเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้วจึงอำลาออกจากตำหนักซวี่หยาง เพิ่งจะเดินออกมาได้ไม่ไกลนางพบองครักษ์ลาดตระเวนกำลังผลัดเปลี่ยนเวรยาม

คิดดูแล้วคงเป็นเพราะเซียวเยี่ยนได้ปรับเปลี่ยนองครักษ์ภายในวังใหม่อีกครั้ง เพื่อเป็นการรับรองความปลอดภัยภายในตำหนักซวี่หยาง กู้หมิงเฟิ่งเร้นกายลอบเข้าวังเพื่อลอบสังหารได้ เซียวจิ่นและเซียวเยี่ยนต่างรู้ดีว่าเซียวอี้คอยให้ความช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง แต่รู้แล้วอย่างไรเล่า ตีให้ตายกู้หมิงเฟิ่งก็ไม่มีวันยอมรับ พวกเขาก็ไม่มีหลักฐานอื่นในมือ

ด้วยเหตุนี้เพื่อเป็นการป้องกันเรื่องราวเช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก เซียวเยี่ยนไม่อาจไม่ปรับเปลี่ยนการป้องกันและรักษาการภายในวังหลวง

องรักษ์ที่ทำการลาดตระเวนอยู่ด้านนอกตำหนักซวี่หยางเพิ่มกำลังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ยามนี้องครักษ์สองหมู่กำลังเดินสวนสนามกันเบื้องหน้าหลินชิงเวย นางยืนอยู่ที่นั่นมองดูพวกเขาเดินสวนกันไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่ามกลางแสงสว่างจากโคมไฟของตำหนักโล่สีเทาบนร่างสะท้อนแสงออกมาเย็นเยียบ

เมื่อองครักษ์หมู่หนึ่งเดินผ่านร่างของนางไป ร่างของหลินชิงเวยพลันสั่นสะท้าน สีหน้าขาวเผือด

นางตวัดสายตามองไป ท่ามกลางองครักษ์ในหมู่นั้น มีองครักษ์คนหนึ่งสวมเสื้อเกราะสีเทาเหมือนองครักษ์คนอื่นๆ สวมหมวกเหล็ก สีหน้าค่อนข้างเขียวคล้ำ ดวงตาทั้งคู่เลื่อนลอย เดินผ่านร่างของนางไปอย่างไร้ชีวิตชีวา

สายลมยามราตีพัดผ่าน นางราวกับได้กลิ่นของความตายอย่างชัดเจน

หลินชิงเวยเบิกตาโต องครักษ์คนนั้น…ไม่ใช่คนที่นางได้ฆ่าให้ตายในป่าคนนั้นหรือ…เหตุใดเขายังมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้…

ไม่ ไม่ ต้องดูผิดแล้วแน่ๆ

หลินชิงเวยหันขวับกลับไปทันที นางพูดเสียงเย็น “หยุดอยู่ตรงนั้น!”

องครักษ์หมู่นั้นหยุดเดิน หลินชิงเวยเดินย้อนกลับไปดูทีละคน องครักษ์ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่ถามนางว่า “เหนียงเหนียงมีเรื่องใดจะสั่งพะยะค่ะ?”

หลินชิงเวยเม้มปากไม่พูดจา นางเดินวนไปวนมาสองรอบ ดูหน้าตาท่าทางขององครักษ์ทุกคนอย่างชัดเจน แม้ใบหน้าของพวกเขาจะไม่บ่งบอกอารมณ์และความรู้สึก เคร่งครัดเข้มงวด แต่ล้วนมิใช่ท่าทางของคนผู้นั้นที่นางมองเห็นเมื่อสักครู่

ในนี้ไม่มีองครักษ์คนนั้น

หลินชิงเวยวางใจลงอย่างห้ามไม่อยู่ หรือเมื่อสักครู่นางตาฝาดหรือไร?

หลินชิงเวยหันไปบอกกับหัวหน้าองครักษ์ “ไม่มีอะไร พวกเจ้าไปเถิด”

ถูกต้อง องครักษ์คนนั้นถูกนางสังหารจนตายแล้ว จะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ต้องเป็นนางที่ดูผิด

แต่ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ต่อมาตลอดทางที่หลินชิงเวยเดินกลับไปนางไม่อาจสงบใจได้อย่างแท้จริง

และรู้สึกว่านั่นมิใช่ความคิดเพ้อเจ้อ

หรือองครักษ์ที่ตายไปแล้วกลับมาเป็นผีเพื่อแก้แค้นตน?

เมื่อคิดได้เช่นนี้หลินชิงเวยยังรู้สึกว่าตนเองช่างน่าขัน นางส่ายหน้าอย่างห้ามไม่อยู่เดินไปพร้อมกับหัวเราะขันตัวเอฃ

นางเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ ไฉนจะไปเชื่อเรื่องผีสางพวกนี้ได้

แต่…องครักษ์คนนั้นตายอย่างไร้ข่าวคราว วันรุ่งขึ้นปี้หลิงออกไปสอบถามไม่ได้ยินว่ามีองครักษ์คนใดตาย แล้วนี่จะอธิบายอย่างไร…หรือเขาฟื้นคืนชีพ?

ไม่ ไม่ถูกต้อง หลินชิงเวยไม่มีทางทำพลาด ในเมื่อนางต้องการสังหารเขา ย่อมต้องแน่ใจว่าเขาตายสนิทจึงจากมา

นางคิดไปเดินไปจึงเดินมาถึงริมสระไท่เยี่ยโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลินชิงเวยเดินไปตามทางเล็กๆ ริมสระมุ่งไปข้างหน้า ความคิดไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่กำลังก้าวเดิน

ทันใดนั้นมีลมสายหนึ่งพัดผ่านแผ่นหลัง สายลมวูบนั้นให้ความรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูกสันหลัง ขนอ่อนทั่วกายลุกเกรียว