บทที่ 100 อู๋โยวอ๋อง (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

สหายที่สนิทกันมาหลายปียังเทียบกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันไม่ได้ หลี่ซุ่นซีจิตใจซับซ้อนสับสน

“พี่ลู่…แผนผังที่ท่านต้องการข้ามี แต่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว แดนเหนือสองขุมกำลังปะทะกันดุเดือด ด้านนอกสับสนวุ่นวาย ข้าไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าแผนผังก่อนหน้านี้ไม่มีประโยชน์แล้ว ตระกูลขุนนางลงมือแล้ว…”

วาจานี้ของเขากลับเตือนลู่เซิ่ง ตอนนี้สภาพการณ์วุ่นวาย จัตุรัสแดงกับตระกูลเจินลงมือ มารปีศาจตัวประหลาดผีสางด้านนอกย่อมสับสนอลหม่าน

“นี่กลับยุ่งยาก…” เมื่อเป็นแบบนี้ เป้าทดลองอันเหมาะสมที่เขาคิดหาก็ไม่เจอแล้ว กลับยุ่งยากอยู่บ้าง

“พี่ลู่ คือว่า…ให้ข้ายืมค่าเดินทางสักเล็กน้อยได้หรือไม่…” หลี่ซุ่นซีถามอย่างลังเล รู้สึกผิดอยู่บ้าง ตอนนี้เขาสร่างเมาโดยสิ้นเชิงแล้ว ความจริงหลายๆ ครั้งเขาไม่ได้ดื่มมากนัก ส่วนใหญ่หก ดังนั้นตอนนี้กลับสร่างเมาเร็ว

“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งหยิบถุงเงินจากในถุงข้างเอว แล้วโยนให้หลี่ซุ่นซี “เงินติดตัวเล็กน้อย ท่านใช้ก่อน”

เขาไม่ได้สนใจเงินไม่กี่ร้อยตำลึงแต่อย่างใด โดยเฉพาะตอนนี้หลังรับหน้าที่เป็นระดับสูงแห่งพรรควาฬแดง ช่องทางรายได้มีมาก ฟุ่มเฟือยกว่าเดิม หลี่ซุ่นซีคนผู้นี้มีนิสัยไม่เลว เป็นคนที่ควรค่าจะคบค้าด้วย ใช้เงินนิดหน่อยผูกมิตรก็ไม่เลว

ส่วนที่แผนกอาวุธ เขามีเงิน แต่ต่อให้ร่ำรวยก็ไม่มีใครชอบให้ตัวเองถูกยึดถือเป็นคนโง่ ดังนั้นจึงจงใจเอาคืนตาเฒ่าผู้นั้น

หลี่ซุ่นซีรับมาด้วยสีหน้าซาบซึ้ง เปิดแล้วกวาดตามอง ตั๋วเงินบวกกับเศษเงินด้านในมีไม่ต่ำกว่าร้อยตำลึง

“ขอบคุณพี่ลู่มาก! น้ำใจนี้ผู้แซ่หลี่จะจดจำตลอดชีวิต!” เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“พี่หลี่กล่าวหนักไปแล้ว ใครๆ ก็มีช่วงเวลายากลำบากทั้งนั้น” ลู่เซิ่งโบกมือกล่าว “จริงด้วย ยังไม่ได้ถามว่าครอบครัวท่าน…”

พูดถึงเรื่องนี้ หลี่ซุ่นซีก็มีสีหน้าขื่นขม

“พี่ลู่เคยได้ยินเรื่องอู๋โยวอ๋องหรือไม่”

“อู๋โยวอ๋อง?” ลู่เซิ่งส่ายหน้า “เป็นอ๋องคนหนึ่งในราชสำนักหรือ”

“ไม่ผิด แต่เขามิใช่แค่อ๋อง สถานะ ขีดความสามารถในที่ลับก็ยิ่งใหญ่น่าตะลึง ไม่ใช่แค่ความสามารถในหมู่คนธรรมดาเท่านั้น” หลี่ซุ่นซีถอนใจกล่าว “บิดาข้าถูกเสนาบดีกรมทหารใส่ความเพราะตรวจสอบเรื่องมารร้ายเซ่นสรวงเลือด จึงมีจุดจบเช่นนี้”

“อู๋โยวอ๋อง…เซ่นสรวงเลือด?” ลู่เซิ่งนึกถึงคดีร้ายแรงตอนอยู่เมืองเก้าประสาน

ตอนนั้นเป็นเพราะตระกูลลสวีหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองเก้าประสานถูกล้างด้วยเลือด ว่ากันว่าถูกเซ่นสรวงเลือด เขาลังเลเล็กน้อย ขมวดคิ้วถาม “เป็นคดีเซ่นสรวงเลือดที่เกิดขึ้นในเมืองเก้าประสานเมื่อก่อนหน้าหรือไม่”

“ใช่แล้ว” หลี่ซุ่นซีพยักหน้า ใบหน้าฉายแววขื่นขม “ไม่เพียงแค่เมืองเก้าประสาน ตอนนั้นแดนเหนือเกิดคดีเลือดแบบนี้แปดครั้ง ความรุนแรงของเรื่องราวสั่นสะเทือนขวัญ ยังมีคนในหมู่บ้านหลายหมู่บ้านนอกเมืองหายไปจำนวนไม่น้อย ความจริงคนตายมีจำนวนมากกว่าคนในคดีเลือดรวมกันเสียอีก

เป็นเพราะแบบนี้ บิดาข้าจึงทนมองต่อไปไม่ได้ ลงมือตรวจสอบอย่างเข้มงวด กลับคาดไม่ถึงว่า…” พูดไปพูดมาขอบตาเขาแดงก่ำอีกครั้ง

“อู๋โยวอ๋อง…” ลู่เซิ่งหยีตา แสดงว่าคดีตระกูลสวีเซ่นสรวงเลือดในเมืองเก้าประสาน ณ ตอนนั้น ไม่ใช่เป็นแค่การกระทำของภูตผีเท่านั้น และไม่ใช่พัวพันกับจวนม้วนมนุษย์ ยังรวมถึงอู๋โยวอ๋องอีกคน…

“ตามการตรวจสอบของบิดาข้า เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอู๋โยวอ๋องจะข้องเกี่ยวกับขุมกำลังของภูตผี ขุมกำลังลับๆ ของเขาน่าตื่นตระหนกจริงๆ” หลี่ซุ่นซีอธิบาย “เขาไม่ใช่ราชวงศ์ปัจจุบัน หากเป็นอ๋องที่ราชวงศ์ก่อนทิ้งไว้ แต่ก่อนหน้านี้เป็นเพราะสงบเสงี่ยม ไม่ให้คนอื่นรู้ ครั้งนี้กลับเป็นเพราะการเซ่นสรวงเลือดรุนแรงเกินไป จึงถูกบิดาข้าขุดขึ้นมา”

“ศึกแย่งของวิเศษที่เกิดขึ้นบนแดนเหนือก่อนหน้านั้น เขาสมควรเข้าร่วมด้วยกระมัง” ลู่เซิ่งถามอีก อุตส่าห์มีโอกาสที่ดีแบบนี้ในการทำความเข้าใจเบื้องหลัง ย่อมถามให้กระจ่าง

“ไม่ทราบ แต่จะต้องใช่แน่ ในนี้ต้องมีฝีมือของเขา” หลี่ซุ่นซีพยักหน้าโดยแรง รินน้ำให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง แล้วเงยหน้าดื่มรวดเดียวหมด

“เอาล่ะ เขาเขียวไม่เปลี่ยนลำธารไหลยาวนาน พี่ลู่ น้ำใจในวันนี้ข้าหลี่ซุ่นซีจะจำไว้ในใจ ภายหลังมีโอกาสจะต้องตอบแทน! ขอลา!”

ลู่เซิ่งมองความคิดของเขาออก จึงไม่ได้รั้งเขาไว้

หลี่ซุ่นซีไม่อยากให้ตนเองลำบากไปด้วย ถึงอย่างไรในด้านขุมกำลังของเสนาบดีกรมทหารกับอู๋โยวอ๋อง ขุนนางสองคนนี้ต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดาจะเทียบได้

ตอนนี้แม้ปากเขาจะบอกไม่เป็นไร หากต้องสู้กับขุมกำลังระดับพวกเขาจริงๆ ตนอาจหนีรอดได้ แต่ทั้งครอบครัวอาจถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

“พี่หลี่ รักษาตัวด้วย…” ลู่เซิ่งถอนใจ ลุกขึ้นประสานมือ

“วันหน้าต้องเจอกัน” หลี่ซุ่นซีกำถุงเงินที่ลู่เซิ่งมอบให้ คล้ายกับสิ่งที่บรรจุด้านในไม่ใช่เงิน หากเป็นความเชื่อมั่นและความหมายใหม่ที่จุดไฟให้แก่ชีวิต

เขาเปิดประตูเร่งฝีเท้าจากไป จนกระทั่งหลังประตูปิดลงพักหนึ่ง ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกจากที่นั่ง

“สหาย ในเมื่อได้ยินหมดแล้ว ก็ออกมาเถอะ ผู้แซ่ลู่จะได้ไม่ต้องเชิญท่านเอง” ลู่เซิ่งยืนอยู่ในห้องส่วนตัวที่ว่างเปล่า กล่าวเสียงกระจ่าง

“ไม่ต้องแล้ว” เสียงชราดังขึ้นข้างหูลู่เซิ่ง “ลอบติดต่อกับผู้ร้ายของราชสำนัก เจ้าไม่กลัวครอบครัวถูกคาดโทษโดนพัวพันไปด้วยหรือ”

“พัวพันหรือ ข้าติดต่อกับใคร ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่เพิ่งต้อนรับสหายคนหนึ่ง เอาผู้ร้ายมาจากที่ใด” ลู่เซิ่งทำหน้างง

“หลี่ซุ่นซีเป็นผู้ร้ายสำคัญที่เบื้องบนต้องการจับกุม เจ้ามีพลังไม่เลว อย่าได้ทำพลาดเอง” เสียงชรากล่าวราบเรียบ “ไม่อย่างนั้น สถานเบาหาเรื่องใส่ตัว สถานหนักล้างตระกูล”

วาจาเขื่องโขนัก!

ลู่เซิ่งใบหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย จิตใจกลับเคร่งขรึมกว่าเดิม หลี่ซุ่นซีถูกจับตามองจริงๆ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาเตือนเร็วขนาดนี้

“ล้างตระกูลหรือ เหอะๆ” เขาหัวเราะอย่างดุร้าย “ท่านออกมาลองดูก็ได้ ดูว่าจะล้างตระกูลข้าได้ไหม”

กลิ่นอายอันตรายค่อยๆ กระจายจากร่างเขา

วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานระดับแปด แม้แต่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่ามีอานุภาพขนาดไหน มียอดฝีมือคนหนึ่งมาให้ทดลองพอดี

“โอหัง!” เสียงชรานั้นตวาด ถัดจากนั้นเป็นเสียงเป็นเข็มเหล็กที่เล็กเหมือนขนวัวเส้นหนึ่ง เจาะกำแพงพุ่งใส่ทรวงอกลู่เซิ่งด้วยความเร็วสูง

เข็มเหล็กนี้เร็วยิ่ง ไร้สุ้มเสียง ยังถูกเสียงตวาดกลบด้วย รอตอนลู่เซิ่งพบ ก็หลบไม่ทันแล้ว

สวบ!

เข็มแทงโดนทรวงอกเขาอย่างแรง

แต่ยังไม่รอพิษบนเข็มออกฤทธิ์ ดาบใหญ่ที่เหมือนบานประตูก็ฟาดใส่กำแพงทางซ้ายของห้องส่วนตัวอย่างรุนแรง

ตูม!

กำแพงถล่มลงมา ชายชราร่างผอมอาภรณ์เขียวคนหนึ่งที่ยืนอยู่อีกด้านหลบไม่ทัน ถูกดาบฟันใส่ เศษไม้นับไม่ถ้วนระเบิดกระเด็นใส่ร่างของเขา พริบตาเดียวเกิดเป็นรูเลือดจำนวนมาก

“ฮ่า!” ลู่เซิ่งตะโกน กระโดดเข้าไปเล็งปลายดาบที่คออีกฝ่าย และพุ่งตัวลง

โครม!

เขากระแทกชายชราล้มลงกับพื้น ปลายดาบเสียบเข้าไปในคออีกฝ่ายในแนวตั้ง ทะลุเข้าพื้น แทบแยกคางกับทรวงอกชายชราออกเป็นสองส่วน

ชายชราดิ้นรนขณะถูกตอกติดพื้น ฟองเลือดผสมในปาก ส่งเสียงฮ่าๆ จ้องมองลู่เซิ่งเขม็ง ยื่นมือคิดจับดาบเพื่อถอนออกไป แต่ไร้ปัญญา

“จะล้างตระกูลข้า อาศัยท่านหรือ” ลู่เซิ่งจิกผมชายชราขึ้นมา

ฉัวะ

ศีรษะถูกดาบใหญ่ฟันออกเป็นสองท่อนอย่างเรียบร้อย ชายชราพลันสิ้นลม

เลือดไหลนอง ตอนนี้พลพรรควาฬแดงที่อยู่ด้านนอกค่อยรู้สึกตัว รีบถลันเข้ามา พอเห็นภาพนี้ แต่ละคนสีหน้าซีดขาว

“ลูกพี่…” สวีชุยปิดจมูกเดินเข้าไป ในห้องเหม็นคาวเกินไป มีแต่เลือด ต่อให้เป็นคนที่ผ่านมาร้อยศึกอย่างเขาก็ไม่ชินอยู่บ้าง

“เก็บกวาดซะ ศพนี้จุดไฟเผา อย่าให้เหลือร่องรอย” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ ชักเข็มที่ปักบนเสื้อที่งอแล้วออกจากทรวงอก หลังจากเข็มนี้ทำลายกำแพงทิ่มใส่ร่างเขา แม้แต่ผิวหนังก็ไม่ทะลุ อย่าว่าแต่พิษจะออกฤทธิ์ได้

“ขอรับ”

ลู่เซิ่งใช้ผ้าขนหนูเช็ดเลือดบนรองเท้า แล้วออกจากเหลาสุราอย่างผ่าเผย

ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ว่ารอบๆ หลี่ซุ่นซีมีกลิ่นอายที่คล้ายมีคล้ายไม่มีคนติดตาม ยังนึกว่าเป็นยอดฝีมือที่คอยคุ้มครองเขา คาดไม่ถึงกลับเป็นผู้จับตาดู

ลู่เซิ่งไม่อาจให้คนส่งข่าวที่ลอบฟังเขาสนทนากับหลี่ซุ่นซีออกไปได้ บวกกับอีกฝ่ายกล้าคุกคาม พอโมโหขึ้นมา เขาก็ไม่สนใจ ฆ่าก่อนค่อยว่ากล่าว

เพียงใช้วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานระดับห้า ผสานวิชาแข็งกร้าว พลังระเบิดที่บังเกิดเหมือนกับเมื่อครู่ ยอดฝีมือที่เหมือนระดับสำนึกปลอดโปร่งยังไม่ทันแม้แต่จะโต้ตอบก็โดนฟันตาย

‘เมื่อเป็นแบบนี้ ยังคงไม่อาจรู้ว่าพลังของเราในตอนนี้ถึงระดับไหนแล้ว’ ลู่เซิ่งออกจากเหลาสุรา จิตใจยังคงใคร่ครวญ

กลับมาถึงห้องเพาะดอกไม้หยกทอง เขาหยิบขวดกระเบื้องใบเล็กที่เคยทดลองใช้ก่อนหน้าออกจากใต้เตียงตนเอง

สุรากลิ่นอายพันธนาการในขวดกระเบื้องใบเล็กอาจทดสอบระดับพิษพลังพันธนาการที่เขาต้านได้ในปัจจุบันประมาณหนึ่ง

ลู่เซิ่งนั่งหน้าโต๊ะกลม หยิบขวดกระเบื้องใบเล็กใบหนึ่งออกมาวางในมือ แล้วเก็บขวดกระเบื้องที่เหลือใส่กล่อง วางไว้บนโต๊ะก่อน

‘ได้แต่ใช้วิธีนี้ทดสอบไปก่อน…’

เขาดึงจุกไม้ออกเบาๆ ค่อยๆ เทมันลงใส่ฝ่ามือขวาของตน

หลังจากเอียงขวด ไม่ทันไรของเหลวสีดำหยดหนึ่งก็ค่อยๆ ตกลงมาบนฝ่ามือลู่เซิ่ง

ซี่…

ควันขาวสายหนึ่งลอยขึ้น เหมือนกับกรดเข้มข้นราดใส่ฝ่ามือ กลิ่นฉุนของอะไรบางอย่างที่ไหม้เกรียมโชยมา

ลู่เซิ่งมองของเหลวสีดำนั้นหายไปจากกลางฝ่ามือของตนเองอย่างรวดเร็ว เขารีบเทหยดของเหลวในขวดกระเบื้องใบเล็กอีกใบอย่างรวดเร็ว

ขณะปราณภายในเคลื่อนไหว ยังคงไม่รู้สึกถึงความแห้งเหี่ยว คุณสมบัติของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานชัดเจนว่าสูงกว่าก่อนหน้าไม่น้อย ไม่ไร้ความสามารถโต้ตอบพลังพันธนาการจากขวดกระเบื้องใบหนึ่งเหมือนก่อนหน้า

ของเหลวหยดที่สองหายไปอย่างรวดเร็ว ระเหยหายไปโดยสมบูรณ์ จากนั้นหยดที่สาม หยดที่สี่ หยดที่ห้า ขวดกระเบื้องแต่ละใบถูกหยดใส่ตำแหน่งเดียวกันอย่างต่อเนื่อง

ปราณภายในของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานถูกใช้ไปมากกว่าครึ่ง ไม่ทันไรก็เริ่มใช้พลังยุทธ์ของวิชาหยินหยางกระเรียนหยก ยังมีวิชาแข็งกร้าวเช่นวิชาโซ่เก้าสินธุเสริม

ควันขาวหลายสายค่อยๆ ลอยจากศีรษะลู่เซิ่ง นั่นเป็นไอน้ำที่ลอยออกมาเนื่องจากเหงื่อระเหยเพราะปราณภายใน

พอเทขวดกระเบื้องขวดที่หก และขวดที่เจ็ด ลู่เซิ่งหยิบขวดกระเบื้องขวดที่แปดขึ้นมาอีก…นี่เป็นขวดสุดท้ายแล้ว

แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ แม้พิษในของเหลวจากขวดกระเบื้องเจ็ดใบจะถูกปราณภายในต้านทาน แต่ว่าปราณภายในทั้งหมดในตัวลู่เซิ่งในที่สุดก็ถูกใช้หมดสิ้นแล้ว

เขากำขวดกระเบื้องใบที่แปดไว้ในมือ ไม่ได้เทต่อ

‘พิษของขวดกระเบื้องเจ็ดใบ เราต้านทานได้โดยสมบูรณ์ ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว…ขาดอีกเล็กน้อย…’ ลู่เซิ่งตื่นเต้นอยู่บ้าง เหงื่อแตกเต็มศีรษะ

คาดว่าถ้าเพิ่มระดับวิชากำลังภายในอีกขั้น เขาก็จะบรรลุระดับพลังพันธนาการได้

นี่ถึงจะเป็นระดับพื้นฐานต่ำสุดของตระกูลขุนนางกับความประหลาดลี้ลับ แต่กลับเป็นขอบเขตใหญ่สุดระหว่างคนธรรมดาและยอดมนุษย์ในโลกใบนี้

……………………………………….