บทที่ 99 อู๋โยวอ๋อง (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ชิ้ง

กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนพลันสั่นไหว กรอบวิชาลมปราณแดงฉานพร่ามัวอย่างรวดเร็ว

ครั้งนี้กรอบจางลงเกือบสองวินาที ค่อยเริ่มชัดขึ้น

ลู่เซิ่งมองกรอบวิชาลมปราณแดงฉานเขม็ง ไม่ทันไรตัวหนังสือพร่าเลือนก็ชัดขึ้นอีกรอบ

[วิชาลมปราณยังไม่ตั้งชื่อ: ระดับแปด ผลพิเศษ: ตาข่ายโลหิต สั่นสะเทือนรุนแรง จุดไฟ]

ลู่เซิ่งไม่รู้สึกว่าพลังยุทธ์ของตนจะล้ำลึกหรือมากกว่าเดิม สัมผัสได้ว่าปราณภายในด้านในร่างกายคล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจทราบได้

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ร่างกายเขาร้อนเล็กน้อย ผิวหนังและหนังศีรษะคันอยู่บ้าง คล้ายเริ่มมีวี่แววว่าเส้นผมและขนจะงอก

‘ตามคำกล่าวของศิษย์พี่ ถ้าถึงระดับเอกะฟ้า ร่างกายจะเข้าสู่ช่วงพัฒนาใหม่ ไม่แน่ว่าตอนนั้นเส้นผมของเราอาจจะงอกกลับมา’ ลู่เซิ่งโล่งอก เขาไม่อยากหัวล้านตลอดชีวิต

‘แต่คล้ายกับว่าวิชากำลังภายในหลังจากเลื่อนระดับจะมีเส้นทางวิชาโลหิตพิฆาตเพิ่มมาส่วนหนึ่ง…ยังมีความรู้สึกถึงวิชาปรับลงปราณให้แข็งแกร่งเช่นวิชาโซ่เก้าสินธุส่วนหนึ่ง’

เขาทำความเข้าใจสิ่งที่แตกต่างกับก่อนหน้าอย่างละเอียด

‘ไม่รู้ว่าเราเลื่อนจากระดับเดิมหรือไม่ วิชาใหม่ในเมื่อหลอมรวมลักษณะพิเศษของวิชาโลหิตพิฆาตกับวิชาโซ่เก้าสินธุ เช่นนั้นก็เรียกวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานก็แล้วกัน’

เขากำหนดชื่อในใจ เห็นชื่อวิชาใหม่ค่อยๆ โผล่ขึ้นในกรอบสี่เหลี่ยมบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน

[วิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน: ระดับแปด ผลพิเศษ: ตาข่ายโลหิต สั่นสะเทือนรุนแรง จุดไฟ]

‘ไปทดลองดูก่อน ใช้เวลามากมายขนาดนี้ ทั้งยังรอมาตั้งนาน คงไม่ใช่ใช่เพิ่มขึ้นนิดหน่อยกระมัง’

ลู่เซิ่งปรับลมหายใจ ค่อยๆ ลุกขึ้น

‘วิธีที่ดีที่สุดซึ่งไม่ถูกคนค้นพบ ทั้งทดลองขีดจำกัดความสามารถในตอนนี้ของเราได้สมบูรณ์ คือหาคู่ต่อสู้’

ลู่เซิ่งพยายามทบทวนว่าจะหาสถานที่และคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขาทดลองพลังของตัวเองได้จากไหน

ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเหนือคือหงหมิงจือผู้เป็นศิษย์พี่ คนอื่นๆ เพียงจัดอยู่อันดับสอง นอกจากนั้นก็เป็นภูตผีกับความประหลาดลี้ลับที่กล้าแข็งกว่า แต่พวกมันถูกจัตุรัสแดงกับตระกูลเจินค้นพบได้โดยง่าย

‘อาจไปหาหลี่ซุ่นซีได้ เขามีความรู้กว้างขวาง สมควรเจอตัวเลือกที่เหมาะสม’ ยังมีจัวเหวินอวี่ นางไม่ใช่คน สมควรรู้จักภูตผีหรือมารปีศาจด้านนี้ส่วนหนึ่ง ลู่เซิ่งขบคิด ยังตัดสินใจไปหาหลี่ซุ่นซี จัวเหวินอวี่สุดท้ายก็เป็นตัวประหลาด ไม่ได้หลอกง่ายเหมือนหลี่ซุ่นซี เกิดนางมองออกว่าตนคิดทดสอบพลังก็ยุ่งยากแล้ว

การเผยเบื้องลึกเบื้องหลังให้คนภายนอกรู้ นี่เป็นการกระทำที่อันตรายที่สุด

รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครา การเปิดเผยเบื้องหลังของตัวเอง นี่เป็นการรู้เขาที่ทำให้คนไม่ต้องเปลืองแรงเป่าฝุ่น คนแบบนี้ตายเร็วที่สุดในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

คิดแล้วทำทันที ลู่เซิ่งเก็บกวาดของ มองฟ้าด้านนอก ตกเย็นแล้ว

เขาให้สมุนจูงม้าออกมา ก่อนออกไปยังเมืองเลียบคีรี

หลังเข้าเมืองจากประตูใหญ่ เขาก็ไปหาที่อยู่ซึ่งหลี่ซุ่นซีทิ้งไว้ ถึงสถานที่อย่างรวดเร็ว เจอหลี่ซุ่นซีที่กำลังเมาปลิ้นในโรงสุราแห่งหนึ่ง

คนผู้นี้นั่งอยู่ตรงมุมคนเดียว หน้าซีดขาว ข้างๆ มีกองอาเจียน เหม็นจนแขกรอบๆ ไม่กล้านั่งใกล้ๆ เสื้อผ้าก็ไม่ได้ซักมาหลายวัน ลู่เซิ่งเข้าใกล้ ก็ได้กลิ่นเหม็นบูดทันที

“ดื่ม…ดื่มสุรา…ไม่ใช่ใช้เงินหรือ…ภายหลังจะต้อง… ให้เจ้า!” หลี่ซุ่นซีนั่งเอียงบนเก้าอี้อย่างเมามาย ถือกาสุราใบเล็ก กรอกเข้าปากตลอดเวลา เพียงแต่ดื่มครึ่งหนึ่งทิ้งครึ่งหนึ่ง ไหลใส่เสื้อผ้าและคอไม่น้อย

ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมองเขา สาวเท้าก้าวเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้าม

“นายท่าน ท่านดูสิ รับสหายของท่านไปได้หรือไม่…เขาเป็นแบบนี้พวกเราจะทำการค้าดีๆ ได้อย่างไร…” ผู้ดูแลเห็นลู่เซิ่งนั่งลง ดั่งปลดภาระหนักอึ้ง รีบวิ่งมาปรึกษาด้วยใบหน้าขื่นขม

ผีสุราตนนี้อยู่นี่มาสามวันแล้ว เงินกลับให้ไม่น้อย แต่ว่าดื่มสุรามากไป เกรงว่าจะเมาอาละวาด ข้างโต๊ะมีแต่ของสกปรกกับกองอาเจียน เสี่ยวเอ้อร์เก็บกวาดให้เขาหลายครั้ง เริ่มส่งผลต่อคนอื่นแล้ว

เห็นคุณชายบัณฑิตผู้นี้ดื่มสุราไม่เป็น กลับดื่มจนอาเจียน ทั้งยังกรอกเข้าปากไม่หยุด

“เอาให้ข้า” ลู่เซิ่งพยักหน้า

เขายื่นมือหนึ่งดึงกาสุราในมือหลี่ซุ่นซีไปวางไว้บนโต๊ะ

“พี่หลี่ ท่านเมาแล้ว”

“ข้าไม่เมา!” หลี่ซุ่นซีหัวเราะเหอะๆ “เอ นี่ไม่ใช่…ไม่ใช่พี่ลู่หรือ…เหตุใด…เหตุใดท่านถึงมาแล้ว” เขาพูดจากระท่อนกระแท่น กลับยังบอกว่าตัวเองไม่เมา

“ที่นี้ไม่ใช่ที่พูดคุย พวกเราหาพื้นที่เงียบสงบคุยกันดีกว่า” ลู่เซิ่งขบคิด “หอสุราซงหลานใกล้ๆ นี่ก็แล้วกัน ไม่เจอพี่หลี่มานาน รู้สึกคิดถึงจึงมาหา”

เขาใช้มื่อหนึ่งคว้าหลี่ซุ่นซีไว้ ก่อนหิ้วเขาขึ้นเหมือนลูกไก่

“ไปเถอะ พี่หลี่ ไปอาบน้ำก่อน ข้ายังมีเรื่องราวบางส่วนอยากขอคำชี้แนะ”

“สุรา! ข้ายังอยากดื่ม!”

ลู่เซิ่งไม่สนใจเขา หิ้วคนออกจากโรงสุรา แล้วเข้าเหลาสุราอย่างรวดเร็วภายใต้สายตาแตกตื่นประหลาดใจของผู้คน

เหลาสุรานี้ความจริงเป็นกิจการใต้ชื่อเขา เดิมเป็นของอู๋ซาน แต่ปัจจุบันอู๋ซานตายแล้ว จึงกลายเป็นของเขา ทรัพย์สินแบบนี้เป็นทรัพย์สินสาธารณะของพรรค แบ่งปันกำไร ดูแล หรือหาประโยชน์อย่างไรก็ได้ แต่ไม่อาจโยกย้ายถ่ายโอน

ทั้งสองคนเปิดห้องส่วนตัว มีคนจากโถงอินทรีเหิน พรรควาฬแดงมาเฝ้าประตู ไม่ให้คนเข้าทันที

ลู่เซิ่งกดหลี่ซุ่นซีไว้บนที่นั่งด้วยมือหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม

“พี่หลี่ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดท่านจึงหมดสภาพขนาดนี้!?” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย

มองดูหลี่ซุ่นซีในตอนนี้เหมือนกับขอทาน เทียบกับคุณชายหล่อเหลามีสง่าราศี ใบหน้าดุจหยกกวนผู้นั้นไม่ได้

แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ต่างจากขอทานจริงๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สองตาแดงก่ำ ร่างผอมเหมือนกิ่งไม้ ไม่ทราบว่าไม่ได้พักผ่อนมานานขนาดไหน บนแขน คอ ใบหน้า ต่างเป็นรอยโคลนแห้งสีเทา

“เอามาอีกจอก” หลี่ซุ่นซีตาปรือชูจอกไปทางลู่เซิ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“พี่หลี่ เกิดเรื่องอะไขึ้นกันแน่ บนโลกนี้ไม่มีอุปสรรคที่ข้ามไม่ได้ ถ้าหากท่านเดือดร้อน พูดมา ข้าอาจช่วยท่านได้” ลู่เซิ่งกลับรู้สึกว่าคนอย่างหลี่ซุ่นซีมีคุณค่าให้ลงทุน นิสัยก็ยังใช้ได้ ถ้าเป็นเรื่องง่ายๆ เขาทดลองลงมือช่วยเหลือได้

ฟังถึงตรงนี้ หลี่ซุ่นซีค่อยสร่างเล็กน้อย หมอบบนโต๊ะพึมพำอย่างสลึมสลือ

“พี่ลู่…ท่านช่วยข้าไม่ได้…ใครก็ช่วยข้าไม่ได้…” เขามีสีหน้าทุกข์ตรม นั่งบนที่นั่ง ใช้ชาต่างสุรา กรอกดื่มจอกแล้วจอกเล่า

ลู่เซิ่งมองเสื้อผ้าบนตัวเขา

“ครอบครัวเกิดเรื่องหรือ” จำได้ว่าตอนนั้นหลี่ซุ่นซีเคยบอกเขาว่า ครอบครัวเป็นขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก แต่สภาพของเขาในตอนนี้ยังไม่มีคนที่บ้านมาดูแล สถานการณ์แบบนี้ถ้าไม่ใช่ทะเลาะกัน ที่บ้านก็คงเกิดเรื่อง

หลี่ซุ่นซีตัวสั่น เงยหน้ามองเขาอย่างซึมเซา

“บิดาข้า…ตายแล้ว…”

ลู่เซิ่งงุนงง ขมวดคิ้วมุ่นขณะถือจอกใบหนึ่ง

หลี่ซุ่นซีในที่สุดก็หาคนระบายเจอ

“ท่านก็มาจับข้าเพื่อปิดคดีเหมือนกันกระมัง เหอะๆๆ แม้แต่คนที่สนิทที่สุด สตรีที่ข้ารักมานาน ก็ยังวางยาในสุรา โลกใบนี้ยังมีเรื่องใดที่เกิดขึ้นไม่ได้อีก…”

ดื่มน้ำเย็นไปหลายจอก เขาคล้ายสร่างเมาบ้าง พูดจาชัดเจนส่วนหนึ่ง

“ครอบครัวท่านเกิดเรื่องแล้วใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม

“ใช่แล้ว…บิดาข้าถูกปรักปรำ ก่อนหน้านี้โดนตัดหัวตอนเที่ยง[1]แล้ว…ครอบครัวข้าโดนยึดทรัพย์ คนในบ้านที่หนีก็หนี ที่แยกย้ายก็แยกย้าย เหลือข้าหลบหนีอยู่ด้านนอก…” หลี่ซุ่นซีกล่าวอย่างรันทด “พี่ลู่ ถ้าท่านคิดจับข้ารายงานทางการก็ตามสบาย ข้าไม่อยากหนีแล้ว เหนื่อยนัก…หมดแรงแล้ว…”

ลู่เซิ่งย่นคิ้วมองเขา

“ข้าจับท่านรายงานทางการมีผลดีใดสำหรับข้า เงิน รางวัลเล็กน้อยของจวนขุนนางหรือ อุดร่องฟันยังไม่พอ อำนาจหรือ ตอนนี้ข้าเป็นอันดับสามแห่งพรรควาฬแดง ในเมืองเลียบคีรีแห่งนี้ถือเป็นบุคคลสำคัญ

พี่หลี่ อย่าได้หมดอาลัยตายอยาก ข้ามาหาท่านไม่ใช่เพราะรายงานทางการอันใด

ครอบครัวท่านประสบกับการเปลี่ยนแปลง พวกเรานับว่าเป็นสหายครึ่งหนึ่ง มีอะไรต้องการความช่วยเหลือ ท่านว่ามา ข้าจะทำเต็มที่ แต่ข้ามีเงื่อนไขน้อยๆ ข้อหนึ่ง”

หลี่ซุ่นซีงุนงง เขากับลู่เซิ่งเพียงเป็นจอกแหนพบพานกัน คือคนแปลกหน้าที่เจอกันโดยบังเอิญในหมู่บ้านตระกูลซ่ง เพียงแค่พูดคุยกันครั้งเดียว ความจริงยังนับเป็นสหายไม่ได้ด้วยซ้ำ อีกฝ่ายไม่สนใจจะจับเขารายงานทางการ

“ท่าน…ท่านไม่จับข้าส่งทางการจริงๆ หรือ?!” เขายังไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง “ท่านรู้ไหมว่า ผู้ที่บิดาข้าล่วงเกินเป็นเสนาบดีกรมทหาร ข้าราชการชั้นหนึ่ง!”

“ข้าราชการกี่ชั้นก็เรื่องของมัน ข้าไม่สนใจ! เอาล่ะอย่าเสียเวลาแล้ว ข้ามาหาท่านเพราะคิดซื้อข้อมูล ข้อมูลว่าใกล้ๆ นี้มีภูตผีหรือความประหลาดลี้ลับ หรือไม่ก็พวกมารปีศาจที่ค่อนข้างยุ่งยากขึ้นชื่อใดบ้าง” ลู่เซิ่งพูดความต้องการของตัวเองออกมาโดยตรง ถึงพรรควาฬแดงจะมี แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่ซุ่นซีชำนาญกว่าเล็กน้อย

เมื่อเกี่ยวพันถึงพวกภูตผี พรรควาฬแดงคอยสอดส่องดูแล ส่วนหลี่ซุ่นซีสัมผัสด้วยอย่างแท้จริง

“หา?” หลี่ซุ่นซีงงงัน “ท่าน…ไม่คิดรายงานทางการจริงๆ หรือ?”

“รายงานทางการไม่มีผลดีสำหรับข้า ข้าจะจับท่านทำไม” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างหงุดหงิด “ครอบครัวท่านเกิดการเปลี่ยนแปลง ข้าเห็นใจยิ่ง แต่ท่านขอแค่ยังมีชีวิต ช้าเร็วต้องมีโอกาสเข่นฆ่ากลับไป เป็นบุรุษทั้งแท่งร้องไห้ทำอะไร!”

หลี่ซุ่นซีมองเขาอย่างอึ้งๆ สับสนอยู่บ้าง หลายวันมานี้ สิ่งที่เขาเจอ การทรยศที่เขาประสบ แทบเขียนนิยายบันทึกประวัติศาสตร์ได้เป็นเล่ม

สหายสนิทที่ก่อนหน้าเรียกขานกันว่าพี่น้อง เหมยเขียวม้าไม้ไผ่[2]ที่เล่นกันตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ยังมีหญิงสาวคู่หมั้นที่เคยสัญญาว่าจะรักกันตราบฟ้าดินสลาย

พบเจอการหักหลังหลายครั้งหลายครา พบเจอความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า รอดชีวิตจากความตายหลายครั้งหลายหน หลังรับศรเกาทัณฑ์ดอกหนึ่ง จนถึงตอนนี้ยังทำให้เขาเจ็บปวดรวดร้าว ถ้าไม่ใช่อาจารย์เคยมอบของปกป้องชีวิตให้เขา เกรงว่าตอนนี้ศพคงใกล้เน่าแล้ว

ตลอดทางลอบหลบหนีถึงเมืองเลียบคีรี เขาถึงขั้นสิ้นหวังหมดอาลัยตายอยาก ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เพียงอยากเมาให้ตายคาโรงสุรา กลับคิดไม่ถึงว่า ได้เจอลู่เซิ่งที่ก่อนหน้านี้พบหน้ากันครั้งเดียวโดยวาสนา

และสิ่งที่ทำให้เขาเหนือคาดยิ่งกว่าก็คือ คนแปลกหน้าที่เพิ่งพบตนครั้งเดียวผู้นี้ไม่มีความคิดส่งตนรายงานทางการ ถึงทราบว่าเขาในตอนนี้หมดเนื้อหมดตัว อ่อนแอสุดเปรียบปาน ทั้งยังเมาจนไร้เรี่ยวแรง ถ้าจะรายงานทางการจริงๆ นี่เป็นโอกาสดีที่สุด แค่จับเขาไปที่ว่าการก็พอ ที่นั่นติดประกาศแจ้งจับเขาอยู่

ทว่าลู่เซิ่งกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น หากแต่บอกว่าอะไรที่ช่วยได้ ให้พูดมาเลยเต็มที่

……………………………………….

[1] ตัดหัวตอนเที่ยง เป็นการประหารด้วยการตัดหัวในเวลาเที่ยงวัน ซึ่งเป็นเวลาที่หยางโชติช่วงที่สุด เชื่อว่าวิญญาณจะได้ไม่ตามมารังควาน

[2] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง เพื่อนในวัยเด็ก