“ไปอยู่กับพี่อันสักระยะหรือ ฟังดูไม่เลวเลย”
ราชาวานรเนตรทองจมอยู่ในภวังค์ความคิด เห็นได้ชัดว่ากำลังตั้งใจใคร่ครวญคำแนะนำของอันหลิน
พวกลั่วจื่อผิงกลืนน้ำลาย มองราชาวานรอย่างตึงเครียด
พวกเขาไม่อาจอธิบายความรู้สึกที่ย่ำแย่ในตอนนี้ได้ หากว่าราชาวานรตกปากรับคำ เช่นนั้นก็เท่ากับว่า กลุ่มของพวกเขาจะมีสัตว์ภูตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลางเพิ่มมาอีกตัว
ต้องตื่นเต้นขนาดนี้เลยหรือ!
“ก็ได้ งั้นข้าจะไปอยู่กับพี่อันสักระยะหนึ่ง!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดราชาวานรเนตรทองก็ให้คำตอบ
เมื่อได้ยินคำตอบของราชาวานร อันหลินก็ปลื้มใจ บอกทุกคนอย่างดีใจว่า “ข้าขอประกาศว่า เจ้าอัปลักษณ์จะเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่มเรานับจากนี้ไป!”
ราชาวานรเนตรทองก็ลุกขึ้นเช่นกัน โค้งคำนับให้กับสมาชิกกลุ่มอันหลิน “จากนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
เหมียวเถียนแค่นหัวเราะ “พูดอะไรกันพี่อัปลักษณ์ พวกเราต่างหากที่ต้องขอฝากเนื้อฝากตัว…”
ซุนเซิ่งเหลียน “…”
ในใจจงหย่งเหยียนดุจมีฝูงสัตว์นับหมื่นตัววิ่งผ่าน พยายามฝืนยิ้ม “ฮ่าๆ ท่าทีวาสนาของเราจะแน่นแฟ้น ต่อไปต้องอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขแน่นอน!”
มีเพียงลั่วจื่อผิงที่มีรอยยิ้มผ่อนคลาย “ฮ่าๆ มีลูกพี่ลิงอยู่ ต่อไปการล่าสัตว์ประหลาดก็สบายแล้ว!”
สามคนที่เหลือได้ฟังก็หน้ากระตุก แผดร้องในใจว่า ‘มันใช่ประเด็นสำคัญหรือไง!’
ประเด็นสำคัญคือ ตอนนี้กองทัพของพวกเขามีวานรประหลาดตัวหนึ่งเพิ่มมาต่างหากเล่า!
เซวียจั๋วหมิงที่รู้สึกว่าเหลวไหลสิ้นดีตั้งแต่แรก บัดนี้กำลังอ้าปากค้าง กว้างจนสามารถยัดแอปเปิลเข้าไปได้ทั้งลูก
การดำเนินเรื่องอันเป็นปริศนา สร้างความกระทบกระเทือนให้กับมุมมองของเขาอย่างเหนือคำบรรยาย
สหายอันหลินคนนี้เป็นเทพเจ้าจากแห่งหนใดกัน
ขโมยผลเซียนของผู้อื่นไปไม่พอ…
ตอนนี้จะชิงตัวเจ้าของไปด้วยหรือ
นี่มันโหดร้ายกว่าถูกขายแล้วยังช่วยคนร้ายนับเงินหลายเท่านัก!
“จินเจิ้นจื่อ นับแต่นี้ไป เจ้าจะเป็นผู้นำชั่วคราวแห่งเขาดอกผล!” ราชาวานรเนตรทองพูดเสียงดัง
วานรร่างกำยำตัวหนึ่งคุกเข่าบนพื้น น้อมรับคำสั่งด้วยความยินดีปรีดา “ขอรับไต้อ๋อง!”
ด้วยเหตุนี้หลังงานเลี้ยงสิ้นสุดลง ราชาวานรเนตรทองก็แบกกระบองสีเงิน ตามพวกอันหลินกลับเมืองติ้งอัน
ระหว่างนี้ อันหลินให้ผลเซียนสามลูกแก่สมาชิกกลุ่มล่าสัตว์ จากนั้นก็แบ่งผลเซียนให้สมาชิกของตัวเองคนละลูก
อันที่จริงเหล่าสมาชิกลำบากใจมาก เพราะในการปฏิบัติการครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้ออกแรงอะไรมากนัก กลับกันเป็นอันหลินเองที่เสียยันต์ไปหลายสิบแผ่น
แต่อันหลินดึงดันจะให้ พวกเขาจึงทำได้แค่รับไว้
การกระทำของอันหลินไม่เพียงแต่ทำให้สมาชิกซาบซึ้งเท่านั้น แม้แต่ราชาวานรเนตรทองเองก็พลอยประทับใจไปด้วย
ภายในคฤหาสน์ส่วนบุคคลแห่งหนึ่งในเมืองติ้งอัน
ที่นี่เป็นสถานที่รวมตัวของห้องพวกเขา และจดบันทึกสถิติที่ทำสำเร็จของแต่ละวัน
ม่านรัตติกาลค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ตอนนี้ในคฤหาสน์มีคนรวมตัวกันหกสิบกว่าชีวิตแล้ว
มีนักเรียนบางส่วนยังไม่กลับมา บางส่วนไปไกล อาจจะนอนค้างอ้างแรมอยู่ข้างนอก
เซียนกระบี่หลิงเซียวกำลังคำนวณสถิติอยู่
เขาจะรวบรวมสถิติของนักเรียนและข้อมูลจากทหาร บันทึกเป้าหมายที่แต่ละกลุ่มทำสำเร็จตามความจริง
“กลุ่มของเทียนฮุยใช้ได้เลย สังหารสัตว์ประหลาดไปสิบห้าตัว ภารกิจสำเร็จ”
เมื่อเทียนฮุยได้ยินคำชมของอาจารย์ที่ปรึกษา ก็เกาหัวอย่างเก้อเขิน
ความจริงแล้วเขาลุ่มหลงในการหลอมศาสตรา ตลอดทางล้วนอาศัยความสามารถอันยอดเยี่ยมของสมาชิก จึงสำเร็จภารกิจเกินเป้าหมายได้
“หวังเสี่ยวไป๋ กลุ่มพวกเจ้ามันอะไรกัน ไยจึงฆ่าสัตว์ประหลาดไปแค่ตัวเดียว!” เซียนกระบี่หลิงเซียวถลึงตาใส่ห้าคนที่อยู่ตรงหน้า จ้องข้อมูลด้านบนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หวังเสี่ยวไป๋สะบัดผมที่พลิ้วไหวของตน พูดเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “ช่วยไม่ได้ หล่อเกินไป แถมยังมีฝีมือเกินไป สัตว์ประหลาดเห็นข้าก็วิ่งหนีไปไกลแล้ว…”
สมาชิกสี่คนที่เหลือเมื่อเห็นท่าทางของหวังเสี่ยวไป๋ ก็พากันปิดหน้าเป็นพัลวัน
มีหัวหน้ากลุ่มที่ไร้ยางอายปานนี้ พวกเขาก็สิ้นหวังมากเช่นกัน!
เมื่อเซียนกระบี่หลิงเซียวเห็นอากัปกิริยาของหวังเสี่ยวไป๋ ก็อยากจะตบเขาสักฉาดจริงๆ
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากสวนของคฤหาสน์ “อันหลินกลับมาแล้ว!”
หลังอันหลินสร้างวีรกรรมเรื่องเล่าเหล่านั้นแล้ว ก็กลายเป็นเป้าสายตาของนักเรียนทั้งหลาย
บัดนี้เมื่อพวกเขาเดินเข้ามายังลานบ้าน ก็ดึงดูดสายตาของนักเรียนส่วนใหญ่เช่นกัน
ต่อมา นักเรียนทั้งหลายก็งงเป็นไก่ตาแตก
เพราะพวกเขาเห็นวานรที่สวมชุดเกราะ องอาจผึ่งผายตัวหนึ่ง…
“โอ้โฮ ทำไมวานรตัวนั้นถึงได้คุ้นตาเช่นนี้นะ เหมือนกับเคยเห็นในรูปวาด คงไม่ใช่ราชาวานรซุนหงอคงหรอกนะ!”
“ไม่…ซุนหงอคงไม่ได้อัปลักษณ์ขนาดนั้น นี่มันตัวปลอม ราชาวานรอัปลักษณ์ต่างหาก!”
“เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นสำคัญคือวานรตัวนี้มาจากไหน!”
เมื่อเทียบกับนักเรียนที่ตะลึงงันแล้ว สีหน้าของเซียนกระบี่หลิงเซียวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก
เขาเดินไปหาอันหลินอย่างเอือมระอา “อันหลิน วานรตัวนี้มันอะไรกัน”
อันหลินพูดอย่างเริงร่าว่า “เขาเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่มเรา วานรอัปลักษณ์ สัตว์อัญเชิญของข้า ทุกคนเรียกมันว่าเจ้าอัปลักษณ์หรือพี่ลิงก็ได้!”
ในตอนนั้นเอง ราชาวานรเนตรทองก็เผยรอยยิ้มน่าเกลียด ยกมือขึ้นโบกไปโบกมา “ฮาย สวัสดีทุกคน ข้ามาครั้งแรก ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
เซียนกระบี่หลิงเซียวได้ฟังคำพูดของอันหลิน ปากก็ขมุบขมิบ คำรามในใจว่า ‘ภูตอัญเชิญกับผีอะไร!’
ศึกแห่งอิสรภาพคราวก่อนเป็นหมายักษ์ตัวนั้น คราวนี้พาลิงมาอีกแล้ว!
แต่ทว่า…การทดสอบประจำปีไม่ได้ระบุเสียหน่อยว่าห้ามพาสัตว์ภูตร่วมศึก…
จู่ๆ เซียนกระบี่หลิงเซียวก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา
อันหลินจะให้เขาวางใจสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ โกงให้มันน้อยๆ หน่อยจะตายหรือไง
แต่สุดท้าย เซียนกระบี่หลิงเซียวก็ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ลองบอกเป้าหมายที่สำเร็จของพวกเจ้ามาสิ”
ดวงตาของอันหลินเปล่งประกาย เมื่อได้ยินอาจารย์ที่ปรึกษาพูดเช่นนี้ รู้ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ยอมรับการมีอยู่ของเจ้าอัปลักษณ์ จึงเอ่ยปากบอกผลการต่อสู้ของพวกเขาไป
วันนี้พวกเขาสังหารสัตว์ประหลาดไปทั้งสิ้นยี่สิบห้าตัว และมีสัตว์ภูตอีกสามตัว
สีหน้าของเซียนกระบี่หลิงเซียวเปลี่ยนไปเมื่อได้ฟัง เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์ของพวกอันหลินโดดเด่นยิ่งนัก
แม้สัตว์ภูตจะไม่อยู่ในขอบเขตของการล่า แต่สัตว์ภูตมากมายเป็นศูนย์รวมพลังของฝูงสัตว์ กำจัดไปก็นับว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน
เผ่าพันธุ์ที่มีปัญญาสูงเช่นราชาวานรเนตรทอง ไม่มีเจตนาร้ายมนุษย์ทั่วไปมากนัก ฉะนั้นเซียนกระบี่หลิงเซียวจึงไม่ถือสามันเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มของอันหลินจึงกลายเป็นกลุ่มห้าคนหนึ่งสัตว์ไปโดยปริยาย
เหล่านักเรียนต่างก็จดจ้องพวกอันหลินด้วยสายตาอิจฉา อุทานกันไม่หยุดหย่อน
ดูสิ! ในขณะที่พวกเรากำลังล่าสัตว์ประหลาด คนอื่นเขารับสัตว์ภูตเข้ามาเป็นกองหนุนแล้ว…
ฝีมืออันหลินเหนือสามัญอย่างแท้จริง มองการณ์ไกล นี่แหละความแตกต่าง!
โดยเฉพาะกลุ่มของหวังเสี่ยวไป๋ เหล่าสมาชิกอยากจะเขมือบหัวหน้าให้รู้แล้วรู้รอด
ดูหัวหน้าคนอื่นเขาสิ แค่ออกไปรอบเดียวก็ได้สัตว์ภูตกลับมาแล้ว
แต่หัวหน้าของพวกเขาล่ะ เอาแต่เก๊กหล่อคุยโว วันนี้ฆ่าสัตว์ประหลาดไปแค่ตัวเดียว น่ารังเกียจเสียจริง!
ขณะนั้นเอง หญิงรูปงามล่มเมืองคนหนึ่งก็เดินมายืนตรงหน้าอันหลิน
เมื่ออันหลินเห็นผู้มาเยือน รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า หญิงคนนั้นคือซูเฉี่ยนอวิ๋น
“สหายอันหลิน ยินดีกับเจ้าที่ได้สัตว์เลี้ยงกลับมา”
ดวงตาสีฟ้าดุจห้วงความฝันของซูเฉี่ยนอวิ๋น เพ่งพิศเจ้าอัปลักษณ์พลางกะพริบปริบๆ เห็นได้ชัดว่าสนใจมันไม่น้อยเลย
อันหลินส่ายหน้า ยกมือขึ้นกอดไหล่เจ้าอัปลักษณ์แล้วตอบว่า “มันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของข้า มันเป็นสหายของข้า!”
เจ้าอัปลักษณ์ได้ยินก็ตื่นตันใจ “ใช่ เป็นสหาย!”
เมื่อเห็นอันหลินกับเจ้าอัปลักษณ์กอดคอกัน ซูเฉี่ยนอวิ๋นก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ ป้องปากแล้วขำเบาๆ
รอยยิ้มนั้นเรียกได้ว่าเป็นยิ้มโลกละลาย หัวใจของอันหลินเต้นเร็วขึ้นแล้ว
จากนั้น ซูเฉี่ยนอวิ๋นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหยิบเม็ดสีทองระยิบระยับออกจากแหวนมิติ ยื่นให้อันหลิน “วันนี้เจอเสืออัคคีสีชาดตัวหนึ่ง นี่เป็นขุมพลังสัตว์ที่ได้มาหลังข้าสังหารมันด้วยกงจักรแสงจันทร์ ข้าให้เจ้า!”
เมื่ออันหลินเห็นขุมพลังสัตว์เม็ดนี้ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่คิดเลยว่าจะได้ขุมพลังสัตว์ตั้งแต่วันแรก มีความหวังจะได้ทะลวงเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว!
“ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ! จะว่าไปสหายซูมีสิ่งใดที่ต้องการหรือไม่ ข้ามียาวิเศษมากมายเชียวล่ะ!” อันหลินพบว่าสิ่งที่เขาตอบแทนได้มีเพียงยาวิเศษ
ซูเฉี่ยนอวิ๋นยิ้มบางๆ “ไม่ต้องหรอก ตอนที่สหายอันหลินช่วยสอนวิชาแดนมนุษย์ให้ข้า ก็ไม่ขออะไรตอบแทนไม่ใช่หรือ ระหว่างเพื่อนก็ควรจะช่วยเหลือกัน เจ้าเป็นคนบอกข้าเองนะ!”
ขณะที่พูด นางก็พยักหน้ายิ้มๆ ให้อันหลิน จากนั้นก็เดินจากไปอย่างสง่างาม
อันหลินมองเรือนร่างสวยงามที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจ ซูเฉี่ยนอวิ๋นช่างเป็นหญิงที่งดงามเสียจริง
“เจ้าอัปลักษณ์ เจ้าว่าซูเฉี่ยนอวิ๋นงามหรือไม่” จู่ๆ อันหลินก็ถามขึ้นมา
“เจ้าหมายถึงนักพรตหญิงคนเมื่อครู่หรือ” เจ้าอัปลักษณ์แคะจมูกเชิดรั้นของมันแล้วตอบว่า “ทั่วๆ ไปกระมัง…ข้าว่านักพรตมนุษย์ก็หน้าตาคล้ายคลึงกันหมด เรียกได้ว่าเป็นภาวะไม่รู้ใบหน้า[1]”
“นี่คงจะเป็นความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์กระมัง”
“เช่นที่เจ้ามองข้า เจ้าสามารถแยกข้าออกจากใบหน้าของวานรจำนวนมหาศาลได้ไหม”
ราชาวานรเนตรทองพูดเสริม
อันหลินพยักหน้าจริงจัง “ได้แน่นอน วานรตัวที่อัปลักษณ์ที่สุดต้องเป็นเจ้าแน่นอน แยกง่ายดายนัก!”
ราชาวานรเนตรทอง “…”
…………………………………
[1] ภาวะไม่รู้ใบหน้า คือ จำหน้าคนไม่ได้