พวกสวีเสี่ยวหลานกับเซวียนหยวนเฉิงไม่ได้กลับเมืองติ้งอัน ชัดเจนว่าตั้งใจจะนอนค้างอ้างแรมในป่า

คนที่มีพลังแก่กล้า จะใจกล้ามากกว่า

เพราะความสามารถอย่างพวกเขา น้อยนักที่สัตว์ประหลาดจะทำอันตรายพวกเขาได้

ค้างแรมในป่าประหยัดเวลาเดินทางกลับไม่พอ ประสิทธิภาพในการล่าสัตว์ก็จะเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย

ส่วนซูเฉี่ยนอวิ๋นเป็นเพราะต้องนำขุมพลังสัตว์มาให้อันหลิน จึงเดินทางกลับมาเป็นการเฉพาะ

วันต่อมา สมาชิกกลุ่มอันหลินก็ออกเดินทางอีกครั้ง

หนนี้ พวกเขาเห็นเทพสังหารเทพ พระขวางปลิดชีพพระ ไร้เทียมทานมาตลอดทาง

“เจ้าอัปลักษณ์ จัดการเสือดาวหิมะตัวนี้เสีย!” อันหลินตะโกนลั่น

ร่างของราชาวานรเนตรทองหายวับ รวดเร็วยิ่งกว่าเสือดาวหิมะ เงื้อกระบองขึ้นแล้วฟาดลงไป

ตูม!

จำนวนสัตว์ประหลาด +1

“เจ้าอัปลักษณ์ หมาป่ากระดูกขาวสองตัวนั้นกำลังยิ้มให้พวกเรา จัดการมัน!”

ราชาเนตรทองถือกระบองกวาดล้าง พลังมหาศาลอันน่ากลัวสะเทือนโครงกระดูกของหมาป่ากระดูกขาวสองตัวจนแหลกละเอียด

จำนวนสัตว์ประหลาด +2

ด้านหลังอันหลินมีเหมียวเถียนที่กำลังฮัมเพลง จงหย่งเหียนที่หาวหวอดๆ ซุนเซิ่งเหลียนถือกระจกกำลังหวีผม

นอกจากลั่วจื่อผิงที่เตรียมพร้อมลงมือแล้ว ทุกคนล้วนอยู่ในสภาพของปลาเค็ม…

“พี่ลิง…พี่ลิง เจ้าสุดยอดจริงๆ ภูเขาปัญจธาตุพันธนาการเจ้าไม่ได้ มีซุนเห้งเจียกระโดดออกมา…”

อันหลินก็เริ่มฮัมเพลงขึ้นมาแล้วเช่นกัน

ตาของเหมียวเถียนเป็นประกาย ราวกับเจอคนประเภทเดียวกัน วิ่งไปยืนข้างเขาแล้วฮัมเพลงไปด้วยกัน “ที่ใดมีทุกข์ก็คิดถึงเจ้า ที่ใดมีอันตรายย่อมมีพี่! ผ่านสมรภูมิมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ลงโทษความชั่วส่งเสริมความดีด้วยใจอารี! ชื่อเสียงของเจ้าลือกระฉ่อน ตำนานของเจ้าเป็นที่เล่าขาน…”

เมื่อราชาวานรเนตรทองได้ยินเพลงนี้ก็ฮึกเหิม ทุ่มเทต่อสู้ยิ่งกว่าเดิม!

วันหนึ่งผ่านไปด้วยประการฉะนี้

วันนี้ กลุ่มของอันหลินสังหารสัตว์ประหลาดไปสามสิบหกตัว

ผลลัพธ์ไม่เลว แถมยัง…

เป็นฝีมือของพี่ลิงทั้งหมด!

เมื่อมีพี่ลิงคอยรับมือ ค่ำคืนนี้ พวกเขาไม่กลับเมืองติ้งอัน แต่ตั้งค่ายอยู่ที่เดิม

จงหย่งเหยียนและเหมียวเถียนเชี่ยวชาญวิชาค่ายกล พวกเขาทำหน้าที่วางค่ายกลป้องกันและระวังภัยรอบๆ ลานตั้งค่าย

หลังวางค่ายกลเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เริ่มนั่งล้อมวงย่างเนื้อรอบกองไฟ

วัตถุดิบหลักในวันนี้คือวิหคหกปีก สัตว์ประหลาดที่สังหารไปเมื่อตอนพลบคล่ำ

หกปีก…สามารถทำเป็นปีกย่างหกชิ้นได้พอดี

มิหนำซ้ำยังเป็นปีกที่มีขนาดใหญ่อย่างยิ่ง หนึ่งปีกหนักหลายชั่ง!

เหนือกองไฟที่ลุกโชน พวกเขาถือปีกยักษ์คนละปีกพลิกไปพลิกมาไม่หยุด

เจ้าอัปลักษณ์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปิ้งย่าง มันช่วยโรยเครื่องเทศทั้งหลายให้ทุกคน สุดท้ายก็ทาน้ำมันหอย

ไฟลุกโหมย่างปีกยักษ์จนดังเปรี๊ยะ หนังค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง เนื้อสดชุ่มฉ่ำเริ่มส่งกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของการย่าง

เหมียวเถียนอดรนทนไม่ไหวแล้ว นางมองปีกย่างที่ส่งกลิ่นหอมหวนแล้วชิงกัดไปหนึ่งคำ

หลังกินไปคำหนึ่งแล้ว ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย “หนังหอมเกรียมกรอบอร่อย เนื้อข้างในนุ่มถูกปาก อร่อยจังเลย!”

เมื่อทุกคนได้ฟัง มีเวลาสนใจอะไรที่ไหน ก็ลงมือกินทันที

อันหลินกัดปีกย่างไปคำหนึ่ง เพราะโรยผงพริก ทำให้ปีกย่างมีรสชาติเผ็ดเล็กน้อยเจือความสดอร่อย

รสสัมผัสอันหอมหวานส่งตรงไปยังต่อมรับรส เพราะเป็นเนื้อของสัตว์ประหลาด จึงหนึบหนับเล็กน้อย

ส่วนรสชาตินั้น…อร่อยเหาะ!

ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มลงมือสวาปามรอบกองไฟ

แม้แต่เหมียวเถียนที่ตัวเล็กที่สุด ก็กินปีกที่หนักหลายชั่งจนหมดเกลี้ยง ส่วนเจ้าอัปลักษณ์นั้นแม้แต่กระดูกก็ไม่หลงเหลือ

หลังกินเสร็จ อันหลินก็นอนแผ่หลาบนพื้น แหงนหน้ามองดวงดาราเต็มท้องนภาอย่างอิ่มอกอิ่มใจ

ดวงดาวของโลกใบนี้สว่างยิ่งนัก

เมื่อเพ่งมองไป ยังสามารถเห็นกาแล็กซีตรงเส้นขอบฟ้าได้อีกด้วย

“ลูกพี่อัน เจ้ากำลังแหงนหน้ามองดาว ครุ่นคิดชีวิตอยู่หรือ” เหมียวเถียนกำลังใช้ปากจิ้มลิ้มสีแดงดุจเชอร์รี่ เลียรสชาติที่ติดที่อยู่ปลายนิ้ว ทำท่าราวกับยังไม่ถึงใจ

นางสวมชุดนักพรตสีชมพู มีผมสั้นสีดำขลับและใบหน้าที่จิ้มลิ้ม ให้ความรู้สึกตัวเล็กน่ารัก

ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นเหมียวเถียนในตอนนี้ อันหลินนึกถึงเถียนหลิงหลิงที่เอาแต่เรียกเขาว่านักพรตจอมปลอมบนโลกมนุษย์คนนั้น

“ข้าเติบโตบนโลกมนุษย์ กระทั่งระยะนี้ ข้าเพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วโลกเป็นดินแดนที่หนี่วาสร้างขึ้นมา ที่พวกเราต้องลงไปยังแดนมนุษย์ ก็เพื่อรักษาความมั่นคงของแดนหนี่วา” อันหลินพูดช้าๆ

เหมียวเถียนได้ฟังก็กะพริบตามองอันหลิน ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงเอ่ยถึงเรื่องนี้

อันหลินพูดต่อว่า “แผ่นดินบรรพกาลกว้างใหญ่ยิ่งนัก ใหญ่จนต่อให้เป็นแผนที่ในปัจจุบันก็ไม่อาจวาดมันได้ทั้งหมด”

“ในตำราเรียนกล่าวว่า แผ่นดินบรรพกาลเป็นแผ่นดินของการเริ่มต้นแห่งสรรพสิ่ง โดยมีผานกู่เป็นผู้สร้าง[1] มีดินแดนเล็กๆ และแดนพิศวงนับไม่ถ้วน แต่ดินแดนใหญ่มีเพียงหนึ่งเดียว”

“ข้ากำลังคิดว่า…ใครเป็นผู้กำหนดคำจัดความของแผ่นดินบรรพกาล คำจำกัดความนี้เป็นความจริงหรือ”

เหมียวเถียนอ้าปากหาว ไม่คิดว่าอันหลินกำลังคิดเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้ คำถามนี้น่าเบื่อเช่นเดียวกับ ‘ข้ามาจากไหน ข้าจะไปแห่งหนใด’

เหมียวเถียน “คำจำกัดความเป็นความจริงหรือไม่ เจ้าไปถามผานกู่โดยตรงก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”

อันหลิน “…”

เยี่ยม สู้ให้เขาไปถามสวรรค์เลยดีกว่าไหมเล่า

หลังใคร่ครวญชีวิตอยู่พักหนึ่ง อันหลินก็กลับเข้าไปพักผ่อนในกระโจม

ราตรีนี้ผ่านไปอย่างเงียบสงบ

รุ่งอรุณต่อมา ผู้คนก็ก้าวเข้าสู่การเดินทางของการล่าสัตว์ประหลาดต่อไป

วันนี้ สองกำมือของลั่วจื่อผิงกระเหี้ยนกระหือรือยากจะทนไหว เป็นฝ่ายเข้าร่วมกองกำลังของราชาวานรเนตรทอง ร่วมสังหารสัตว์ประหลาดกับมัน สี่คนที่เหลือยังคงอยู่ในสภาพของปลาเค็ม

เดิมทีเมื่อมีลั่วจื่อผิงเข้าร่วมแล้ว แต้มของพวกเขาน่าจะดีขึ้นนิดหน่อย

แต่ตลอดทั้งวันนี้ พวกเขาฆ่าสัตว์ประหลาดไปแค่ยี่สิบหกตัวเท่านั้น น้อยกว่าเมื่อวานถึงสิบตัว

พวกเขากำลังเดินลึกเข้าไปในเขตหมื่นป่า ตามหลักแล้วสัตว์ประหลาดที่พบก็ควรจะเพิ่มขึ้นด้วย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับรู้สึกว่าน้อยกว่าบริเวณก่อนหน้านี้เล็กน้อย

ตกกลางคืน ไม่เจอวิหคหกปีกรสโอชานั่นแล้ว ทุกคนได้กินเนื้อกระทิงบาทาทอง

“เฮ้อ ทำไมวันนี้โชคไม่ดีเอาเสียเลย หรือการที่ข้าเลือกจะร่วมลงมือกับพี่อัปลักษณ์ มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด” ลั่วจื่อผิงเคี้ยวเนื้อกระทิงอย่างหงุดหงิดใจ พูดด้วยสีหน้าอมทุกข์

“หากมีสัตว์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษในละแวกนี้ เช่นนั้นจำนวนของสัตว์ประหลาดก็จะลดน้อยลง เป็นไปได้ไหมว่าพวกเราเข้าสู่อาณาเขตของสัตว์ภูตหรือสัตว์ปราณ” จงหย่งเหยียนพูดอย่างเป็นกังวล

ทุกคนได้ฟังก็จมอยู่ในความเงียบ หากว่าเจอสัตว์ภูตยังดี พวกเขาไม่กลัวเกรง

แต่ถ้าหากเป็นสัตว์ภูตระดับแปลงจิต พวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว

เมื่อดวงตะวันลอยขึ้นอีกครั้ง พวกอันหลินก็เลือกจะเดินอีกเส้นทางหนึ่งหลังผ่านการหารือกันแล้ว

จวบจนกระทั่งยามบ่ายคล้อยของวัน พวกเขาล่าสัตว์ไปได้เพียงสิบสามตัว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าผลลัพธ์จะแย่ยิ่งกว่าเมื่อวาน

“ให้ตายสิ สัตว์ประหลาดตกใจหนีไปหมดแล้วหรือ” อันหลินฉงนใจยิ่งนัก

แต่ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ราชาวานรเนตรทองก็หมอบลง เอียงหูแนบหน้าลงกับผิวดิน

จากนั้น เขาก็ลุกพรวดพราด ดวงตาสีทองลุกโชนดุจเปลวไฟ ทอดมองออกไปไกล

“ตายจริงๆ แน่! มีกองทัพสัตว์!”

เมื่อราชาวานรเนตรทองเห็นทัศนียภาพอันไกลโพ้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป ตะโกนเสียงดังลั่น

………………………………

[1] ผานกู่ (盘古) คือสิ่งมีชีวิตชนิดแรกสุดของโลก เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ตามความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของจีน